ไม่ใช่แค่เรา แต่เชื่อว่าหลายคนคงตั้งนาฬิกาปลุกเป็นเสียงดังๆ สั่นแรงๆ เพราะกลัวว่าจะตื่นไม่ทันไปเรียนหรือไม่ทันเข้างาน ล่าสุด งานวิจัยของมหาวิทยาลัยจากออสเตรเลีย ซึ่งตีพิมพ์ลงวารสารทางวิทยาศาสตร์ PLoS ONE เผยว่า นาฬิกาปลุกเสียงเพราะๆ สามารถช่วยให้ตื่นนอนได้อย่างสดใส
งัวเงีย ภัยเงียบไม่รู้ตัว
เช้าๆ เราตื่นมาพร้อมความเพลีย อาการงัวเงีย มึนงง เหล่านี้เรียกว่า ‘Sleep Inertia’ โดยอาการนี้จะอยู่กับเราไปราว 4 ชั่วโมงหลังจากตื่นนอน ซึ่งดูไม่แปลกอะไร แต่คงไม่ดีแน่นอนสำหรับคนทำงานที่ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
เสียงปลุกสุดโหด มีแต่เสียกับเสีย
งานวิจัยของมหาวิทยาลัยจากออสเตรเลียได้สำรวจประเภทของเสียงปลุก พร้อมบันทึกระดับความตื่นตัวและอาการงัวเงียจากอาสาสมัครจำนวน 50 คน ซึ่งพบว่า ยิ่งเสียงปลุกโหดๆ ก็จะทำให้เรางัวเงียมากยิ่งขึ้น แถมเสียงปลุกที่ดังจนเกินไป ยังทำให้เกิดความเครียดแบบไม่รู้ตัว และมีผลเสียต่อประสาทการได้ยินในระยะยาวอีกด้วย
แต่ก็มีประเด็นที่ว่า เสียงปลุกซอฟต์ๆ ฟังสบาย จะเพลิดเพลินเสียจนทำเอาไม่ตื่น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเคสที่นักประดิษฐ์ต้องช่วยกันคิดค้นเทคโนโลยีสุดล้ำออกมาช่วยให้การนอนและตื่นของมนุษย์ดียิ่งขึ้น
RELATED POSTS
รู้จักกับ ‘The Offline Club’ คอมมูนิตี้ที่พาทุกคนห่างไกลจากมือถือ และกลับไปใกล้ชิดกับตัวเองและคนใกล้ตัว
เรื่อง
Urban Creature
มนุษย์ปัจจุบันนี้ใช้เครื่องมือสื่อสารท่องโลกออนไลน์เป็นความเคยชิน จนบางทีเราติดกับการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานโดยไม่ได้คำนึงถึงโลกภายนอก ‘The Offline Club’ คือคอมมูนิตี้สุดเจ๋งที่ ‘Ilya Kneppelhout’ และสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง ‘Valentijn Klok’ และ ‘Jordy van Bennekom’ ริเริ่มขึ้นในเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ พวกเขานิยามไอเดียของคอมมูนิตี้นี้ว่า ‘Swap screen time for real time.’ ที่หมายถึง เปลี่ยนเวลาที่อยู่หน้าจอให้เป็นเวลาในชีวิตจริง โดย The Offline Club จะนัดรวมตัวกันที่คาเฟ่ต่างๆ แล้วเบรกตัวเองจากการใช้โทรศัพท์มาลองทำกิจกรรมออฟไลน์อื่นๆ เช่น อ่านหนังสือ พูดคุยกับคนใหม่ๆ วาดภาพ เป็นต้น โดยกิจกรรมในแต่ละครั้งของ The Offline Club จะเริ่มจากการให้ผู้คนได้พูดคุยกันในตอนแรก ต่อด้วยการอยู่กับตัวเองภายใน 45 นาที และใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมงให้เราเชื่อมต่อกับบรรยากาศของผู้คน รวมถึงใช้เวลาอยู่เงียบๆ กับตัวเองในช่วง 30 นาทีสุดท้าย เหล่าผู้ก่อตั้งคอมมูนิตี้นี้เชื่อว่า The Offline […]
ดุกมั้ง : ร้านอาหารโฮมเมดที่รับลูกค้าวันละ 2 โต๊ะ และขายเฉพาะ ‘ปลาดุก’ เท่านั้น
เรื่อง
ธนาวดี แทนเพชร
