ถ้าเราบอกว่าอยู่ดีๆ วันหนึ่งก็มีคนออกวิ่งตามกันจากกลุ่มเล็กจนกลายเป็นกลุ่มใหญ่ วิ่งไปเรื่อยๆ หลากหลายที่ หลายคนจะต้องนึกถึงภาพยนตร์คลาสสิกตลอดกาล Forrest Gump ที่ช่วงเวลาหนึ่งของตัวละครก็ออกวิ่งไปเรื่อยๆ จนมีคนวิ่งตามเป็นร้อยเป็นพัน แล้วพอถึงจุดหนึ่งก็หยุดเอาเสียดื้อๆ
หันมามองภาพความจริงตอนนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตั้งแต่มีเทรนด์ Run Club ขึ้นมา คนก็ออกวิ่งตามๆ กันเหมือนภาพยนตร์ ด้วยรองเท้าหนึ่งคู่และใจสู้ บวกกับไวรัลบนโลกอินเทอร์เน็ตที่การวิ่งกลายเป็นเทรนด์ให้ได้พบปะผู้คน สร้างแรงบันดาลใจปลุกคนให้ออกไปวิ่งทั้งในสวน ในเมือง หรือวิ่งระยะไกล จนช่วยให้แนวคิดเกี่ยวกับสุขภาวะ (Wellness) ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพแพร่หลายมากขึ้น ไปจนถึงข้อถกเถียงใหญ่ในสังคมเกี่ยวกับประเด็นการใช้พื้นที่สาธารณะกับเหล่าสมาชิก Run Club และนักวิ่งทั่วๆ ไปที่มาวิ่งคนเดียวหรือวิ่งในสวนเป็นประจำอยู่แล้ว

Urban Creature จึงชวน กันต์-กันตพงศ์ อังศุพันธุ์ และ วิน-รวินท์ อัศววิบูลย์พันธุ์ ผู้ก่อตั้ง Cruise Control Run Club มาพูดคุยกันถึงเทรนด์การวิ่ง เอกลักษณ์ของเหล่า Run Club และปัญหาเรื่องเมืองๆ ที่ทำให้คนชอบวิ่ง วิ่งได้ยาก
เวลา 9 โมงเช้าเกือบ 10 โมงของวันเสาร์ เรานัดทั้งสองคนมาพบกันที่ Roots สาทร ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น City Run (วิ่งในเมือง) ของ Cruise Control หลากหลายครั้ง พวกเราใช้เวลาจิบกาแฟและมองบรรยากาศโดยรอบของเมือง ก่อนออกสตาร์ทบทสนทนากับสองคนชอบวิ่งในบรรทัดหลังจากนี้
Cruise Control Run Club เริ่มต้นได้ยังไง
กันตพงศ์ : เดิมทีผมกับวินเป็นคนชอบวิ่งอยู่แล้ว จนวันหนึ่งได้มีโอกาสไป City Run ในกรุงเทพฯ แล้วรู้สึกสนุกกว่าที่คิดไว้มาก การวิ่งไม่ได้ยากอย่างที่คิด
รวินท์ : เราเคยมองว่ากรุงเทพฯ วิ่งยาก แต่พอได้ลองวิ่งในโซนเมืองเก่าอย่างวัดพระแก้ว สนามหลวง หรือเยาวราชตอนเช้าตรู่ที่โล่งและเงียบ ก็เลยรู้สึกว่าเมืองนี้วิ่งได้จริงๆ
กันตพงศ์ : พอได้สัมผัสประสบการณ์แบบนั้น เราก็อยากชวนคนอื่นมาลองบ้าง เลยเริ่มชวนคนรู้จัก เพื่อน เพื่อนของเพื่อนมาร่วม ครั้งแรกที่เราจัดกิจกรรมมีคนมาร่วม 20 คน ซึ่งเยอะกว่าที่คิดไว้เยอะ
แล้วทำไมต้องชื่อ Cruise Control
