รู้จักและสนับสนุนผ้าไทยผ่านแผนที่ลายผ้าพื้นเมืองประเทศไทย จัดทำโดย ร้านแพรอาภา ห้องผ้าไหม

คนไทยรู้ ทุกคนรู้ว่าผ้าไทยงดงามไม่แพ้ใครในโลก นอกจากนี้ ลายผ้าแต่ละลายยังล้วนมีประวัติความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่นั้นๆ จนนับเป็นอัตลักษณ์จังหวัดได้ เช่น ลายจกไทลื้อ ของจังหวัดเชียงราย หรือลายผ้าขาวม้าอ่างทอง ของจังหวัดอ่างทอง เป็นต้. เพราะมีความรักในผ้าทอและต้องการสนับสนุนผ้าถักทอ ผ้าพื้นเมืองของไทย ให้เป็นที่รู้จัก ‘ร้านแพรอาภา ห้องผ้าไหม’ ที่จัดจำหน่ายและจัดแสดงผ้าไหมมาเป็นเวลายาวนาน จึงจัดทำแผนที่ผ้าประเทศไทย ในรูปแบบอัลบั้มภาพในเพจเฟซบุ๊กของร้าน เพื่อเป็นแหล่งความรู้ให้ผู้ที่สนใจผ้าไทย ทางร้านได้ศึกษาหาความรู้จากหนังสือและข้อมูลตามอ้างอิง อินเทอร์เน็ต ไปจนถึงผู้มีประสบการณ์ด้านผ้า แล้วนำมาวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาผ้าที่เป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดตามประวัติความเป็นมาและการเป็นที่รู้จักยอมรับในวงกว้าง ส่วนจังหวัดใดที่ไม่มีการทอผ้าหรือหาข้อมูลอ้างอิงไม่ได้ ทางร้านได้ใช้ลายผ้าประจำจังหวัดที่ออกแบบใหม่ในปีนี้ทดแทน ทั้งนี้ ในแผนที่เวอร์ชันล่าสุด ร้านแพรอาภาได้ปรับปรุงข้อมูลและถ่ายภาพลายผ้าใหม่ เพื่ออัปเดตฐานข้อมูลให้ครอบคลุมมากขึ้น นอกจากตัวแผนที่ที่ใช้ลายผ้าซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นเพื่อสื่อสารถึงจังหวัดนั้นๆ แล้ว ยังมีการจัดแสดงข้อมูลที่ประกอบด้วยภาพลายผ้า ชื่อลายผ้า และชื่อจังหวัด ให้ได้ศึกษากันชัดๆ อีกด้วย หลายลายงดงามมากจนอยากเห็นของจริงเลย ใครที่สนใจ ชมภาพและศึกษาแผนที่ลายผ้าพื้นเมืองประเทศไทยได้ที่ https://tinyurl.com/2f9x3w6d หรืออุดหนุนร้านแพรอาภาได้ในช่องทางออนไลน์หรือหน้าร้าน ย่านคลองบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพฯ (โทร. 08-1702-4552)

ร้านอาหารมังสวิรัติในอังกฤษ เพิ่มข้อมูล Carbon Footprint บนเมนู ให้ผู้คนนึกถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