คุณเคยไปทานอาหารร้านไหนที่มีวัตถุดิบหลักอย่างเดียวแต่ครีเอตได้หลากหลายเมนูไหม? ถ้ายังไม่เคยเจอร้านไหนใจกล้าขายแบบนี้ เราอยากแนะนำให้รู้จักกับ ‘ดุกมั้ง (Duke Munk)’ ร้านอาหารโฮมเมดในบ้านที่มีวัตถุดิบหลักอย่างเดียวคือ ‘ปลาดุก’ แถมยังมีเมนูไม่เยอะ และรับลูกค้ากลุ่มเล็กๆ แค่วันละ 2 โต๊ะ เท่านั้น ดุกมั้ง คือร้านอาหารในบ้านของ ดอกฝิ่น-ธเนศ ทรัพย์ศาสตร์ และ เนย-ณัชชา วารีรัตนโรจน์ ในซอยชัยพฤกษ์ (ซอยสุขุมวิท 65) ที่เริ่มจากความชอบทำอาหาร เปิดขายเมนูปลาดุกเฉพาะเดลิเวอรีและเปิดบ้านให้เพื่อนมากินข้าวสังสรรค์ จนปัจจุบันเปิดบ้านเป็นร้านอาหารเล็กๆ ที่ช่วยกันทำแค่ 2 คน เหมือนมากินข้าวบ้านเพื่อน และต้องจองกันเป็นเดือนถึงจะได้กิน ที่เปิดรับลูกค้าน้อยขนาดนี้ไม่ได้ต้องการจะเป็นร้านลับ หรือทำให้กินยากแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะทั้งคู่ไม่ใช่เชฟ เป็นแค่คนที่ชอบทำอาหารและอยากเปิดบ้านให้คนได้เข้ามากินอาหารฝีมือของตัวเองเท่านั้น จึงต้องใช้เวลาในการเตรียมวัตถุดิบและทำอาหารให้ได้คุณภาพเท่าที่ตัวเองจัดการไหว นอกจากเมนูปลาดุกทุกจานในร้านนี้จะมีลูกเล่นน่าสนใจแล้ว เรื่องราวของปลาดุกก็สนุกไม่แพ้กัน เพราะกว่าจะทำอาหารจานปลาดุกได้หลากหลายแบบนี้ ดอกฝิ่นใช้เวลาศึกษาและทดลองอยู่นานพอสมควรกว่าจะค้นพบวิธีปรุงปลาดุกทุกจานให้ลงตัว ชื่อร้านดุกมั้ง (Duke Munk) ได้ไอเดียมาจากตอนที่ไปบวช ในวัดมีปลาดุกและเขาก็ชอบกินปลาดุกอยู่แล้ว จึงใช้คำว่า มั้ง (Monk) ที่แปลว่า พระ และอีกนัยหนึ่งคืออยากให้คนที่มากินตั้งคำถาม เกิดความสงสัยว่านี่ใช่ปลาดุกจริงๆ ไหม ปลาดุกมั้ง? […]
Rainbowtopia by SPECTRUM อีเวนต์รวมกิจกรรมเพื่อความหลากหลาย ที่หอศิลป์ กรุงเทพฯ 17 – 19 มิ.ย. 65
เรื่อง
Urban Creature
ใน ‘Pride Month’ หรือเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+) ประเทศไทยได้จัดกิจกรรมหลากประเภทเพื่อเฉลิมฉลองให้กับความหลากหลาย และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิทธิและความเท่าเทียมทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ผ่านธงสีรุ้ง การออกแคมเปญรณรงค์ รวมไปถึงการจัดไพรด์พาเหรดครั้งยิ่งใหญ่ในกรุงเทพฯ อีกหนึ่งกิจกรรมน่าสนใจที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือ ‘Bangkok Pride 2022 Rainbowtopia By SPECTRUM’ อีเวนต์ไพรด์เต็มรูปแบบเพื่อเฉลิมฉลองความภาคภูมิใจและทุกอัตลักษณ์ของ LGBTQIA+ จัดขึ้นครั้งแรกโดย SPECTRUM ทีมสื่อที่ทำงานเรื่องเพศอย่างเข้มข้น พร้อมความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ได้แก่ กลุ่มนักกิจกรรม กลุ่มผู้ทำงานศิลปะ คลินิกสุขภาพทางเพศ นักดนตรี และบุคคลจากวงการภาพยนตร์ ธีมของ ‘Bangkok Pride’ ปีแรกคือ ‘Rainbowtopia’ ที่ผู้จัดอยากชวนทุกคนมาวาดฝันและจินตนาการถึงโลกแห่งความเท่าเทียมที่คนทุกเพศ ทุกวัย และทุกเชื้อชาติ มีพื้นที่ปลอดภัยในการเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ และได้รับสิทธิและสวัสดิการอย่างเท่าเทียมเสมอกันถ้วนหน้า โดยธีมย่อยของงานได้รับแรงบันดาลใจมาจากทั้ง 6 สีบนธงไพรด์ ออกแบบโดย กิลเบิร์ต เบเกอร์ (Gilbert Baker) ศิลปินและนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิความเท่าเทียม ความหมายของรุ้งแต่ละสี ได้แก่ สีแดงคือชีวิต สีส้มคือการรักษา สีเหลืองคือดวงอาทิตย์ สีเขียวคือธรรมชาติ สีครามคือความสงบ […]