กันตพงศ์ : ชื่อนี้มาตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มชวนคนอื่นมาวิ่งครั้งแรกเลย เพราะตอนนั้นต้องการช่องทางสื่อสารกับคนที่จะมาร่วมวิ่งด้วยกัน พอจะเปิด Instagram ก็เลยต้องหาชื่อ เราพยายามหาชื่อที่สื่อถึงความไม่จริงจังหรือซีเรียสจนเกินไป เพราะอยากให้ Run Club ของเราเป็นพื้นที่ที่ทุกคนมาวิ่งด้วยกันได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิ่งเก่งๆ
เรานึกถึงฟีลลิ่งตอนวิ่งที่บางคนเรียกว่า Runner’s High ซึ่งมันให้ความรู้สึกฟินๆ เหมือนตอนขับรถแล้วเปิดโหมด Cruise Control ที่ปล่อยให้รถวิ่งไปเองแบบอัตโนมัติ เราเลยรู้สึกว่าชื่อนี้มันสื่อถึงการวิ่งแบบปล่อยจอย วิ่งไปเรื่อยๆ ได้ดี และดูเท่ด้วย
วิ่งถึงขั้นก่อตั้ง Run Club ได้ แปลว่าเป็นคนชอบวิ่งตั้งแต่แรกเริ่มเลยไหม
รวินท์ : ไม่ชอบ (หัวเราะ)
วินเป็นคนทำงานออฟฟิศธรรมดาที่แค่เดินขึ้นบันไดนิดเดียวก็เหนื่อยแล้ว เลยรู้สึกว่าต้องออกกำลังกายสักอย่าง ซึ่งวินเป็นคนเล่นกีฬาไม่เก่งเลย การวิ่งเลยเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะเราไม่ต้องแข่งกับใคร อยู่กับตัวเองได้ และไม่ได้รู้สึกอายถ้าจะวิ่งช้า พอวิ่งได้ 5 กิโลเมตร ก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก
กันตพงศ์ : สำหรับผมคือคนละเหตุผล ผมเป็นคนไม่ออกกำลังกายเลย ลองมาเกือบทุกกีฬาแล้วก็ไม่เก่งเหมือนกัน จนกระทั่งมีพี่ที่รู้จักลงงานวิ่ง 10 กิโลเมตรให้โดยไม่บอกก่อน (หัวเราะ) ผมเลยต้องเริ่มซ้อม แรกๆ ก็เหนื่อยมาก วิ่งได้ไม่ถึงกิโลด้วยซ้ำ แต่พอได้ซ้อมไปเรื่อยๆ และเห็นพัฒนาการของตัวเองก็ดีใจ มันเหมือนเป็นชัยชนะเล็กๆ (Small Win) ที่ทำได้แล้วไม่อยากให้มันหายไป

พอได้ลองวิ่งแล้ว ทำให้สนใจกีฬาอื่นๆ เพิ่มขึ้นหรือเปล่า
รวินท์ : จริงๆ เคยลองหลายอย่างแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าการวิ่งคือทางของเรา เพราะวินเป็นคนค่อนข้างอินโทรเวิร์ต ชอบอยู่กับตัวเอง การวิ่งเหมือนเป็นการฝึกสมาธิไปในตัว ได้อยู่กับความคิดของตัวเองไปเรื่อยๆ
กันตพงศ์ : ส่วนผมหลังจากที่เริ่มวิ่งก็ได้ค้นพบว่าตัวเองชอบการเดินป่า หรือ Trekking เพราะมันเป็นการสำรวจเส้นทางที่ไม่ต้องเร่งรีบมาก ผมกับวินชอบไปเที่ยวต่างประเทศและหาเส้นทางเดินป่าด้วยกันเสมอ
แล้วทั้งสองคนคิดว่าอะไรที่ทำให้เทรนด์ Run Club กลายมาเป็นที่สนใจของคนเมือง
