ลองนึกภาพคุณอยู่ในปาร์ตี้ใหญ่ที่สุดของนิวยอร์ก ย้อนกลับไปช่วงปี 1920 หรือยุค ‘Roaring Twenties’ ชาวอเมริกันหลงใหลความหรูหราฟู่ฟ่า หนุ่มสาวผู้มั่งคั่งหลั่งไหลกันมาดื่มสังสรรค์ กระซิบกระซาบ และเต้นรำกันสุดชีวิตราวกับงานเลี้ยงไม่มีวันเลิกรา
หากพูดถึงภาพแทนยุค 1920 คงเป็นใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่มหาเศรษฐีลึกลับนาม ‘Gatsby’ ตัวละครเอกในนิยายอมตะ ‘The Great Gatsby’ ของนักเขียน ‘F. Scott Fitzgerald’ ที่ย้ายมาโลดแล่นบนจอหนัง เนรมิตฉากงานเลี้ยงในคฤหาสน์แก็ตส์บี้สุดอลัง ไม่ว่าใครได้รับคำเชิญก็คงไม่ปฏิเสธ
เร่งเวลามาปัจจุบันที่ผู้คนต่างโหยหายุค 1920 แผ่นเสียงและดนตรีแจ๊สกลายเป็นที่นิยม เดรสแฟลปเปอร์เวียนกลับมาฮิตบ่อยๆ ขาดก็แต่พื้นที่สังสรรค์ที่ดึงเอาเสน่ห์ของยุคนั้นหวนกลับมา ขณะที่เรานับถอยหลังเข้าสู่ปี 2020 ยุค Roaring Twenties ก็จะครบรอบ 100 ปีพอดิบพอดี ประจวบกับเราได้รับคำเชิญไปเยี่ยมเพื่อนบ้านใหม่ในซอยหลังสวน ‘Crimson Room’ ค็อกเทลบาร์สุดหรูใจกลางเมือง
1
Raise The Curtain
ถ้าแก็ตส์บี้คือเศรษฐีผู้ช่ำชองเรื่องปาร์ตี้ ‘คุณบิ๊ง-ภัทริสร์ จิตรถเวช’ Founder และ Creative director แห่ง Tango Tonight Group ก็คือผู้มีแพสชันเรื่องค็อกเทล หลังจากประสบความสำเร็จกับค็อกเทลบาร์อีกสองแห่งคือ ‘Rabbit Hole’ ที่ติดอันดับ 34 จากรางวัล 50 บาร์ที่ดีที่สุดในเอเชีย และ ‘Liberation’ ที่ได้รางวัล The Capital’s Best New Bar จาก Bar Award Bangkok เราไม่แปลกใจที่คุณบิ๊งจะหลงใหลการพบปะสังสรรค์ เขากลับมาพร้อม ‘Crimson Room’ เปิดม่านต้อนรับทุกคนอย่างใจกว้าง
คุณบิ๊งเล่าที่มาที่ไปของคอนเซปต์ ‘Gatsby’ ที่หยิบมาใช้กับ ‘Crimson Room’ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจของอเมริกาเฟื่องฟู การใช้ชีวิตแบบยุค 1920 จึงเริ่มต้นขึ้น ทุกคนแสวงหาความสนุกเพื่อลืมความโหดร้ายของสงคราม บรรดาเศรษฐีหน้าใหม่จัดงานปาร์ตี้กันเป็นว่าเล่น เช่นเดียวกับที่ยุคทองของดนตรีแจ๊สหรือ ‘The Jazz Age’ เกิดขึ้นในยุคนี้
2
The Glory of Art
หากคุณเคยอ่านเรื่องราวของ ‘The Great Gatsby’ การได้มาสัมผัสที่นี่คงทำให้อินไม่น้อย เพียงแค่ก้าวเข้ามาในห้องโถง ‘Crimson Room’ หลังม่านสีแดงที่สื่อถึงชื่อเสียง ความรัก ความหลงใหล ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกตื่นเต้น และมีชีวิตชีวาของผู้คนที่มาสนุกกัน
“You’re so Art Deco, out on the floor
Shining like gun metal, cold and unsure”
— Lana Del Rey
การตกแต่งที่หรูหราด้วยเพดานสูงโอ่อ่าเหมือนโรงละคร แต่นั่งสบายบนโซฟากำมะหยี่ออกแบบเป็นอัฒจรรย์หันหน้าเข้าเวที ไม่ว่านั่งมุมไหนก็มองเห็นวงแจ๊สเล่นได้อย่างเต็มตา
สไตล์อาร์ตเดโคจากยุค 1920 อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุคคลาสสิกและโมเดิร์น สะท้อนออกมาในการใช้เส้นโค้งและเส้นตรงที่เรียบง่าย แต่แข็งแรง สง่างาม และสุดแสนประณีต วัสดุที่ใช้มีความแววาว เช่น ทองเหลือง กระจก ผ้ากำมะหยี่ ไม้ขัดเคลือบเงา ที่เราหลงรักตั้งแต่แรกเห็น
3
Pour Me Moonshine
แน่นอนว่าที่นี่ต้องเด่นเรื่องคลาสสิกค็อกเทลจากวิสกี้ชั้นเลิศ เพราะยุค 1920 โด่งดังเรื่องเหล้าจนมีชื่อเรียกยุคนี้ว่า ‘Prohibition Era’ ซึ่งเป็นช่วงที่อเมริกาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ พวกลักลอบค้าเหล้าเถื่อนก็ร่ำรวยกันไป เพราะเหล่านักดื่มก็ยังดั้นด้นหาที่ดื่มเหล้าเหมือนเดิม แถมราคาเหล้ายังถูกกว่าตอนไม่ห้ามเสียอีก