เราอาจจะเคยชินกับการเลือกสั่งอาหารจากปริมาณแคลอรีที่พ่วงท้ายชื่ออาหารบนเมนู แต่ตอนนี้นอกจากการระบุหน่วยวัดพลังงานของอาหารแต่ละจานแล้ว ร้านอาหารมังสวิรัติในเมืองบริสโตล ประเทศอังกฤษ อย่าง ‘The Canteen’ ก็ได้เพิ่มปริมาณ ‘Carbon Footprint’ หรือปริมาณการปล่อยและการดูดกลับของก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน ต่อท้ายแต่ละเมนูเพื่อให้ลูกค้าใช้ประกอบการพิจารณากันด้วย โดย The Canteen เป็นร้านอาหารแห่งแรกในอังกฤษที่เข้าร่วมการทดลองนับปริมาณคาร์บอนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างองค์กรการกุศลเรื่องมังสวิรัติในสหราชอาณาจักร Viva และองค์กรที่ขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนทางอาหาร My Emissions ในการระบุปริมาณ Carbon Footprint ของแต่ละจานบนเมนูอาหาร  ซึ่งปริมาณคาร์บอนที่ว่านั้นยังรวมไปถึงระยะทางการขนส่งวัตถุดิบ, วัตถุดิบตามฤดูกาล และการปล่อยมลพิษระหว่างการผลิตและประกอบอาหาร ดังนั้นทางร้านจึงพยายามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากที่สุดด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น หันมาใช้พลังงานหมุนเวียน และเตรียมอาหารด้วยกระบวนการที่สร้างขยะอาหาร (Food Waste) ให้น้อยที่สุดด้วย จากการศึกษาล่าสุดของ Nature Food พบว่า อุตสาหกรรมอาหารนั้นมีส่วนทำให้สภาพอากาศเสียหายประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว หากอ้างอิงจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์แล้ว การหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอาหารได้ ตัวอย่างเช่น เบอร์เกอร์เนื้อในสหราชอาณาจักรสามารถสร้างคาร์บอนได้ถึง 3,050 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับเบอร์เกอร์มังสวิรัติที่ปล่อยก๊าซดังกล่าวเพียง 300 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคเท่านั้น The Canteen เปิดเผยว่าโครงการนี้ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคค่อนข้างมาก โดยทางร้านเชื่อว่าการระบุข้อมูล […]

‘ปันเป๋ากัน’ ส่งต่อกระเป๋าสภาพดีเปลี่ยนเป็นทุนการศึกษาให้น้องๆ วันนี้ – 30 ก.ย. 65 ที่ร้านปันกันทุกสาขา

‘ปันเป๋ากัน’ ส่งต่อกระเป๋าสภาพดี เปลี่ยนเป็นทุนการศึกษาให้น้องๆ วันนี้ – 30 ก.ย. 65 ที่ร้านปันกันทุกสาขา ใครที่มีสิ่งของสภาพดีแต่ไม่ได้ใช้ หรืออาจจะใช้น้อยครั้งจนหลงลืมไปแล้วว่าเคยมีอยู่ อยากให้สำรวจดูอีกครั้งว่ามีอะไรบ้างที่อาจไม่จำเป็นในเวลานี้แล้ว และอยากแบ่งปันให้คนอื่นๆ ได้ใช้ประโยชน์ต่อไป ร้านปันกัน โดยมูลนิธิยุวพัฒน์ คือการระดมทุนในรูปแบบธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ด้วยการเปิดหน้าร้านรับสิ่งของสภาพดี ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า นาฬิกา แว่นตา เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ ทุกคนสามารถนำมาแบ่งปันเพื่อเป็นสินค้าในร้านให้คนที่ชอบมาช้อปไป และเงินที่ได้ก็จะกลายเป็นโอกาสทางการศึกษาของเด็กๆ ในมูลนิธิยุวพัฒน์  โดยทางมูลนิธิจะมอบทุนให้เยาวชนผู้ขาดแคลนโอกาสทั่วประเทศ เพื่อให้ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ส่วนสิ่งของสภาพดีที่ขายไม่ได้จะส่งต่อให้บ้านเด็กกำพร้าหรือโรงเรียนในชนบทได้ใช้ประโยชน์ต่อไป  สำหรับเดือนกันยายนนี้ ร้านปันกันเลือกจัดแคมเปญ ‘ปันเป๋ากัน’ โดยชวนทุกคนมาส่งต่อกระเป๋าที่ไม่สปาร์กจอยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าแฟชั่น กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าเป้ หรือกระเป๋าแบบไหนก็ได้ ขอเพียงมีสภาพดีเหมาะแก่การนำไปจำหน่าย ช่องทางการปัน มีดังนี้ 1) ร้านปันกันทั้ง 16 สาขา 2) ส่งพัสดุไปรษณีย์หรือนำมาบริจาคด้วยตัวเองที่คลังสินค้าแบ่งปัน 3) บริการรถปันกัน 4) […]