รวินท์ : จริงๆ เทรนด์นี้มีมาสักพักแล้วในต่างประเทศ แต่ในไทยช่วงก่อนหน้านี้พอพูดถึงการไปวิ่งเป็นกลุ่มอาจจะยังเป็นกลุ่มที่จริงจังมากๆ แบบพวกนักกีฬา นักวิ่ง ทำให้เรารู้สึกไม่กล้าเข้าไปร่วม แต่พอช่วงปีที่ผ่านมา พอเราเริ่มทำ Cruise Control ก็มี Run Club อื่นๆ เกิดขึ้นเยอะมากเหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงหลังโควิดที่คนไปไหนไม่ได้ กิจกรรมในพื้นที่ปิดก็ทำไม่ได้ สวนสาธารณะอย่างสวนเบญจกิติก็เพิ่งเปิดใหม่พอดี ทำให้คนหันมาทำกิจกรรมข้างนอกกันมากขึ้น การวิ่งเลยเป็นตัวเลือกที่ง่ายที่สุด
กันตพงศ์ : พวกเราไม่ได้เป็น Run Club กลุ่มแรกๆ เพราะก่อนหน้านี้เคยไปร่วมกิจกรรมของกลุ่มอื่นๆ มา ซึ่งก็สร้างแรงบันดาลใจให้เราเหมือนกัน ตอนนั้นรู้สึกว่ากีฬาวิ่งคือกีฬาที่ทำคนเดียว อย่างบางทีไปวิ่งในสวนกับวินก็วิ่งแยกกันเพราะวิ่งคนละเพซ (Pace) เลยคิดมาตลอดว่าไม่มีความจำเป็นต้องไปวิ่งกับคนอื่น แต่พอได้ลองไปร่วมกับ Run Club ที่เขามาชวน ก็รู้เลยว่าไม่เหมือนที่คิดไว้ เพราะมันไม่ใช่การไปเพื่อวิ่งอย่างเดียว
รวินท์ : ใช่ มันเหมือนทุกคนเชื่อมโยงกัน บางทีไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่พอมาวิ่งด้วยกันแล้วมันคุยกันได้ง่ายมาก ทั้งเรื่องวิ่ง เรื่องแต่งตัว เรื่องรองเท้า กลายเป็นว่าคอนเนกต์กันง่ายขึ้น
นอกจากเรื่องคอมมูนิตี้แล้ว มีอะไรอีกบ้างที่ทำให้คนหันมาสนใจการวิ่งมากขึ้น
รวินท์ : คิดว่ามีหลายปัจจัยเลย อย่างแรกคือ การวิ่งเป็นกีฬาที่เข้าถึงง่าย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เยอะ ขอแค่มีรองเท้าคู่เดียวก็ออกมาวิ่งได้แล้ว ทำให้ไม่มีข้ออ้างที่จะไม่ไป (หัวเราะ)
และอีกเรื่องที่เห็นได้ชัดคือแฟชั่น คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาในวงการวิ่งจะค่อนข้างมีพลังงานใหม่ๆ และชอบหาเสื้อผ้า รองเท้าใหม่ๆ อยู่เสมอ ทำให้เกิดแบรนด์ไทยเล็กๆ ขึ้นมาเยอะ ซึ่งเราก็พยายามสนับสนุนแบรนด์เหล่านี้ และอีกปัจจัยที่สำคัญคือพื้นที่สาธารณะที่มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงโควิดที่คนหันมาใช้สวนสาธารณะอย่างสวนเบญจกิติ ทำให้การวิ่งเป็นกิจกรรมที่เข้าถึงง่ายกว่าเดิม

พ้นไปจากเรื่องทำให้ร่างกายแข็งแรง การวิ่งยังสอนหรือให้อะไรกับพวกคุณอีก
กันตพงศ์ : สำหรับผม การวิ่งคือสิ่งที่เรา ‘ควบคุมได้’ ในชีวิตประจำวันเราอาจควบคุมงานหรือคนรอบข้างไม่ได้ ซึ่งบางทีก็น่าหงุดหงิด แต่กับการวิ่ง เราตั้งเป้าหมายได้ว่าวันนี้จะวิ่ง 1 ชั่วโมง และถ้าเราทำสำเร็จ มันคือความสำเร็จเล็กๆ ที่เรามอบให้ตัวเองได้ มันช่วยเยียวยาจิตใจได้ดีมาก
