ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันรูปแบบการทำงานเปลี่ยนไปมาก จากเดิมที่เราเคยนั่งทำงานในออฟฟิศ มีโต๊ะประจำ ตอกบัตรเข้า แล้วนั่งคิดนั่งเค้นงานที่โต๊ะนั้นจนเลิกงาน บรรยากาศการทำงานแบบนั้นกลับไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป
เดี๋ยวนี้หลายออฟฟิศอนุญาตให้ทำงานจากที่ไหนก็ได้ บ้างก็ให้เข้าออฟฟิศไม่กี่วันต่อสัปดาห์ อาจเพราะผู้บริหารหลายๆ ออฟฟิศต่างรู้ดีว่าศักยภาพของคนทำงาน-โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาเข้าหรือออกงานตรงเป๊ะ หรือการอยู่ติดกับโต๊ะเดียวทั้งวัน
แต่ท่ามกลางกระแสการทำงานที่ไม่เน้นเข้าออฟฟิศ มีออฟฟิศหนึ่งที่อาจเปลี่ยนใจพนักงานให้อยากเข้าทุกวันได้ ออฟฟิศนั้นตั้งบนชั้น 11 และ 12 ของตึก O-NES TOWER ติดกับบีทีเอสสถานีนานา เป็นออฟฟิศใหม่ของ foodpanda Thailand
เราได้ยินเสียงร่ำลือหนาหูว่าออฟฟิศใหม่ foodpanda น่ามานั่งทำงานมาก ไม่ใช่แค่เพราะสวยเหมือนคาเฟ่บรรยากาศชิล แต่เขายังเป็นออฟฟิศที่มีอุปกรณ์และระบบการทำงานตามคอนเซปต์ Agile Workplace ที่ส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานให้ดีขึ้นจริง ดีขนาดไหน ก็ถึงขนาดที่ว่าเป็นองค์กรแรกในไทยที่ได้รับรางวัล Great Place to Work® มาการันตี
ในเช้าตรู่ของวันทำงาน เราก็มีโอกาสได้มาสำรวจว่าที่เขาพูดกันนั้นจริงแค่ไหน เชื่อไหมว่าสิ่งที่เราได้สัมผัสนั้นไปไกลกว่าภาพที่จินตนาการไว้มากโข
แค่ก้าวแรกที่ก้าวเข้าออฟฟิศมา เราก็รู้เลยว่านี่คือออฟฟิศของ foodpanda เพราะเหตุผลสองข้อใหญ่
หนึ่ง-มีน้องเปาเปา แบรนด์แอมบาสเดอร์ปรากฏอยู่ทุกมุม
สอง-มีหลายเฉดของสีชมพูซ่อนอยู่ทุกที่เช่นกัน!