ปรับ Mindset เปลี่ยนสังคม ลดก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ไปกับ Together To Net Zero

ในภาวะที่โลกเรากำลังเสี่ยงพบกับหายนะทางสภาพภูมิอากาศ ทั้งภาวะหิมะตกหนัก ฮีตเวฟ น้ำท่วม และภัยแล้ง ล้วนมาจากอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ใครคนใดคนหนึ่งที่ต้องตระหนักรู้ แต่เป็นทั้งโลกที่ต้องลุกขึ้นมาช่วยเหลือกัน เกิดเป็นการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26) ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ขึ้น โดยภายในการประชุมมี 132 ประเทศได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ก่อนปี 2050 ส่วนประเทศไทยก็ได้มีการวางเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ก่อนปี 2065 เช่นเดียวกัน ทำให้ทางบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC จัดเวที ‘GC Circular Living Symposium 2022: Together To Net Zero’ เวทีการประชุมระดับนานาชาติที่รวมพลังขับเคลื่อนสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 เพื่อ Update Trend แนวทางการลดโลกร้อนผ่าน Speakers ชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ไม่ใช่แค่บรรลุเป้าหมายขององค์กรในการลดก๊าซเรือนกระจก หากแต่ยังช่วยสนับสนุนภาพใหญ่ของไทยและโลกใบนี้ผ่านการสร้างการตระหนักรู้ให้กับทุกภาคส่วนได้ตื่นตัว โดยภายในงาน ดร.ชญาน์ จันทวสุ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานความยั่งยืน GC […]

จิบ Humanhattan ฟังเพลงเพราะๆ คุยกับคนแปลกหน้า ฟีลบาร์ทิพย์ กับเว็บไซต์ Drinks On Me

ถึงวันทำงานทีไรก็หมดแรงทุกที ทำเอานึกถึงวันหยุดที่ได้ไปแฮงเอาต์ จิบเครื่องดื่มอร่อยๆ รื่นรมย์กับเพลงเพราะๆ กับเสียงอันมีชีวิตชีวาในผับบาร์ ไปจนถึงได้พบปะแลกเปลี่ยนบทสนทนากับคนแปลกหน้าที่คุยกันสนุกกว่าที่คิด Drinksonme.live คือเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่คล้ายๆ บาร์ทิพย์ นั่นก็คือเป็นพื้นที่ฟังเพลงเพราะๆ ให้บรรยากาศเหมือนอยู่บาร์ ด้วยเสียงพูดคุยของผู้คนและเสียงการเตรียมเครื่องดื่ม แถมถ้าเจอคนที่เข้ามาฟังเพลงพร้อมกันก็แชตคุยกับเขาได้ด้วย เพราะชอบบาร์ค็อกเทลที่ชิลและเสียงไม่ดังจนเกินไป รวมถึงเสียงอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสถานที่ทำนองนี้ WasinWatt และ NamoTotae จึงทำโปรเจกต์สนุกๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเว็บไซต์ imissmycafe.com ขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ WasinWatt ผู้รับบทเขียนโค้ดเว็บไซต์มีเหตุจำเป็นต้องอยู่แต่ที่บ้าน โดยได้ลายเส้นกับลายมือน่ารักๆ ฝีมือของ NamoTotae มาแต่งแต้มให้บาร์ออนไลน์นี้ดูมีชีวิตจิตใจขึ้นมา นอกจากไอเดียบาร์ทิพย์ที่ทำให้เราเข้าไปแชตคุยกับคนแปลกหน้าเคล้าเสียงเพลงแก้เหงาระหว่างทำงานแล้ว ความน่ารักอีกอย่างของเว็บไซต์นี้คือ เราสามารถเลือกเครื่องดื่มที่บ่งบอกอารมณ์ตอนนี้ เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นบทสนทนาได้ด้วย (หรือถ้าคุยไม่เก่งจริงๆ จะเลือกให้บาร์เทนเดอร์โยนคำถามให้ก็ได้นะ) โดยเครื่องดื่มมีให้เลือกถึง 6 เมนู เช่น Blue Period ที่บ่งบอกว่าเราชิลและผ่อนคลายสุดๆ, Solopolitan ค็อกเทลแทนใจคนเหงาแสนว่างเปล่า หรือ Humanhattan เครื่องดื่มสีแดงแทนความเศร้าความขมระทมชีวิต เป็นต้น  แม้ Drinks On Me เวอร์ชันนี้จะยังเป็น Prototype […]