รวินท์ : การวิ่งคือ Mind Game จริงๆ หลายครั้งที่ร่างกายบอกว่าไม่ไหวแล้ว แต่ถ้าใจเรายังสู้และเชื่อว่าจะไปให้ถึงเส้นชัยได้ ร่างกายมันจะไปต่อได้เอง มันคือการฝึกฝนจิตใจให้แข็งแกร่งและไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
การวิ่งดูเป็นกีฬาที่โดดเดี่ยว แต่พวกคุณบอกว่าวิ่งเป็นกลุ่มดีกว่าวิ่งคนเดียว มันดีกว่ายังไง
กันตพงศ์ : ผมคิดว่ามันไม่ได้ดีกว่า แค่แตกต่างกันมากกว่า การวิ่งคนเดียวก็มีข้อดีของมัน แต่ข้อดีของการวิ่งเป็นกลุ่มคือเวลาผ่านไปเร็วมาก ยิ่งเวลาเราวิ่งระยะทางไกลๆ ที่ปกติจะท้อ แต่พอมีเพื่อนคุยไปด้วยเวลาจะผ่านไปเร็ว แถมยังช่วยให้เราวิ่งได้ตามตารางซ้อมโดยไม่ยอมแพ้กลางทางด้วย
รวินท์ : ใช่ เพราะการวิ่งคนเดียวบางทีก็คิดอะไรวนไปวนมา พอมีเพื่อนมันช่วยให้เรามีแรงผลักดันและไม่ถอดใจไปก่อน

เสน่ห์ของ City Run ที่แตกต่างจากการวิ่งในสวนคืออะไร
กันตพงศ์ : เสน่ห์ของการวิ่งในสวนคือ มันคาดเดาได้ (Predictable) เหมาะกับการซ้อมทำเวลา แต่ City Run คืออะไรก็เกิดขึ้นได้ วันดีคืนดีอาจจะเจอขบวนพาเหรดโรงเรียนหรือการเชิดสิงโต ซึ่งถ้าวิ่งในสวนคงไม่เจอแบบนี้ (หัวเราะ)
รวินท์ : มีบ่อยมากที่เราวิ่งๆ อยู่แล้วเจอพระเดินบิณฑบาต บางคนในกลุ่มก็หยุดใส่บาตรเลย เป็นความสนุกที่คาดไม่ถึง และ City Run ยังทำให้เราได้เห็นในที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน เพราะเป็นวิธีสำรวจเมืองที่เร็ว และได้เห็นแลนด์มาร์กสำคัญๆ อย่างวัดพระแก้ว เยาวราช เสาชิงช้า ครบภายในเช้าเดียวแบบไม่มีคนเลย
เวลาจะจัด City Run สักครั้ง ต้องเตรียมตัวเรื่องอะไรบ้าง
กันตพงศ์ : ตอนแรกเราไม่มีความรู้เรื่องการจัดเลย ทุกอย่างคือการเรียนรู้จากการลงมือทำ (Learning by Doing) แต่เราให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะคนที่มาวิ่งมีหลากหลายระดับ เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
รวินท์ : ก่อนจัดวิ่งทุกครั้ง เราจะไปสำรวจเส้นทาง (Test Route) กันก่อน 2 – 3 รอบ เพื่อให้มั่นใจว่าเส้นทางปลอดภัย ไม่มีสิ่งกีดขวางหรืออันตราย และเราจะแบ่งหน้าที่ทีมงานอย่างชัดเจน เช่น ใครจะนำกลุ่ม ใครดูแลความปลอดภัย ใครอยู่ท้ายขบวน หรือใครคอยดูแลคนที่หลงทาง ทุกคนจะได้รับบรีฟงานก่อนเริ่มวิ่งเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าตลอดเส้นทางทุกคนจะปลอดภัยและไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
