“คนเราต้องได้รับการกอดถึงสี่ครั้งต่อวัน เพื่อการมีชีวิตรอด”
เวอร์จีเนีย ซาเทียร์ (Virginia Satir) นักจิตบำบัดครอบครัวชื่อดังคนหนึ่งเคยกล่าวไว้
“และพวกเราก็ยังจำเป็นต้องได้รับการกอดถึงแปดครั้ง เพื่อให้ดำรงชีวิตต่อไปได้ และการกอดถึงสิบสองครั้ง เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการเติบโตของเรา”
โห…คุณเวอร์จีเนีย เอาแค่เบสิกการกอด 4 ครั้งของคุณยังยากเลย เพราะวันๆ นี้ แค่ทำงานให้ทันเดดไลน์เอย เตือนตัวเองให้หยุดทำงานแล้วมาทานข้าวบ้างเอย นั่งเฉาอยู่ในรถที่ติดหนึบเป็นชั่วโมงๆ เอย หลายชีวิตในเมืองกรุงแทบไม่มีเวลาหรือกะจิตกะใจจะมานั่งนับ ‘การกอด’ ในหนึ่งวันกันหรอก
ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่เขาว่า ก็ไม่น่าแปลกใจที่ถึงหลายคนจะอยู่ในเมืองใหญ่ ผู้คนพลุกพล่านมากมายขนาดไหน ในใจลึกๆ ก็โดนแทรกซึมไปด้วยพลังแห่งความเหงาอยู่ดี
ก่อนกลับมากรุงเทพฯ เมืองแอลเอ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ฉันเคยอยู่ก็ถือว่าเป็นเมืองใหญ่ หากใครเคยดูหนังเรื่อง LA LA LAND เมื่อหลายปีที่แล้ว คงเห็นว่าใครต่อใครจากเมืองหรือประเทศอื่น มักใฝ่ฝันอยากมาตามล่าหาฝันกันในเมืองแห่งนี้ เมืองที่เปิดโอกาสให้ผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างเชื้อชาติ หลากศาสนา หลายความสามารถ ฯลฯ โดยเฉพาะอาชีพที่ดื่มด่ำอยู่ในแสงสีเสียงของวงการมายา ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่
ฟังดูเหมือนเป็นเมืองแห่งความสนุกสนาน รื่นเริงในทุกหย่อมหญ้า แต่ภาพที่ฉันจำได้แม่นเลยคือ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน ก็มักสัมผัสกลิ่นอายความเหงาจากใครบางคนที่นั่งอยู่ ไม่ว่าจะคนเดียวหรือกับเพื่อนฝูงเสมอ
Connection-สายสัมพันธ์อันลึกซึ้ง
เมื่อนึกถึงเด็กๆ พวกเขาจะสร้างความหมายและทำความเข้าใจความเป็นตัวตนของตัวเองผ่าน ‘ผู้ดูแล’ ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือแม้แต่พี่เลี้ยงก็ตาม
หากเด็กๆ ได้รับการรายล้อมไปด้วยผู้คนที่รักและห่วงใยเขาในบรรยากาศที่อบอุ่น มันง่ายมากเลยที่เด็กคนนั้นจะเติบโตมาด้วยความมั่นใจ และปลอดภัยว่าตัวเองเป็นที่รัก
สิ่งเหล่านี้ยังฝังอยู่ในพวกเราลึกๆ นั่นแหละ ไม่ว่าเราจะอยู่กับใคร ในสังคมแบบไหน มันเป็นธรรมชาติและธรรมดาอยู่แล้ว ที่ความสัมพันธ์ของผู้คนรอบตัวและสถานที่ที่เราอยู่ จะร่วมสร้างมุมมองและความหมายที่เรามีต่อตัวเอง
‘มนุษย์เป็นสัตว์สังคม’ การมีความสัมพันธ์กับคนอื่น คือกลไกช่วยให้พวกเราอยู่รอด ยิ่งการมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใคร โดยไม่จำเป็นต้องเป็นความโรแมนติกด้วยนะ คือวิตามินที่ช่วยให้พวกเราใช้ใจขับเคลื่อนในเมืองใหญ่สุดเหงานี้ได้ต่อ
คำถามที่จริงใจ คือประตูสู่ Connection
ทำไมบางครั้ง อยู่กันหลายคนแล้วยังรู้สึกเหงาได้อยู่ เพราะท่ามกลางผู้คนมากมาย ไม่ใช่ทุกคนที่รู้สึกว่า ‘ตัวเองได้รับการรับฟัง’
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนมาเล่าอะไรให้เราฟัง ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์ที่หนักหน่วง มันง่ายมากที่เราจะเลือกตัดสินสิ่งที่เขาเจอผ่านเลนส์ของเรา ผ่านสิ่งที่เรารู้ เชื่อ และเจอมา