นักวิจัยเมืองชี้วิกฤตเมืองในอนาคตจากปัญหามลพิษและภาวะโลกร้อน จะทำให้คนอยู่ยาก-ลำบาก-เครียด

เมื่อไม่นานนี้ มีการจัดเสวนา ‘MQDC Sustainnovation Forum 2022 เมืองเปลี่ยน คนต้องปรับ รับมือวิกฤตอย่างไร’ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่าง 4 องค์กรสำคัญด้านการพัฒนาเมือง ได้แก่ FutureTales LAB, RISC, Creative Lab และ Unisus-EEC โดยได้เปิดเผยข้อมูลวิจัยสภาพเมืองแห่งอนาคตที่มีแนวโน้มน่าเป็นห่วง พร้อมระดมวิธีการแก้ปัญหาจากหลายภาคส่วนเพื่อเตรียมรับมือวิกฤตต่างๆ และร่วมกันขับเคลื่อนกรุงเทพมหานคร ในฐานะ Resilient City ไปสู่ทิศทางที่เหมาะสมและยั่งยืนมากที่สุด  ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ผู้อำนวยการบริหาร ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา FutureTales LAB ได้นำเสนอการคาดการณ์อนาคตเมืองปี 2050 โดยพิจารณาจากข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก อัตราการใช้พลังงาน และพฤติกรรมของผู้คน พบว่า โลกในอนาคตจะเต็มไปด้วยมลภาวะที่ทำให้การอยู่อาศัยของมนุษย์ยากกว่าในปัจจุบันอย่างเทียบไม่ติด เนื่องจากอุณหภูมิทุกแห่งจะสูงขึ้นเฉลี่ย 1.5 องศาเซลเซียส ทำให้น้ำทะเลหนุนสูงขึ้นมากกว่า 1 เมตร ผู้คนมากกว่า 200 ล้านคนต้องย้ายถิ่นฐาน และกว่า 400 ล้านคนต้องประสบภัยพิบัติจากการขาดแคลนน้ำและอาหาร รวมถึงภัยแล้งสุดขั้ว ซึ่งประเทศไทยเองก็หนีวิกฤตเหล่านี้ไม่พ้นแน่นอน เพราะการอพยพเคลื่อนย้ายประชากรและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในปัจจุบันล้วนเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก […]

