Where Winds Meet
เมื่อสายลมพัดพา ก็ถึงคราท่องยุทธภพ
ในเวลานี้เกมที่มาแรงที่สุดคงไม่พ้น ‘Where Winds Meet’ เกมท่องยุทธภพจากค่ายเกม Everstone Studio ที่จะพาเราไปรับบทจอมยุทธ์ผจญภัยในช่วงศตวรรษที่ 10 ของจีน หรือที่เรียกกันว่ายุคห้าราชวงศ์และสิบอาณาจักร สำรวจโลกกว้างในยุคที่มีความไม่สงบทุกหย่อมหญ้า ฝึกวิชาเพื่อเป็นหนึ่งในใต้หล้า ทำเอาชาว Urban Creature อดหลับอดนอนไปท่องยุทธภพกันหลายคนเลย
ภายในเกม แผนที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 โซนหลักๆ ได้แก่ Qinghe พื้นที่ชนบทที่เต็มไปด้วยหมู่บ้านเล็กๆ และธรรมชาติ และ Kaifeng มหานครไคเฟิง หรือที่ชาวไทยเรียกกันว่า ‘ไคฟง’ เมืองใหญ่ที่ไม่เคยหลับใหล เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสุดอลังการ แสงสีและความบันเทิงทั่วทุกท้องถนน ผู้คนทำกิจกรรมอย่างพลุกพล่านตลอดเวลา จนมีคำกล่าวว่า โคมไฟในเมืองไคเฟิงช่วงค่ำคืนส่องสว่างกว่าดวงดาราบนท้องนภาเสียอีก
ในคอลัมน์ Urban Isekai นี้ เราจะรับบทเป็นจอมยุทธ์พเนจรวิ่งลัดเลาะตามแนวหลังคาออกสำรวจเมืองไคเฟิง มหานครที่เต็มไปด้วยแสงสี ชื่นชมสถาปัตยกรรมอันงดงาม แว่วหูฟังเสียงกระซิบจากโรงน้ำชา และดำดิ่งสู่ตรอกซอกซอยที่ซ่อนความลับไว้มากมาย เอาละ…ใช้วิชาตัวเบาของเจ้า แล้วรีบตามมาเสีย!

Kaifeng มหานครจีนโบราณ ศูนย์กลางโลกยุทธภพ
เมืองไคเฟิงในเกม Where Winds Meet อ้างอิงมาจากเมืองไคเฟิงตามประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือช่วงศตวรรษที่ 10 ซึ่งตั้งอยู่ในมณฑลเหอหนานของจีน เป็นเมืองสำคัญที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 4,000 ปี
ในยุคสมัยโบราณ ไคเฟิงถือเป็นหนึ่งในเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรถึง 1 – 2 ล้านคน และเป็นศูนย์กลางทางการค้า วัฒนธรรม และการปกครองในยุคนั้น
ในเกม Where Winds Meet ทางผู้สร้างได้แต่งเติมความเหนือจริงเข้าไปในเมืองไคเฟิงให้เข้ากับความเป็นโลกยุทธภพจีน ไคเฟิงในเกมจึงเป็นเหมือนศูนย์กลางยุทธภพ เป็นที่ตั้งของสำนักและนิกายมากมาย มีโรงประมูลสมบัติโบราณล้ำค่า ลานประลองยุทธ์ และที่สำคัญที่สุดคือโรงเตี๊ยมที่เป็นที่พบปะของเหล่าจอมยุทธ์ทั่วทุกสารทิศ พ่อค้าทั่วทั้งดินแดนมาตั้งร้านขายสินค้าทุกรูปแบบ ถึงขนาดมีคำกล่าวว่า “ไม่มีสินค้าใดในโลกที่จะหาไม่เจอในไคเฟิง” ถ้าเราเดินไปตามท้องถนนเมืองไคเฟิง เราจะได้ยินเสียงพูดคุยถึงข่าวคราวความเป็นไปทั่วยุทธภพ

ผังเมืองรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบ่งพื้นที่ตามการใช้งาน
เมืองไคเฟิงได้รับการออกแบบตามหลักการออกแบบผังเมืองจีนโบราณ โดยจะมีรูปแบบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าทอดตัวตามแนวทิศเหนือ-ใต้ มีถนนเป็นแนวหลัก 2 เส้นคือ แนวเหนือ-ใต้ และแนวตะวันออก-ตะวันตก มีกำแพงล้อมรอบตัวเมืองคอยป้องกันภัยในยุคสงคราม
ภายในพื้นที่เมืองถูกแบ่งเป็นเกาะหลายเกาะด้วยแม่น้ำที่ไหลผ่านเข้ามาในเมือง ซึ่งแต่ละเกาะก็ถูกกำหนดการใช้งานพื้นที่ในรูปแบบที่ต่างกัน ไล่เรียงจากทางใต้ไปเหนือของเมือง ดังนี้
1) Imperial Artisan Court – พื้นที่ช่างฝีมือ
2) South Gate Avenue – ทางเข้าเมือง
3) Forsaken Quarter – พื้นที่เสื่อมโทรม
4) Furnace Area – พื้นที่อุตสาหกรรม
5) Kaifeng Prefecture – พื้นที่ราชการ
6) Fairgrounds – พื้นที่พาณิชยกรรมและตลาด
7) Prosperity Haven – พื้นที่อยู่อาศัยขุนนางหรือชนชั้นสูง
8) Imperial Palace – พระราชวังหลวง
9) Velvet Shade – ย่านเริงรมย์และสวนสาธารณะ

พื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ สร้างความสมดุลของเมืองและธรรมชาติ
เมืองไคเฟิงมีแม่น้ำเปี้ยนเป็นแม่น้ำสายหลักพาดผ่านกลางเมือง นอกจากการสัญจรทางน้ำ การออกแบบเมืองยังหยิบเอาแม่น้ำมาเป็นส่วนหนึ่งของทัศนียภาพเมือง ทำให้เกิดคูคลองและสระน้ำ สร้างสมดุลให้กับเมืองและธรรมชาติ
Pearlglow Lake (สระประกายมุก) เป็นพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ของเมือง มีผู้คนมาทำกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ แต่งบทกวีริมสระน้ำ อีกทั้งบริเวณรอบสระประกายมุกยังเป็นที่ตั้งของ ‘12 ทิวทัศน์บุปผา’ แลนด์มาร์กทิวทัศน์ 12 จุดที่เหล่าจอมยุทธ์ต้องมาเยี่ยมชมให้ได้สักครา
นอกจากนี้ ในส่วนอื่นของเมือง เราจะได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่สัมพันธ์กับสายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อน เล่นดนตรี หรือฝึกวิชา การมีสายน้ำเป็นส่วนหนึ่งของเมืองอันวุ่นวายแห่งนี้คงช่วยมอบความสงบแก่ผู้คนในเมืองได้

