เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซของศิลปินระดับตำนาน ไม่ว่าจะเป็น The Birth of Venus, Mona Lisa, Girl with a Pearl Earring, The Scream และ The Kiss แน่นอนว่าภาพวาดเหล่านี้มีมูลค่าที่คนธรรมดาอย่างเราไม่อาจเอื้อม จึงไม่วายที่บางภาพจะถูกขโมยไปจากพิพิธภัณฑ์จนต้องไปตามคืนอยู่บ่อยครั้ง
งานศิลปะที่ได้รับการกล่าวขานมานานนับร้อยๆ ปี และโด่งดังจนคนทั่วโลกต้องบินไปดูของจริงเพื่อเป็นบุญตานั้น ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปิน บทกวี และบทภาพยนตร์มากมาย ยิ่งทำให้ความนิยมแพร่หลายจนเกิดการทำซ้ำ ล้อเลียน กลายเป็นของประดับบ้าน หรือแม้แต่สกรีนลงแก้วน้ำ เสื้อยืด ลามไปถึงแผ่นแม่เหล็กติดตู้เย็น
ว่าแต่ “ทำไมภาพเหล่านี้จึงเป็นที่หลงใหลของคนทั่วโลก ?” มาไขความลับที่ซ่อนอยู่ในภาพวาด ทั้งเบื้องลึก และเบื้องหลังของศิลปิน ไปจนถึงดีเทลเล็กๆ ที่เป็นกุญแจสำคัญและมักถูกมองข้าม
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2020/07/UC-8-details-hidden-05-1024x1024.jpg)
The Birth of Venus (1482) โดย Sandro Botticelli
เทพีแห่งความรักที่กำเนิดจากฟองคลื่น ‘The Birth of Venus’ ผลงานของศิลปินคนสำคัญสมัยเรอเนซองส์ชาวอิตาลี ที่เหล่ากราฟิกดีไซเนอร์น่าจะคุ้นเคยกันดี เพราะถูกโปรแกรม Adobe Illustrator นำไปใช้ และเป็นแรงบันดาลใจให้มิวสิควิดีโอของ Beyoncé และ Lady Gaga
ในยุคกลางภาพผู้หญิงเปลือยเปล่าไม่ใช่สิ่งปกตินัก ศิลปินจึงวาดออกมาลักษณะคล้ายกับรูปปั้นอโฟรไดท์ ที่พยายามปกปิดตัวเองด้วยท่าทางเรียบร้อย แม้จะได้ชื่อว่าเป็นความงามในอุดมคติ แต่รูปร่างของวีนัสนั้นผิดสัดส่วนตามทฤษฎีสัจจะนิยมของ Leonardo da Vinci ที่เห็นได้ชัดเลยคือช่วงลำคอยาว แขนยาว และไหล่ลู่ไม่สมส่วน บางคนสันนิษฐานว่าเป็นงานศิลปะยุคก่อนจะพัฒนาไปเป็นแมนเนอริสม์
ถึงอย่างนั้น เส้นผมบนไหล่ขวาของเธอก็ม้วนเป็นเกลียวก้นหอยที่เป๊ะเกินกว่าจะเป็นความบังเอิญ ทำให้นักคณิตศาสตร์ชาวสวิส ‘Jacob Bernoulli’ ในศตวรรษที่ 17 รู้สึกหลงใหลในความสง่างามของธรรมชาติ และสังเกตทุกสิ่งรอบตัวตั้งแต่ดอกไม้ พายุไซโคลน ไปจนถึงกาแลคซี ว่ามีสัดส่วนเดียวกันนี้ จึงเรียกมันว่า ‘Spira Mirabilis’ (The Marvellous Spiral) หรือสัดส่วนทองคำ ‘Golden Ratio’ ที่นักออกแบบต้องรู้จัก
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2020/07/UC-8-details-hidden-01-1024x1024.jpg)
Mona Lisa (1503) โดย Leonardo da Vinci
ภาพวาดเลื่องชื่อขนาดแค่ 30 x 21 นิ้ว หุ้มกระจกกันกระสุนและระบบป้องกันโจรกรรมรอบทิศทาง ปัจจุบันมูลค่าน่าจะพุ่งถึง 860 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่คนทั่วโลกต้องบินไปชื่นชมเป็นบุญตาถึงพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ประเทศฝรั่งเศส เรากำลังพูดถึง ‘Mona Lisa’ ผลงานของศิลปินชั้นครูชาวอิตาลี
หญิงสาวเจ้าของใบหน้าอันโด่งดังนี้เป็นสาวชนชั้นสูงชื่อ Lisa del Giocondo ภรรยาของเศรษฐีผู้ว่าจ้างลีโอนาโดให้วาดภาพเหมือนของเธอเพื่อฉลองลูกชายคนที่สอง สิ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือรอยยิ้มที่ทำให้เกิดการตีความอย่างกว้างขวาง บางคนบอกว่าเป็นรอยยิ้มแห่งความสุข บ้างก็บอกว่ามันดูเสแสร้ง เฉยเมย หรือแม้แต่น่าเศร้า ไม่เพียงเท่านั้นดวงตาของเธอยังเหมือนจับจ้องเราไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ซึ่งเกิดจากเทคนิคภาพลวงตาที่เกิดจากแสงและสี ทำให้เราเห็นภาพแตกต่างไปจากเดิมหากมองจากมุมที่แตกต่างกัน