กทม.เปิดโครงการ #ไม่เทรวม ชวนแยกขยะก่อนทิ้งแบบง่ายๆ แค่แยกขยะทั่วไปและเศษอาหาร

การแยกขยะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ทำเองได้ไม่ยาก กับนโยบายใหม่ของกรุงเทพมหานครอย่าง #ไม่เทรวม โครงการที่ชวนประชาชนทุกคนเริ่มต้นแยกขยะแบบง่ายๆ ก่อนทิ้ง เพื่อรณรงค์การแยกและการจัดการขยะอย่างถูกวิธี มีประสิทธิภาพ รวมถึงสร้างความเคยชินกับการแยกขยะให้แก่ผู้คนด้วย  วิธีแยกขยะตามนโยบายใหม่นี้ทำได้ง่ายแสนง่าย เพียงแค่แยก ‘ขยะทั่วไปหรือขยะแห้ง’ ลงใน ‘ถุงดำ’ และ ‘ขยะเศษอาหาร’ ลงใน ‘ถุงใสหรือถุงเขียว’ ซึ่งบนรถขยะเองก็จะติดตั้งถังขยะสำหรับใส่ขยะเศษอาหารแยกไว้ด้วย มั่นใจได้เลยว่าขยะที่ทุกคนช่วยกันแยกเอาไว้จะไม่ถูกเทรวมกันที่ปลายทาง  การแยกขยะแบบนี้จะช่วยให้จัดการกับขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการส่งขยะไปรีไซเคิล, ทำปุ๋ยหมัก หรือทำเชื้อเพลิง RDF (Refuse Derived Fuel) และช่วยลดการฝังกลบขยะที่จะก่อให้เกิดปัญหาทางสภาวะแวดล้อมอื่นๆ ตามมา โดยโครงการ #ไม่เทรวม นี้จะเริ่มเส้นทางทดลองใน 3 เขตนำร่อง ได้แก่ เขตหนองแขม เขตปทุมวัน และเขตพญาไท แต่ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ที่เขตไหนหรือจังหวัดใด ทุกคนสามารถเริ่มแยกขยะแบบง่ายๆ ตามแนวทางของ กทม. ได้ทันที ไม่แน่ว่าในอนาคต ประเทศไทยอาจเปลี่ยนให้การแยกขยะกลายเป็นความรับผิดชอบและวิถีชีวิตของประชาชนอย่างที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นหรือประเทศอื่นๆ ก็เป็นได้ ที่สำคัญ กรุงเทพมหานครยังมีคลิปวิดีโอสั้นๆ ที่จะช่วยให้เข้าใจการแยกขยะฉบับมือใหม่กันด้วย ใครสนใจเข้าไปดูได้ที่ bit.ly/3x0qPdJ และ bit.ly/3CWuoW2 ติดตามรายละเอียดโครงการ #ไม่เทรวม และกิจกรรมอื่นๆ […]

ออสเตรเลียผลิตนมสังเคราะห์ ลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากโคนม เพื่อแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน

หลังจากซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งได้เพิ่มพื้นที่ชั้นวางสินค้าให้กับนมจากพืชอย่างข้าวโอ๊ต ถั่วเหลือง หรืออัลมอนด์ ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่อีกไม่นานบรรดาห้างสรรพสินค้าอาจต้องจัดสรรพื้นที่อีกส่วนให้กับเครื่องดื่มทางเลือกใหม่แห่งอนาคตอย่าง ‘นมสังเคราะห์’ ก็เป็นได้ เพราะล่าสุด ‘Eden Brew’ บริษัทสตาร์ทอัปสัญชาติออสเตรเลีย ร่วมมือกับหน่วยงานวิจัยอิสระ CSIRO และสหกรณ์โคนมที่เก่าแก่ที่สุดของออสเตรเลีย Norco เพื่อพัฒนานมสังเคราะห์ขึ้นมาผ่านการใช้เทคนิคทางเทคโนโลยีชีวภาพที่เรียกว่า ‘Precision Fermentation’ ซึ่งเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์สังเคราะห์ขึ้นด้วยการเพาะเซลล์ในห้องแล็บ ที่ผู้ผลิตอ้างว่าทำให้นมสังเคราะห์มีรสชาติ รูปลักษณ์ และเนื้อสัมผัสเหมือนกับนมวัวทั่วไป ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกดื่มนมสังเคราะห์นี้แทนนมวัวได้โดยที่รสชาติไม่แตกต่างไปจากเดิม Eden Brew คาดว่านมชนิดนี้จะวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วออสเตรเลียได้ภายในกลางปี 2023 ผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Eden Brew น่าจะตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับปัญหาภาวะโลกร้อนได้ไม่น้อย เพราะคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนของฟาร์มโคนม ซึ่งเป็นปัจจัยอันดับสองที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกรองลงมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากนมสังเคราะห์นี้ไม่ได้เกิดจากวัวภายในฟาร์ม แต่เกิดจากเทคโนโลยีชีวภาพ จึงไม่ก่อให้เกิดก๊าซมีเทนในกระบวนการผลิต นมสังเคราะห์จึงอาจกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ไม่แน่ว่าในอนาคต การดื่มนมประเภทใหม่นี้อาจกลายเป็นเทรนด์ที่มาแทนการดื่มนมวัวแบบเดิมๆ ก็เป็นได้ Sources : ABC News | t.ly/yG6nDaily Mail Online | t.ly/cPZWScienceAlert | t.ly/q67l