การออกแบบเส้นนำสายตา ช่วยนำทางและสร้างเอกลักษณ์ให้เมือง
จากผังเมืองที่ได้รับการออกแบบมาอย่างเป็นระบบ และการวางอาคารสำคัญตามจุดต่างๆ ช่วยให้ผู้มาเยือนทำความเข้าใจเมืองได้คร่าวๆ จากการมองถนนสายหลักแนวเหนือ-ใต้ที่มีพระราชวังหลวงตั้งอยู่ปลายสายตา
ถนนหนทางล้วนวางแนวมาเป็นระเบียบในพื้นที่ราชการ หอคอยเหล็กขนาดใหญ่ของเขต Furnace ที่มองเห็นก็รู้เลยว่าพื้นที่นั้นเป็นโรงงานอุตสาหกรรม หรือหอคอยโคมมังกรที่เห็นไกลๆ ก็รู้ทันทีว่าย่านนั้นต้องมีแต่ความบันเทิง สนุกสนาน
องค์ประกอบของเมืองเหล่านี้ นอกจากช่วยเรื่องการนำทางแล้ว ยังช่วยสร้างภาพจำที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับย่านต่างๆ ของเมืองได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญอีกมากมายที่ควรแวะเวียนไปเมื่อมาเมืองไคเฟิง ได้แก่
Revelry Hall
หอเริงรมย์ที่ตั้งอยู่ใจกลางสระน้ำประกายมุก สถานที่ที่ว่ากันว่าแสงสว่างไม่เคยหยุดส่องประกาย และเสียงเพลงไม่เคยหยุดบรรเลง ทุกคืนมีดอกไม้ไฟให้ชม
Caomen Avenue
ถนนสายการค้าที่มีร้านรวงทอดยาวทั้ง 2 ฝั่งถนน พ่อค้าจากทั่วดินแดนมารวมตัวกันที่นี่ พ่อค้าหลายคนต่างกล่าวว่า การต่อสู้ในเมืองไคเฟิงคือการทำธุรกิจ หาใช่การประยุทธ์
Sundries Market
ตลาดสินค้าหรูหราจากทั่วดินแดน เป็นพื้นที่ที่ชนชั้นสูงในเมืองจะมาเดินซื้อของกัน เราจะได้พบเจอข้าราชการหรือทูตจากต่างแดนในบริเวณนี้
Hopewell Academy
สถาบันวิชาการที่ก่อตั้งโดยสำนัก Inkbound Order เพื่อฟื้นฟูการศึกษาเชิงวิชาการและปรัชญา โดยสถาบันนี้เปิดรับผู้คนทุกชนชั้น
Grand Imperial Temple
วัดหลวงที่มีหอตำราที่รวบรวมวรยุทธ์จากทั่วทั้งดินแดน เป็นสถานที่ที่เหล่าจอมยุทธ์แวะเวียนเข้ามาทดสอบวรยุทธ์

เมืองที่ไม่เคยหลับใหล ฉายภาพศูนย์กลางยุทธภพในยามค่ำคืน
มีคำกล่าวว่า แสงโคมในเมืองไคเฟิงยามค่ำคืนส่องสว่างกว่าดวงดาราบนท้องนภาเสียอีก
ย่านกลางคืนเป็นอีกหนึ่งในชื่อเสียงของเมืองไคเฟิง โดยเฉพาะยามค่ำคืนในย่าน Fairgrounds และ Velvet Shade ที่ต่างพลุกพล่านไปด้วยผู้คน มีการแสดงข้างถนนมากมาย เสียงเพลงบรรเลงเคล้าสุราชั้นเลิศในโรงเตี๊ยม แสงโคมสีเหลืองส่องสว่างสองข้างทาง
ทว่าพื้นที่ริมน้ำกลับเงียบสงบ มีบรรยากาศโรแมนติก เรือติดโคมไฟล่องผ่านสายน้ำ ในบางพื้นที่มีการลอยโคม ผู้คนออกมามองทิวทัศน์ของแสงไฟที่สะท้อนบนผิวน้ำ ทำให้เห็นอีกมุมของเมืองในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ลาลับ
แต่ระวังตัวไว้ด้วยล่ะ ถ้าเจ้าไปเดินผิดที่ผิดทาง ในตรอกซอกซอยอันคดเคี้ยวของเมืองนี้ เหล่าโจรและนักฆ่าในเงามืดก็พร้อมจะเล่นงานเจ้าเสมอ