เวลาจะจัด City Run สักครั้ง ต้องเตรียมตัวเรื่องอะไรบ้าง
กันตพงศ์ : ถ้าวิ่งง่ายๆ ในเมือง แนะนำโซนสาทร-สีลม เพราะฟุตพาทกว้างมาก ตอนเช้าไม่พลุกพล่าน เป็นเส้นทางตรงยาว มีจุดถ่ายรูปสวยๆ อย่างรถไฟฟ้าสถานีช่องนนทรี หรือจะวิ่งข้ามสะพานตากสินไปชมวิวก็ได้
เส้นทางที่สองคือ โซนเมืองเก่าอย่างตลาดน้อย-เยาวราช-ทรงวาด ทางอาจจะไม่ได้เรียบมาก แต่สนุก มีร้านกาแฟ คาเฟ่น่าสนใจ ได้วิ่งไปตามซอยเล็กๆ วิ่งเสร็จก็มีของกินอร่อยๆ เยอะมาก
รวินท์ : อีกโซนที่แนะนำคือ เกาะรัตนโกสินทร์-ย่านดุสิต โดยเฉพาะเส้นเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งวัดอรุณฯ ที่ กทม.เพิ่งทำทางจักรยานเสร็จ เราสามารถวิ่งเลียบแม่น้ำยาวมาจนถึงปากคลองตลาดได้เลย ซึ่งจริงๆ สามเส้นทางนี้เชื่อมกันได้ ถ้าขยันวิ่ง อยากวิ่งยาวๆ ก็วิ่งเชื่อมเป็นรูตยาวได้เลย

แล้วเมืองแบบไหนที่ถือว่า ‘เป็นมิตร’ สำหรับนักวิ่ง
รวินท์ : เมืองที่เป็นมิตรกับนักวิ่งแบบง่ายที่สุดสำหรับเราคือ เมืองที่ออกจากบ้านแล้ววิ่งได้เลย กับเรื่องพื้นฐานอย่างการมีอากาศที่ดี ความปลอดภัย เพราะเราวิ่งกันเช้ามืด บางทีริมถนนไฟฟ้าติดๆ ดับๆ หรือบางทีมืดไปเลยก็อันตรายสำหรับนักวิ่ง
กันตพงศ์ : อย่างเรื่องฟุตพาท บางทีเราวิ่งๆ ไปเจอสะพานลอย เจอป้ายรถเมล์ ซึ่งก็รู้ว่าเกิดจากการไม่ได้ออกแบบมาก่อน อะไรพวกนี้มันถูกเติมมาทีหลังเลยจำเป็นต้องจับวางแบบนั้น แต่ถ้าถามถึงแบบที่อยากให้เป็นเลยคือ มีฟุตพาทที่วิ่งได้ หรืออย่างน้อยก็เดินได้ เพราะแถวบ้านตรงพระราม 3 ก็มีสวนอยู่ แต่จากบ้านจะไปสวนต้องขับรถไป เพราะเคยทดลองเดินแล้ว ฟุตพาทแคบขนาดที่เดินไม่ได้ ต้องลงไปเดินบนถนน
รวินท์ : จริงๆ ในกรุงเทพฯ มีย่านที่เดินสะดวก วิ่งได้ แต่อย่างพระราม 3 หรือย่านที่ไกลออกไปหน่อยพื้นที่ยังไม่รองรับเพราะแค่เดินยังลำบาก เราอยากให้บ้านเราเป็นเมืองที่ออกจากบ้านแล้ววิ่งได้เลยเหมือนต่างประเทศ พวกญี่ปุ่น ยุโรป ที่ทำให้คนออกกำลังกายได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องขับรถ ฝ่ารถติดไปสวน แต่แค่สวมรองเท้าออกจากบ้านแล้ววิ่งได้เลย
ก่อนหน้านี้มีประเด็นที่ถกเถียงกันในอินเทอร์เน็ตเรื่อง Run Club การใช้พื้นที่สวนสาธารณะและนักวิ่งแฟชั่น พวกคุณในฐานะผู้ก่อตั้ง Run Club เอง มองเรื่องนี้ยังไง