nan dialogue เปิดพื้นที่ให้เยาวชน เข้าค่ายฝึกเขียน กับคนทำงานสื่อตัวจริง 15 – 17 ก.ย. 65 ที่ ห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ

nan dialogue เปิดพื้นที่ให้เยาวชนเข้าค่ายฝึกเขียน กับคนทำงานสื่อตัวจริง 15 – 17 ก.ย. 65 ที่ ห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ ‘nan dialogue’ คือ สื่อรายสัปดาห์ที่สัมภาษณ์คนทุกสาขาอาชีพในจังหวัดน่าน โดยมีบรรณาธิการเป็นนักเขียนนักสัมภาษณ์ ‘หนึ่ง-วรพจน์ พันธุ์พงศ์’ ผู้ยังคงเดินหน้า เปิดน่านฟ้า สร้างบทสนทนาเสรี ซึ่งครบรอบหนึ่งปีไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อการกระจายอำนาจและโอกาสที่ไม่ได้กระจุกแค่ในกรุงเทพฯ นอกจากการเป็นสื่อที่ส่งต่อเสียงของผู้คนในเมืองน่านแล้ว เดือนกันยายนนี้ nan dialogue ยังเตรียมเปิดพื้นที่ทางความคิดให้เยาวชน อายุ 18 – 25 ปี ผู้มีใจรักในงานอ่านเขียนหรือสนใจการทำงานด้านสื่อสารมวลชนอีกด้วย กิจกรรมในครั้งนี้มีชื่อว่า ‘ค่ายฝึกเขียน น่านไดอะล็อก’ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 – 17 กันยายน นอกจากเรียนฟรี ยังมีอาหารและได้พักที่ห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ ในจังหวัดน่านอีกด้วย  นำทีมพี่เลี้ยงฝึกเขียนโดยเจ้าสำนักนักสัมภาษณ์ พบปะกับ ‘ธิติ มีแต้ม’ บรรณาธิการข่าวจาก Voice TV, ‘อินทรชัย […]

วิพากษ์ศิลปะจากดินโคกหนองนากับ UN-EARTH Provenience Unfold ที่นัวโรว์อาร์ตสเปซ อุดรฯ วันนี้ – 15 ต.ค. 65