เพื่อหวังทำให้เขาสบายใจขึ้นด้วยความคิดบวกๆ การให้กำลังใจของเรานี้ ถึงแม้จะมาจากเจตนาที่ดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อีกฝ่ายอาจรู้สึกได้รับการปฏิเสธ และคิดว่าสิ่งที่เขาเจอมันไม่ควรค่าพอแก่การเก็บเอามาใส่ใจ หากอารมณ์หนักหน่วงของเขาโดนกดไปเรื่อยๆ อย่างนี้ นานเข้าก็มีสิทธิ์จะรู้สึกไม่มีตัวตน
‘คำถามที่จริงใจ’ คือการต่อบทสนทนากับใครผ่าน ‘ความอยากรู้อยากเข้าใจ’ ไม่ใช่ ‘ให้ฉันบอกนะว่าเธอควรต้องทำอย่างไร’
ด้วยวิธีการนี้ จะเป็นการเปิดโอกาสและสร้างความสบายใจให้คนที่มาระบายกับเรารู้สึกปลอดภัยที่จะเล่าต่อ เมื่อเขาพูดสิ่งที่คั่งค้างในใจออกมาแล้ว ความเงียบในการรับฟังอย่างตั้งใจของเราสามารถเป็นกระจกสะท้อนกลับให้เขาได้ยินเสียงของตัวเองชัดขึ้น
คำถามที่ว่า ‘เล่าให้ฉันฟังเพิ่มตรงนี้ได้ไหม มันรู้สึกยังไงเหรอ’ ดูเชื้อเชิญกว่า ‘ทำไมเธอถึงทำอย่างนั้น ทำไมไม่…’ เยอะเลย
เมื่อเขารับรู้ว่ามีใครสักคนที่ยังอยู่ตรงนี้ ฟังเรื่องราวของเขาได้แม้มันจะไม่ได้สุข ช่วงเวลานี้แหละที่จะนำไปสู่ Connection ซึ่งมีพลังพอจะอุดรูรั่วความเหงาได้ดีกว่ากาวไหนๆ
ให้อภัยตัวเอง หากหน้าตา ‘Connection’ ของเราจะเปลี่ยนไป
การเติบโตและการเปลี่ยนแปลง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
คนที่เราเคยสนิทมากๆ อาจเจอประสบการณ์หรือมีมุมมองต่อโลกที่ต่างออกไปจากเรา ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว หรือกลุ่มเพื่อนซี้ใหญ่ๆ ที่เมื่อก่อนจะเจอกันที เหมือนพาทหารไปออกรบ คือคนเยอะมาก เฮฮามาก
มาวันนี้ หลายอย่างอาจเปลี่ยนไป ทำให้ไม่สามารถต่อติดกันทุกวันได้เหมือนเดิม ต่างก็ค่อยๆ จางไปจากกัน ไม่ได้โกรธหรือเกลียด แค่เดินไปคนละทาง มันไม่ใช่ความผิดใครหรอกนะ หลายครั้งชีวิตมันก็เป็นแบบนี้
เมื่อเปลี่ยนฤดูกาล ใบไม้บางใบมันก็ต้องร่วงหล่นไป
ทุกวันนี้ เราอาจเหลือเพื่อนสนิทอยู่ไม่กี่คน เราอาจคุยแต่กับพี่สาวของเราคนเดียว หรือชีวิตตอนนี้อาจจะมีแค่เรา กับต้นไม้ และน้องแมว แต่ไม่ว่าหน้าตา Connection ของเราตอนนี้จะเป็นยังไง ก็ล้วนมีความหมายกับหัวใจของเราทั้งนั้น
เพราะนี่คือสิ่งที่ทำให้เราอยู่รอด
คนอื่น เขาก็อยากอยู่เพื่อเราเช่นกัน
ยิ่งชีวิตเจอเรื่องหนักหนาแค่ไหน บางทีก็ทำให้เราจมอยู่กับมัน แบบที่ว่ายขึ้นมาเหนือน้ำไม่ได้ ด้วยความยากลำบากแสนเหนื่อยนี้ กลายเป็นทำให้เรารู้สึกไม่อยากที่จะเล่าให้ใครฟัง เพราะไม่อยากโยนก้อนความหน่วงนี้ออกไปให้ใครรับไว้ เกรงใจเขา
แต่ความจริงคือ มันไม่มีใครสามารถแบกความหนักนี้ไว้แทนเราได้หรอก และใครสักคนที่มารับฟังเรา ก็ไม่มีอำนาจมากพอที่จะเสกให้ความหนักนี้มันหายเป็นปลิดทิ้งด้วย แต่มันคือการร่วมเฝ้าดูความหนักนี้ไปด้วยกันในระยะเวลาหนึ่ง
เปิดโอกาสให้ใครหลายคนที่อยากอยู่เพื่อเรา ได้ทำหน้าที่นั้นบ้าง เพราะพวกเขาเองก็มีความสุขกับการได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความเหนื่อยของคนที่เขาแคร์นั้นเบาลง
Explore Where You Bloom Now
แม้ชีวิตในตอนนี้ จะไม่ได้มีหน้าตาเหมือนกับที่เราวาดฝันไว้ แต่เรายังสามารถโอบอุ้มความหวังนั้นไว้ในใจ พร้อมๆ กับการค้นหาความสวยงาม หรือความเป็นไปได้ในชีวิตที่มีอยู่ตอนนี้
เก็บเกี่ยวความสุข แม้เล็กๆ จากชีวิตที่เราพอมองเห็นในตอนนี้ เป็นเชื้อเพลิงให้เราออกวิ่งได้ต่อ เพื่อไปถึงประสบการณ์ในหัวที่เราเคยคิดมาตลอดว่าใช่
ใครจะไปรู้ บางทีมันอาจจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้แหละ