เมืองที่มีชีวิตชีวา จากความแตกต่างหลากหลาย
บนถนนของเมืองไคเฟิง ผู้คนหลั่งไหลเหมือนสายน้ำ เสียงจอแจดังเซ็งแซ่จากถ้อยคำเรียกลูกค้าของเหล่าพ่อค้าแม่ค้า ไอน้ำจากกระทะผัดอาหาร และฝุ่นควันฟุ้งกระจายบนทางล้อเกวียนที่วิ่งในเมืองใหญ่
ผู้คนจากทั่วทั้งใต้หล้าต่างมารวมตัวกันที่ไคเฟิง ไม่ว่าจะเป็นเหล่าพ่อค้าผู้นำสินค้าแปลกตาเข้ามาค้าขาย นักปราชญ์และกวีที่นำเรื่องเล่ามาจากทั่วยุทธภพ หรือเหล่าจอมยุทธ์ที่อยากประลองฝีมือชิงความเป็นหนึ่ง
ความหลากหลายของผู้คนทำให้เราได้เห็นถึงความมีชีวิตชีวาบนท้องถนน ผ่านแผงอาหารที่ตั้งอยู่สองข้างทาง โรงน้ำชาที่จอแจไปด้วยเสียงพูดคุย เสื้อผ้าการแต่งตัวหลากหลายรูปแบบของแต่ละคน หนำซ้ำระหว่างเดินเราจะได้ยินข่าวลือจากทั่วทั้งดินแดนผสมปนเปเข้าหูมาอีก
บวกกับการที่เมืองออกแบบมาให้การใช้งานแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน ทำให้เราเห็นกิจกรรมหลากหลายรูปแบบในเมืองไปด้วย เช่น เหล่าช่างสลักหินในพื้นที่ Imperial Artisan Court นักปราชญ์ที่นั่งอ่านตำราใน Hopewell Academy หรือนักพนันที่พร้อมเสี่ยงโชคในพื้นที่ Fairgrounds สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เดินในเมืองไคเฟิงได้ไม่เบื่อเลย ไหนจะยังมีการแจกแผนที่ท่องเที่ยวให้เราไปชมกิจกรรมและความบันเทิงภายในเมืองได้ถึง 14 รูปแบบ จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครๆ ต่างก็อยากใช้เวลาสำรวจดินแดนแห่งนี้

เมืองแห่งความเหลื่อมล้ำ ‘ไคเฟิงนั้นงาม แต่ผู้คนนั้นไม่งามเหมือนเมือง’
ในภาพของเมืองที่ส่องสว่างไปด้วยแสงแห่งความสำราญ เงามืดที่เกิดขึ้นก็ยิ่งยากที่จะหยั่งถึง หากได้ลองเดินออกนอกเส้นทางหลักของเมือง ละสายตาจากสิ่งล่อตาล่อใจ เราจะได้เห็นภาพของผู้คนที่หิวโซ หลังคากระเบื้องแตกๆ ของบ้านที่ผุพัง แม่ที่ต้องขโมยเงินมาซื้อยารักษาลูก และกลุ่มอันธพาลที่คอยรีดไถชาวบ้าน
Forsaken Quarter ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง เป็นย่านเสื่อมโทรมที่ไม่ได้รับการบูรณะจากสงคราม ไม่มีคนสติดีที่ไหนจะเดินเข้าไปในย่านนี้ เพราะผืนธรณีถูกปกครองด้วยกลุ่มอันธพาลต่างๆ และเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าผู้ที่ถูกทิ้งจากพื้นที่ที่ทรุดโทรมจากภัยสงคราม
ใจกลางย่านนี้มี Unbound Cavern ถ้ำที่เชื่อมต่อกับระบบใต้ดินสุดลึกลับในเมือง ไม่มีใครรู้ว่าภายในนี้มีความลับดำมืดอะไรซ่อนอยู่ ว่ากันว่าที่นี่ยังเป็นทางเข้าของ Ghostlight Market ตลาดมืดที่ซ่อนอยู่ภายใต้เมืองไคเฟิง แหล่งรวมเหล่าผู้คนนอกกฎหมาย
เอาละท่านจอมยุทธ์ ตอนนี้ท่านได้รู้จักกับมหานครไคเฟิงแล้ว บัดนี้ถึงเวลาที่ข้าต้องขอตัวก่อน จงอย่าหยุดฝึกฝนวรยุทธ์ของท่าน และได้โปรดจำไว้ว่า เมื่อสายลมพัดพา โชคชะตาจะทำให้เราพบกันอีก