สิ่งที่เซอร์ไพร์สเราได้ตั้งแต่แรกเห็นคือล็อบบี้บริเวณแผนกต้อนรับที่ดูเหมือนโต๊ะนั่งชิลล์ในคาเฟ่มมากกว่าเป็นออฟฟิศ และเมื่อเข้าไปสำรวจข้างในก็ยิ่งเซอร์ไพร์สเข้าไปใหญ่ เพราะภาพที่เราเห็นนั้นช่างแตกต่างจากออฟฟิศที่เราคุ้นตา
อย่างแรกที่ชัดเจนมากคือ ใช้ระบบ Smart Office ที่ทั้งตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ และประหยัดพลังงาน โต๊ะทำงานที่ปรับระดับความสูงได้ตามใจ จะยืนหรือนั่งทำงานก็ได้, เก้าอี้ที่เสริมรับกับสรีระผู้นั่งได้อย่างถูกต้อง ลดโอกาสในการเป็นออฟฟิศซินโดรม, ระบบม่านป้องกันความร้อนซึ่งตรวจจับแสงแดดและสามารถปิดลงมาได้อัตโนมัติ ไหนจะระบบไฟในห้องประชุมที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับคนทำงาน ถ้าไม่มีคนอยู่ในห้องไหนไฟห้องนั้นก็จะดับลงอัตโนมัติ
สิ่งที่ว้าวกว่านั้นนอกเหนือจากโซนโต๊ะนั่งทำงานแบบชาวออฟฟิศที่มีในทุกบริษัท foodpanda ยังมีสเปซหลากหลายรูปแบบให้พนักงานได้เลือกใช้งานได้ตามใจ ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากการนั่งทำงานกับโต๊ะ บนชั้น 12 ก็มี Panda Camp ที่ยกบรรยากาศการตั้งเต็นท์ในป่ามาไว้ในออฟฟิศ หรือโซน Panda Beach ขอพาพนักงานหนีไปทะเลชั่วคราวด้วยชิงช้า เก้าอี้ชายทะเล รวมถึงสิ่งละอันพันละน้อยมากมายที่สื่อถึง Beach Vibes ที่สำคัญคือไม่ว่าจะกวาดตาไปยังจุดไหน ก็มักจะเห็นปลั๊กไฟแทบทุกจุด สมกับเป็นออฟฟิศที่เอื้อให้พนักงานทำงานที่ไหนก็ได้สุดๆ
พนักงานของ foodpanda เล่าให้ฟังว่า ออฟฟิศใหม่ของพวกเขาดีไซน์ตามแนวคิด Agile Workplace หรือสเปซทำงานที่เน้นความยืดหยุ่น เป็นอิสระ พวกเขาเชื่อว่าทุกคนมีความชอบในรูปแบบการทำงานแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อศักยภาพในการทำงานของแต่ละคน บรรยากาศที่แตกต่างเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพนักงานแฮปปี้เพราะจูนกับบรรยากาศของจุดต่างๆ ในออฟฟิศได้ ความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพในการทำงานจึงตามมา
เท่าที่เดินสำรวจมา ถ้าถามว่าโซนไหนในออฟฟิศนี้ที่เราเลิฟที่สุด คงต้องยกให้ Townhall
มันไม่ใช่แค่พื้นที่สำหรับการประชุมที่สามารถจุพนักงานหลายร้อยคนได้เท่านั้น แต่ foodpanda ยังแปลงโฉมพื้นที่กว้างใหญ่นี้ให้เป็นเหมือนสวนสาธารณะแบบกลางแจ้ง
รู้สึกว่าเป็นสวนสาธารณะเพราะอะไรน่ะเหรอ ก็ Food Truck ที่ตั้งเด่นหราอยู่กลางห้องโถงนั่นไง
ความปังปุริเย่ของรถ Food Truck คันนี้คือมากกว่าการเป็นจุดเสิร์ฟอาหาร มันยังเป็นพื้นที่ให้พนักงานมานั่งจิบกาแฟ นั่งคุยแลกเปลี่ยน คิดโปรเจกต์ใหม่ๆ หรือแม้แต่เล่นบอร์ดเกมและปาร์ตี้สังสรรค์
ไม่ใช่จะมีแค่ความชิลล์เท่านั้น แต่ทาวน์ฮอลล์ของ foodpanda ก็พรั่งพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีเจ๋งๆ อย่างระบบ VDO Conference ผ่านจอทีวีขนาดยักษ์ที่ภาพคม เสียงชัด แถมยังสามารถต่อตรงกับแอปพลิเคชั่น zoom ได้ง่ายๆ อีกด้วย