อีกประเด็นก็คือ “ทำไมโมนาลิซ่าไม่มีคิ้ว ?” ข้อสงสัยนี้ถูกไขโดย ‘Pascal Cotte’ วิศวกรชาวฝรั่งเศสที่ใช้กล้องความละเอียดสูงเผยความลับว่า จริงๆ แล้วเธอเคยมีคิ้วและขนตา แต่มันจางหายไปเพราะสีน้ำมันที่มีอายุมากกว่า 500 ปีแล้ว นอกจากนี้ภาพต้นฉบับก็น่าจะเป็นโทนสีน้ำเงินและผิวขาวสุกใส ผิดจากที่เราเห็นออกเป็นสีเขียว เหลือง และน้ำตาล แต่ที่ไม่มีการบูรณะภาพนี้เพราะไม่มีใครกล้ารับความเสี่ยงหากภาพที่นับมูลค่าไม่ได้นี้เกิดความเสียหาย
ภาพวาดนี้ยังคงซุกซ่อนความลับอีกมากมายที่รอการไขปริศนา แต่ความจริงข้อหนึ่งที่ทำให้ภาพโมนาลิซ่าโด่งดังขึ้นอีกครั้ง คือเมื่อมันถูกขโมยจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1911 กลายเป็นข่าวใหญ่ที่แม้แต่ศิลปินคนสำคัญของโลกอย่าง Pablo Picasso ก็เคยตกเป็นผู้ต้องหา ซึ่งบทสรุปผู้ร้ายตัวจริงนั้นเป็นชาวอิตาลีที่ทำงานอยู่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ที่มีความคิดว่าผลงานของศิลปินชาวอิตาลีก็ควรต้องอยู่อิตาลีสิ ไม่ใช่ฝรั่งเศส ! หลังจากภาพโมนาลิซ่าหายไปนานกว่า 2 ปี สุดท้ายก็ไปตามกลับมาจนได้
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2020/07/UC-8-details-hidden-03-1024x1024.jpg)
Girl with a Pearl Earring (1665) โดย Johannes Vermeer
หากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ของฝรั่งเศสมีโมนาลิซ่ากับรอยยิ้มลึกลับ พิพิธภัณฑ์เมาริตส์เฮยส์ ในกรุงเฮก เนเธอแลนด์ ก็มีโมนาลิซ่าเป็นของตัวเองเช่นกัน นั่นคือผลงาน ‘Girl with a Pearl Earring’ หรือ หญิงสาวกับต่างหูมุก ภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบของศิลปินชาวดัตช์ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘โมนาลิซ่าแห่งยุโรปเหนือ’
หญิงสาวผิวซีดเผือดบนพื้นหลังสีดำทึบขับให้เธอโดดเด่น ผนวกกับแสงเงาช่วยให้ใบหน้าดูมีมิติ ท่าทางที่เธอเอี้ยวคอมองพร้อมเผยอปากนั้นช่างสะกดสายตา ทว่าข้อเท็จจริงประการแรก ภาพนี้ไม่อาจเรียกว่าภาพพอร์ทเทรต เพราะหญิงสาวในภาพไม่ได้ระบุตัวตนแน่ชัดว่าเป็นใคร แต่เป็นภาพประเภท ‘โทรนี’ (Tronie) ที่นิยมในหมู่ศิลปินบาโร้กชาวดัตช์ในศตวรรษที่ 17 ซึ่งจับเอากิริยาท่าทางและเน้นอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าตัวบุคคล
อีกหนึ่งข้อเท็จจริงคือ ‘ต่างหูมุก’ ที่อาจไม่ใช่มุก แต่เป็นโลหะขัดเงา กระจก หรือดีบุก ด้วยความมันวาวของมันที่ต่างไปจากมุกจริงๆ ซึ่งมีความนุ่มนวลกว่า และขนาดที่ใหญ่เกินจริง แต่ส่วนเลอค่าที่สุดกลับเป็นผ้าโพกหัว ‘สีน้ำเงินอัลตรามารีน’ ที่ศิลปินยอมมีหนี้สินรัดตัว เนื่องจากสมัยก่อนวัตถุดิบที่นำมาสกัดสีเป็นของหายาก โดยเฉพาะสีน้ำเงินอัลตรามารีนที่ได้มาจาก ‘หินแลพิส’ จากประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งการได้มายากนั้นทำให้มันมีราคาแพงกว่าทองเสียอีก
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2020/07/UC-8-details-hidden-02-1024x1024.jpg)
The Scream (1893) โดย Edvard Munch
ภาพที่แสดงความหวาดกลัวราวกับส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา ‘The Scream’ เป็นผลงานของศิลปินชาวนอร์เวย์ เขาวาดภาพนี้ไว้ 4 ภาพ โดยภาพที่รู้จักกันดีเป็นภาพวาดสีน้ำมัน สีฝุ่นเทมเพอรา และสีชอล์กบนกระดาษแข็ง วาดขึ้นในช่วงที่เขาไปเยี่ยมน้องสาวผู้ป่วยเป็นโรคอารมณ์สองขั้ว ซึ่งเขาเองก็เผชิญกับความผิดปกติทางจิตมาตลอดช่วงชีวิต
.