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อ ‘โครงการโคกหนองนา’ และ ‘โครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง’ โมเดลของภาครัฐที่มุ่งพัฒนาที่ดินให้เหมาะสมกับการทำเกษตรกรรมผ่านการผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่เข้ากับภูมิปัญญา เพื่อให้เกษตรกรพึ่งพาตัวเองได้และมีวิถีชีวิตที่ยั่งยืน แต่โครงการเหล่านี้อาจไม่ได้สวยงามอย่างที่ภาพวาดไว้ เพราะ ‘โคกหนองนา’ ถูกตั้งคำถามจากหลายฝ่ายเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินงาน การใช้ พ.ร.บ.เงินกู้หลายพันล้านบาทเร่งทำโครงการในช่วงที่ประเทศเผชิญวิกฤตโรคระบาดอย่างหนัก ไปจนถึงปัญหาที่ชาวบ้านในพื้นที่จำนวนไม่น้อยต้องพบเจออย่างผู้รับเหมาขุดปรับพื้นที่ไม่ตรงแบบหรือทิ้งงาน ความซับซ้อนของโมเดลเกษตรกรรมนี้ทำให้ ‘ส้มผัก-สุรสิทธิ์ มั่นคง’ ศิลปินจากอำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี จัดทำนิทรรศการศิลปะที่ชื่อว่า ‘UN-EARTH Provenience Unfold’ เพื่อถ่ายทอดมุมมองของเขาในฐานะคนท้องถิ่นที่ได้ใกล้ชิดกับโครงการเหล่านี้ “ย้อนกลับไปเมื่อสองปีที่แล้ว เรามีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดในอำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ทำให้ได้เห็นวิธีการจัดการดินของชาวบ้านและคนในพื้นที่ที่เปลี่ยนไป อย่างเช่นการขุดหน้าดินขาย เอาโฉนดที่ดินไปจำนำ หรือแม้แต่ปล่อยเช่าพื้นที่เพื่อเพิ่มรายได้และเอาตัวรอดในช่วงที่โรคระบาดรุนแรง เหล่านี้ล้วนแตกต่างจากการจัดการพื้นที่ในสมัยก่อนที่มักใช้เพื่อผลิตพืชผลทางการเกษตร และกักเก็บน้ำไว้ใช้เลี้ยงสัตว์เป็นหลัก “ในช่วงเวลาเดียวกัน เราก็ได้เห็นรัฐนำโครงการต่างๆ เข้ามาในพื้นที่ ทั้งโครงการโคกหนองนาและการจัดการปัญหาภัยแล้ง ซึ่งเกิดจากการใช้ พ.ร.บ.เงินกู้ประมาณ 4,800 ล้านบาท ทำให้เราตั้งคำถามว่าแทนที่จะเอาเงินมาให้ชาวบ้านขุดพื้นที่ทำโคกหนองนา รัฐควรนำงบประมาณเหล่านี้ไปแก้ปัญหาที่เร่งด่วนอย่างโรคระบาดให้เสร็จก่อนดีมั้ย นี่คือจุดเริ่มต้นของนิทรรศการศิลปะเชิงการเมืองครั้งนี้” ส้มผักได้ลงพื้นที่ทั่วภาคอีสานด้วยตัวเองเพื่อรวบรวมดินและวัสดุจากโครงการโคกหนองนาและโครงการอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน ก่อนจะนำมารังสรรค์ชิ้นงานศิลปะเชิงเปรียบเปรยทั้งหมด 12 ชุด โดยแต่ละชุดใช้วัสดุและมีรูปแบบที่ต่างกันไป เช่น ป้ายเหล็กของโคกหนองนา แผ่นดินสลักพิกัดโครงการต่างๆ แท่งยางมะตอย แปลนโคกหนองนาในมุมมองของศิลปิน รวมไปถึงศิลปะผ้าใบที่เขียนด้วยดิน  […]

ฮังการีห่วง ‘Pink Education’ การศึกษาที่มีความเป็นผู้หญิงเกินไป อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ

ตอนนี้ในประเทศฮังการีกำลังให้ความสนใจกับรายงานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ ‘Pink Education’ และความเสี่ยงของระบบการศึกษาที่มีความ ‘เป็นผู้หญิงมากเกินไป’ จนอาจจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในประเทศและปัญหาสัดส่วนของประชาชน เพราะผู้หญิงที่มีการศึกษาจะไม่สามารถหาคู่สมรสที่อยู่ในระดับการศึกษาเดียวกันได้ ซึ่งจะเป็นผลให้อัตราการเกิดของคนในประเทศลดลง  สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของฮังการีได้เผยแพร่รายงานชิ้นนี้ออกมาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 แต่เพิ่งได้รับความสนใจหลังถูกพูดถึงในบทความของหนังสือพิมพ์ Népszava เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในหมู่นักการเมืองและผู้เชี่ยวชาญทางด้านสิทธิมนุษยชน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ฮังการีมีผู้หญิงลงทะเบียนเข้ารับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยมากกว่าผู้ชาย โดยตัวเลขของผู้หญิงเข้าศึกษาช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้อยู่ที่ 54.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่อัตราการลาออกจากการศึกษาของผู้ชายก็สูงขึ้นด้วย ส่วนจำนวนผู้หญิงในวิชาชีพครูนั้นก็มีมากถึง 82 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว รายงานอธิบายว่า ‘คุณลักษณะของผู้หญิง’ อย่างเรื่องของวุฒิภาวะทางอารมณ์และสังคมที่ได้รับการส่งเสริมในระบบการศึกษาของฮังการีนั้นจะทำให้ความเท่าเทียมทางเพศอ่อนแอลงมาก และยังมองว่าเศรษฐกิจของฮังการีอาจตกอยู่ในความเสี่ยงหาก ‘คุณลักษณะของผู้ชาย’ อย่างทักษะทางเทคนิค การแบกรับความเสี่ยง และการเป็นผู้ประกอบการนั้นถูกประเมินค่าต่ำลง  นอกจากนี้ รายงานยังมองว่าเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเด็กรุ่นใหม่ในการแก้ปัญหาที่ถูกมองว่าเป็นงานของผู้ชาย อย่างเช่นคอมพิวเตอร์ค้าง ก๊อกน้ำรั่ว หรือแม้แต่ปัญหาไม่มีคนประกอบเฟอร์นิเจอร์ที่ซื้อมาใหม่ แม้ว่าความจริงแล้วบรรดาผู้หญิงเองก็สามารถแก้ปัญหาหรือทำงานเหล่านี้ได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ชายเสมอไป ด้านนักการเมืองฝ่ายค้านอย่าง Endre Toth ก็ได้วิพากษ์วิจารณ์รายงานชิ้นนี้บนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า การพูดถึงคุณสมบัติชายและหญิงเป็นความไร้สาระทางวิทยาศาสตร์ และถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องเปลี่ยนแนวคิดที่คร่ำครึนี้เสียที ฮังการีต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศในประเทศมาระยะหนึ่งแล้ว หลังจาก Dunja Mijatović กรรมาธิการด้านสิทธิของ Council of Europe ได้กล่าวขณะเยือนฮังการีในปี […]

‘I Don’t Care ไม่ว่าอย่างไร’ ละครเวทีที่บอกเล่าชีวิตคนข้ามเพศ กันยายนนี้ ที่ Jim Thompson Art Center

ในสังคมที่เปิดกว้างขึ้น แต่อัตลักษณ์ตัวตนของคนข้ามเพศยังมีความเลือนรางในสายตาของคนทั่วไปอยู่ไม่น้อย เราอยากพาทุกคนไปรู้จักกับอัตลักษณ์ของคนข้ามเพศ 8 คน ในบริบทและสภาพสังคมที่แตกต่างกันอย่างในประเทศไทยและเยอรมนี ผ่าน ‘I Don’t Care ไม่ว่าอย่างไร’ (World Premiere) โปรเจกต์ละครเวทีสัญชาติไทย-เยอรมัน จาก B-Floor Theatre และ Residenztheater ที่ได้รับแรงบันดาลใจและพัฒนาจากบทสัมภาษณ์จากชีวิตจริงของคนข้ามเพศทั้ง 8 ที่ถูกบันทึกมาตลอดสามปี นี่คือ 8 มุมมองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวการหาหนทางในการนิยามอัตลักษณ์ของตน และการตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตเองที่ล้วนต้องข้ามผ่านความกดดันและความเปราะบางในหลายมิติ นำไปสู่การตั้งคำถามถึงสิ่งที่ตัวเองเป็นในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่มีสิทธิเสรีภาพเหนือร่างกายและจิตใจของตน ไม่ว่าจะเป็นคนข้ามเพศหรือไม่ก็ตาม ละครเวที ‘I Don’t Care ไม่ว่าอย่างไร’ รอบ World Premiere จะเปิดการแสดงที่ The Jim Thompson Art Center ซอยเกษมสันต์ 2 ระหว่างวันที่ 15 – 18 และ 22 – 25 กันยายน 2565 ก่อนจะเดินทางไปแสดงต่อที่มิวนิกในเดือนตุลาคม […]

1 49 50 51 52 53 123

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.