นอกจากพื้นที่โล่งโปร่ง เทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกสบาย เอื้อให้พนักงานอยากมาออฟฟิศทุกวัน สิ่งที่ฉันประทับใจไม่แพ้กันคืองานศิลปะในออฟฟิศ (ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก งานศิลปะ) ที่ตั้งไว้ชุบชูใจพนักงานตามมุมต่างๆ
จากการบอกเล่าของพนักงาน งานศิลปะเหล่านี้คือผลงานของศิลปินที่ foodpanda ชวนมาสร้างสรรค์โดยตั้งโจทย์ไว้ว่าอยากให้ผสมผสานวัฒนธรรมของ foodpanda น้องเปาเปา กับวัฒนธรรมไทย และเปิดโอกาสให้ศิลปินได้รังสรรค์ผลงานได้อย่างอิสระ ผลลัพธ์ที่ได้คืองานศิลป์ในรูปแบบหลากหลาย ตั้งแต่รูปวาดสตรีทอาร์ตไปจนถึงงานศิลปะแบบ Installation
ศิลปินที่มาร่วมโปรเจกต์นี้น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะพวกเขาคือศิลปินไทยรุ่นใหม่ 7 คนที่กำลังฉายแสงในวงการศิลปะแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Tam:da, Pabaja Studio, Aeicha, Pomme Chan, Beerpitch และ Tikky wow ที่ต่างมาปล่อยพลังสร้างสรรค์งานศิลป์ในแบบที่ตัวเองถนัด
ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องอมยิ้มกับทุกชิ้นงานที่ได้เห็น โดยเฉพาะ “Tuk Tuk Panda” Installation Art ของสตูดิโอ Tam:da ที่นำอุปกรณ์ในครัวมาสร้างเป็นรถตุ๊กตุ๊กคันใหม่ และงานของ Pabaja Studio ที่ตีความการเฉลิมฉลอง 10 ปี foodpanda Thailand ด้วยการผสมผสานลวดลายแบบไทยๆ กับแพนด้าได้อย่างลงตัว
เมื่อถาม foodpanda ว่าทำไมถึงต้องจัดเต็มขนาดนี้กับออฟฟิศใหม่ คำตอบที่ได้คือความใส่ใจที่องค์กรมีให้ต่อพนักงาน
แน่นอนว่า foodpanda เคยมีออฟฟิศอยู่แล้วในประเทศไทย แต่ที่มาที่ไปของการย้ายออฟฟิศคืออยากเน้นความปลอดภัยและความสะดวกสบายของพนักงานเป็นหลัก
เมื่อก่อน foodpanda ทำงานในออฟฟิศที่เรียบง่าย คล้ายออฟฟิศทั่วไป ซึ่งก็ดีในแบบของมัน แต่การจะทำออฟฟิศใหม่ทั้งที พวกเขาก็สร้างพื้นที่ที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องความสวยงามและการใช้งาน ก่อนจะทำออฟฟิศจึงได้มีการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานว่าอยากมีออฟฟิศแบบไหน และจึงสร้างตามความต้องการนั้น
foodpanda อยากให้ออฟฟิศเป็นพื้นที่ปลอดภัย และเดินทางสะดวกด้วยขนส่งสาธารณะ
สุดท้าย อยากให้พนักงานทุกคนภูมิใจในออฟฟิศนี้
และจากภาพที่เห็นตรงหน้าตอนนี้ เราว่าเขาทำสำเร็จแล้วล่ะ
นอกจากนี้ foodpanda Thailand ยังฉลองครบรอบ 10 ปี มอบส่วนลดสุดคุ้ม กับแคมเปญ “วันอังคาร วัน foodpanda” เพื่อตอบแทนลูกค้าทุกคนด้วยนะ มีทั้งส่งฟรี ทั้งแอปฯ เมื่อสั่งครบ 90 บาท ด้วยโค้ด TUESDAY ส่วนลดสูงสุด 90% จากร้านค้าที่ร่วมรายการ และส่วนลดสูงสุด 50% จาก pandamart ด้วย และถ้าถามว่าทำไมต้องวันอังคาร ก็เพราะว่าวันอังคารสีชมพู เหมือนสีของ foodpanda ไงหล่ะ วันนี้ – 31 สิงหาคม 2565 เท่านั้น!