P.Sherman The Enjoyable Ground เปลี่ยนตึกร้างให้เป็นที่แฮงเอาต์สำหรับคนฝั่งธนฯ
เรื่อง
ปวีณ์กานต์ อินสว่าง
ถ้าทุกคนได้เห็นภาพตรงหน้าอย่างที่เราเห็น ต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่ากิจกรรมทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอยู่ในอาคารเก่าย่านอรุณอมรินทร์ ที่เคยเป็นตึกร้างมาก่อน เพียงแค่เลี้ยวเข้าซอยอรุณอมรินทร์ 39 ทั้งภาพของคนเล่นเซิร์ฟสเก็ตในลานสเก็ตทรงโค้งซึ่งอยู่กลางพื้นที่ มีร้านอาหารและคาเฟ่รายรอบ พร้อมผู้มาใช้บริการที่นั่งกระจัดกระจายกันเป็นหย่อมๆ บรรยากาศเหมือนอยู่ในโรงอาหารของไฮสกูลต่างประเทศที่มีโต๊ะวางเรียงรายให้เลือกนั่งได้ตามใจ ไหนจะเสียงเพลงที่เปิดขับกล่อมช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้พื้นที่ และโซนจัดแสดงศิลปะที่มีศิลปินคอยชักชวนให้มาร่วมกิจกรรมไปด้วยกัน อมร สุนทรญาณกิจ ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ ยิ่งเซอร์ไพรส์เราไปอีก เมื่อเขาบอกว่าก่อนหน้าจะเป็นลานเซิร์ฟสเก็ตอินดอร์สุดเก๋อย่าง P.Sherman The Enjoyable Ground ที่นี่เคยเป็นโรงงานเย็บผ้าของครอบครัวสุนทรญาณกิจมาก่อน แต่หลังญาติๆ ย้ายออกไปตั้งโรงงานอยู่นอกเมือง ตึกแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้างมามากกว่าสิบปี พอมรดกถูกส่งต่อมาให้สถาปนิกอย่างอมร เขาจึงเริ่มคิดอยากรีโนเวตตึกแห่งนี้ให้ดีขึ้นกว่าเก่า เปลี่ยนตึกร้างเป็นลานเซิร์ฟสเก็ต “เพราะที่บ้านพี่น้องทุกคนมีธุรกิจกันหมดเลย ตอนแรกผมเลยกะจะรีโนเวตทำเป็นออฟฟิศ เปิดชั้นล่างให้เช่าทำร้านอาหาร ร้านตัดผม หรือคาเฟ่เล็กๆ ให้พนักงานในออฟฟิศมาใช้ แต่ก็ไม่ได้ทำสักที พอดีกับตอนโควิด เซิร์ฟสเก็ตค่อนข้างดัง เราก็ไปเริ่มเล่นด้วย พอเล่นๆ ไปเริ่มสนุก จริงจัง เลยเริ่มชวนเพื่อนมาเล่นกันที่นี่” พื้นที่ชั้นสองของตึกร้างถูกใช้งานอีกครั้งเป็นสนามอินดอร์สำหรับเล่นเซิร์ฟสเก็ตช่วงหน้าฝน ส่วนลานหน้าอาคารก็ถูกใช้เป็นสถานที่แฮงเอาต์ที่เขาและเหล่าเพื่อนๆ จะพกเก้าอี้แคมป์ปิ้งมานั่งกินดื่มให้หายเหนื่อย ตอนนั้นเองที่อมรเห็นความเป็นไปได้ใหม่ของพื้นที่ คิดรีโนเวตปรับปรุงพื้นให้เหมาะกับการเล่นมากขึ้น และชวนน้องชายมาเปิดคาเฟ่ทำเป็นพื้นที่รองรับเพื่อนๆ ชาวเซิร์ฟสเก็ต “ตอนที่คิดจะทำ มันเริ่มมีลานสเก็ตเกิดขึ้นเยอะ ยิ่งเราอยู่ในซอยอย่างนี้ก็ยิ่งทำให้อยู่รอดต่อไปยาก เพราะถึงเซิร์ฟสเก็ตจะถูกบรรจุเป็นกีฬาไปแล้วยังไงก็ไม่มีทางหายไปร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราก็ต้องยอมรับว่ากระแสเซิร์ฟสเก็ตก็คงไม่ได้อยู่ไปนานขนาดนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสรอดทางธุรกิจเราเลยลองจับโมเดลมาร์เก็ตแบบที่อเมริกา […]