“Here’s to alcohol, the rose-colored glasses of life”
— F. Scott Fitzgerald
ค็อกเทลที่นี่ส่วนใหญ่เป็นสปิริตฟอร์เวิร์ดแต่มีการปรับให้ดื่มง่ายขึ้น แต่ละดริงก์จะใช้ส่วนผสมเพียง 3-4 อย่าง แต่ก็ทวิสต์ให้เกิดกลิ่นและรสชาติที่ซับซ้อนได้ ไปจนถึงการพรีเซนต์ที่น่าประทับใจ นอกจากนี้ยังมีแชมเปญ สปาร์คกลิ้ง ไวน์ วอดก้า เตกีล่า และอีกมากมายให้ดื่มด่ำแบบไม่มีเบื่อ ส่วนซิกเนเจอร์ค็อกเทลก็มีหลายเมนูแบ่งเป็น 4 พาร์ทด้วยกัน
Dim The Light
เริ่มจากปรับมู้ดกันด้วย ‘Bee Pollen’ (380 บาท) ค็อกเทลเบส Hendrick’s เพิ่มความหวานละมุนด้วย Yellow Chartreuse และมี Citrus มาตัดด้วยรสเปรี้ยว ความพิเศษอยู่ที่ Bee Pollen หรือเกสรผึ้ง นำไป Caramelised กับน้ำตาลจนขึ้นคาราเมลแล้วจึงเติม Thyme ให้มีกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ
Raise The Curtain
เปิดม่านอันน่าตื่นตาตื่นใจ ‘Kill Dill’ (320 บาท) ความลงตัวระหว่าง Chocolate Liqueur กับ Mint Liqueur ที่ให้ทั้งความหวานและความเฟรชในตัวเอง แล้วเอา Dill Cream เข้ามาเชื่อมรสชาติ โดยเติมผักชีลาวเข้าไปเพื่อให้เกิดการรับรสใหม่ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนวนิลา
Strike The Band
บรรเลงความสนุกกับ ‘À la Menthe’ (380 บาท) ค็อกเทลเบส Gin ที่เพิ่ม Menthol Wine เข้ามาให้ความรู้สึกเย็นสดชื่น โดยมี Rhubarb เข้ามาเติมกลิ่นฟรุตตี้
Take A Bow
ปิดท้ายโชว์ไปด้วย ‘Lavender Mood’ (320 บาท) ค็อกเทลเบส Gin ใส่น้ำเชื่อมผลไม้ Blueberry & Lavender Cordial ให้รสเปรี้ยวของเบอร์รี่ และเพิ่มความหอมหวานจากธรรมชาติด้วย Pink Grapefruit Tonic
4
Strike The Jazz Band
ทันทีที่เสียงเปียโนบรรเลง แปลว่าความสนุกได้เริ่มขึ้นแล้ว บิวต์อารมณ์กันเบาๆ ด้วยเพลงของ ‘Nat King Cole’ ถ่ายทอดน้ำเสียงที่น่าหลงใหลโดย ‘Julian’ นักร้องผิวสีของค่ำคืนนี้ ประสานท่วงทำนองของวง ‘Sunny Trio’ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ศิลปากร โดยที่นี่มีไลฟ์แจ๊สทุกวัน แต่ละวันนักร้องก็จะสลับหมุนเวียนกันมา รวมถึงมีเครื่องดนตรีอื่นๆ มาร่วมแจม แนวเพลงที่เล่นก็มีทั้งแจ๊ส โซล ฟังก์ และดิสโก้ ไม่ว่าคุณจะเป็นแจ๊สเลิฟเวอร์หรือเพิ่งเคยฟังก็สนุกได้
“Fly me to the moon
Let me play among the stars”
— Nat King Cole
ถ้ามาวันธรรมดาที่นี่จะเน้นดนตรีแจ๊สชิลๆ แต่ถ้าเป็นศุกร์-เสาร์ สายปาร์ตี้สุดเหวี่ยงต้องไม่พลาด เพราะนอกจากไลฟ์แจ๊สยังต่อด้วยดีเจที่จะมาสร้างความคึกครื้น หากจะลุกขึ้นเต้นก็ไม่แปลกโดยดีเจอาจจะไล่จาก ฟังก์ ดิสโก้ ไปจนถึงอิเล็กทรอนิกส์ หรือเทคเฮ้าส์ เปลี่ยนไปตามมู้ดของนักปาร์ตี้ในคืนนั้น
ใครอยากฟังดนตรีดีๆ เคล้าเครื่องดื่มชั้นเยี่ยม หรืออยากแฮงก์เอ้าท์กับเพื่อน ก็นัดมาสังสรรค์กันได้แบบไม่เกร็ง ซึ่งแตกต่างจากแจ๊สบาร์ส่วนใหญ่ที่เน้นเฉพาะพาร์ทดนตรี แต่ที่นี่มีครบทุกสิ่งที่คุณต้องการ ‘Crimson Room’ จึงเป็นค็อกเทลบาร์แห่งใหม่ใจกลางเมืองที่คุณจะมาเมื่อไหร่กับใคร ก็ต้องประทับใจจนอยากกลับมาอีกหลายครั้ง
Location : ภายในโครงการ Velaa ถ. หลังสวน ชิดลม กรุงเทพฯ
Open : อาทิตย์ – พฤหัสบดี 17.00 – 01.00 น.
ศุกร์ – เสาร์ 17.00 – 02.00 น.
Content Writer : Angkhana N.
Photographer : Napat P.
Graphic Designer : Sasisha H.