กันตพงศ์ : เราคิดว่าความตั้งใจที่จะพูดเรื่องนี้ของเขาดีนะ เพราะก่อนมาทำ Run Club เราก็เป็นคนวิ่งเดี่ยวๆ ในสวนเหมือนกัน พอรู้บ้างว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นประเด็น ในฐานะ Run Club พวกเราก็พยายามจัดการให้ดีที่สุด
รวินท์ : ส่วนเรามองว่ามันทำให้พวกเราคิดและระมัดระวังมากขึ้นว่า สิ่งที่ทำอยู่พอแล้วไหม ช่วยสร้างการตระหนักรู้ที่ทำให้ทีมต้องพัฒนาการจัดการให้ดีขึ้น ทีมเราต้องวิ่งสองแถว ชิดซ้าย เพราะตัวเราในฐานะนักวิ่งก็เข้าใจเหมือนกันว่าไม่ชอบให้คนวิ่งเป็นแผง ไม่เคารพสิทธิผู้อื่น
กันตพงศ์ : ส่วนเรื่องนักวิ่งแฟชั่นเราเฉยๆ จะแต่งตัว อยากใส่อะไร อยากอวดรองเท้าใหม่ เสื้อใหม่ก็โอเคหมด มันเป็นหนึ่งในแรงจูงใจให้วันนี้มีแรงออกมาวิ่งมากขึ้น

แล้วช่วงนี้ที่เขามีเทรนด์คนโสดใส่เสื้อดำไปหาแฟนใน Run Club ล่ะ คิดอย่างไร
กันตพงศ์ : ของทีมเราเริ่มต้นจากพี่สตาฟใส่เสื้อดำ (หัวเราะ) ก็เลยอาจจะกลายเป็นภาพจำว่า Cruise Control ใส่เสื้อดำวิ่งนะ คนที่มาร่วมเขาก็อยากเป็นส่วนหนึ่งเลยใส่เสื้อดำไปด้วย แต่ไม่ได้บังคับให้ใครใส่เสื้อดำ เพราะในมุมเราคือเราใส่เสื้อดำอยู่แล้ว
รวินท์ : เทรนด์นี้ก็สนุกดีนะ เพราะสร้างสีสันในการแต่งตัวออกมาวิ่ง เหมือนมีเรื่องให้คุยกันว่า เอ้ย แกใส่เสื้อดำ โสดเหรอ (หัวเราะ)
กันตพงศ์ : แต่จริงๆ ประเด็น Dating ประเทศอื่นก็มีนะที่ไป Run Club เพื่อไปหาแฟน สำหรับเรา เราโอเคมาก เหมือนเวลาวิ่งคนเราจะเปิดใจมากขึ้น รู้สึกอยากเล่าเรื่องต่างๆ มากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งถ้าคุณมาวิ่งกับเราแล้วได้แฟนก็ดีใจด้วย (หัวเราะ)
สุดท้ายนี้ มีอะไรอยากฝากถึงคนที่ไม่กล้าเริ่มวิ่งเพราะกลัวว่าจะทำได้ไม่ดี หรือกลัวเหนื่อยบ้างไหม
กันตพงศ์ : ผมว่าแค่การตัดสินใจออกจากบ้านมาวิ่งก็ถือว่าคุณเริ่มต้นและชนะไปก้าวหนึ่งแล้ว ไม่ว่าคุณจะวิ่งเยอะหรือน้อย วิ่งช้าหรือเร็ว คุณก็คือนักวิ่งคนหนึ่ง และอยากให้ลองตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่ทำสำเร็จได้ง่ายก่อน พอเราทำได้มันจะเป็นกำลังใจให้เราก้าวต่อไปได้ง่ายขึ้น
รวินท์ : ลองชวนเพื่อนสนิทสักคนสองคนมาวิ่งด้วยกันดู การมีเพื่อนเหมือนเป็นการบังคับตัวเองไปในตัว ทำให้เรามีข้ออ้างในการนอนต่อได้น้อยลง (หัวเราะ) และพอมีคนวิ่งอยู่ข้างๆ มันช่วยผลักดันกันไปได้ดีกว่าวิ่งคนเดียวเยอะเลย แค่ออกมาลองดู แล้วคุณอาจจะค้นพบอะไรใหม่ๆ ที่คุณชอบก็ได้

ขอขอบคุณ Roots สาทร สำหรับสถานที่