“ผมกำลังเดินไปตามถนนกับเพื่อนสองคน ตอนนั้นดวงอาทิตย์กำลังตกดิน ทันใดนั้นท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ผมหยุด รู้สึกหมดแรงและพิงตัวกับราวกั้น มันเหมือนมีเลือดและเปลวไฟลอยอยู่เหนือฟยอร์ดและเมืองที่ผมอยู่ เพื่อนผมเดินจากไปแล้ว แต่ผมยังอยู่ตรงนั้น ตัวสั่นเทาด้วยความวิตก และรู้สึกได้ถึงเสียงกรีดร้องที่ดังมาจากสภาพแวดล้อมนั้น”
.
ใบหน้าบูดเบี้ยวที่กลายเป็นไอคอนิกและถูกนำไปสร้างหนัง เชื่อว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก ‘มัมมี่เปรู’ ที่ศิลปินได้เห็นในงานนิทรรศการที่กรุงปารีส แต่ก็มีอีกข้อสันนิษฐานว่า มันเกิดจากความวิตกกังวลของเขาเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วในยุคนั้น จึงวาดออกมาเป็น ‘หลอดไฟ’ รูปทรงหัวกะโหลกของ Thomas Edison ต่างหากเล่า !
.
ส่วนท้องฟ้าสีแดงวิปลาสนั้น คาดเดาว่าเป็นผลกระทบจาก ‘การปะทุของภูเขาไฟกรากาตัว’ หายนะครั้งใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย ที่ทำให้ท้องฟ้ายามเย็นของซีกโลกตะวันตกกลายเป็นสีแดงจัดอยู่นานหลายเดือน ยังมีอีกทฤษฎีที่บอกว่า ท้องฟ้าที่ดูเป็นคลื่นหลากสีนั้นคือ ‘เมฆสีมุก’ (Nacreous cloud หรือ Polar stratospheric cloud) ซึ่งเกิดจากการเลี้ยวเบนของแสงจนปรากฏเป็นสีรุ้งนั่นเอง
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2020/07/UC-8-details-hidden-04-1024x1024.jpg)
The Kiss (1907) โดย Gustav Klimt
ภาพวาดจากยุคทองของ กุสตาฟ คลิมท์ ศิลปินชาวออสเตรีย ที่ต้องเรียกว่ายุคทอง เพราะนอกจากศิลปินจะได้รับการยกย่องเป็นผู้นำศิลปะยุคโมเดิร์นของเวียนนาแล้ว ตัวผลงานยังเป็นภาพวาดสีน้ำมันที่ใช้เทคนิค ‘ปิดทอง’ ลงไปบนผืนผ้าใบ เนื่องจากพ่อของเขาเป็นช่างทอง และได้แรงบันดาลใจจากศิลปะไบแซนไทน์
ภาพจุมพิตอย่างดูดดื่มท่ามกลางสวนดอกไม้ ‘The Kiss’ เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมาก ขณะเดียวกันในช่วงต้นทศวรรษ 1900 ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล่อแหลมแม้ว่าทั้งชายหญิงจะมีผ้าคลุมมิดชิดก็ตาม หลายคนเชื่อว่าต้นแบบของผลงานชิ้นนี้คือตัวศิลปินและ Emilie Flöge ผู้เป็นที่รักของเขา
ความน่าสนใจนอกเหนือจากสีทองอร่ามและความอีโรติกคือ ผลงานของคริมท์ได้รับอิทธิพลจากการศึกษาชีววิทยาของ Charles Darwin คริมท์หมกมุ่นอยู่กับการปฏิสนธิและพัฒนาเป็นตัวอ่อนในครรภ์ สัญลักษณ์ทางชีววิทยาต่างๆ จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจสู่ลวดลายในภาพวาด โดยรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแทนอสุจิ และรูปวงรีแทนเซลล์ไข่ ดังนั้นภาพวาดของเขาไม่เพียงเร้าอารมณ์เท่านั้น หากแต่แสดงถึงการสร้างชีวิตมนุษย์ที่น่าอัศจรรย์อีกด้วย
SOURCES: Italian Renaissance | https://bit.ly/32KTEMQ
BBC | https://bbc.in/3hqvPht
Science ABC | https://bit.ly/2CDRQuB
Medium : https://bit.ly/3fTnfrm
Encyclopaedia Britannica | https://bit.ly/2WMB5o1
TCDC | https://bit.ly/2CUG0fl
TED-Ed | https://bit.ly/2OM5HRZ
Wired | https://bit.ly/2CDs21G
BBC | https://bbc.in/39myPZB
Dairy Art Magazine | https://bit.ly/3jv0T1t