ได้หยุดยาวทั้งที หรือต่อให้มีวันหยุดแสนสั้นก็ขอไปเที่ยวจริงจังบ้างสักวันเถอะนะ! แต่ถ้าไม่อยากขับรถไกลไปต่างจังหวัด ในกรุงเทพฯ ก็มีแหล่งท่องเที่ยวสวยๆ ชิลๆ ที่ไม่ต้องเจอรถติด แถมค่าเดินทางก็ไม่กี่สิบบาท แต่สามารถไปเที่ยวสนุกได้ทั้งวันแล้ว
ที่เราพูดถึงอยู่นี้คือ ‘ทริปล่องเรือแวะเที่ยวริมแม่น้ำเจ้าพระยา’ บอกไว้เลยว่าทริปนี้เราจะไม่ขึ้นรถแต่จะลงเรือและเดินเท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีเดินทางที่เวิร์กและได้ฟีลกว่าการนั่งรถเยอะ หากใครยังงงๆ ไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหน ก็ลองเลื่อนนิ้วไปดู ‘TRIP-NI-MAI-MEE-LOR/ทริปนี้ไม่มีล้อ’ ไกด์บุ๊ก แชร์ฟรี!! ฉบับ Urban Creature ที่ทำมาเพื่อคนกรุงผู้เบื่อปัญหารถติดโดยเฉพาะ นอกจากย่อยข้อมูลเดินเรือที่เยอะตาแตกให้เข้าใจง่าย ยังกรุ๊ปรวมที่เที่ยวเด่นๆ ที่สามารถขึ้นท่าปุ๊บแล้วเดินต่ออีกนิดก็เที่ยวได้ สรุปมาให้ทุกย่านแบบละเอียดยิบ รับรองว่าเที่ยวเก๋ไก๋สไตล์ลึกซึ้งแน่นอน!
Tourist Information | เรือเจ้าพระยาแต่ละประเภท
หลายคนไปถึงท่าเรือแล้วไม่มั่นใจว่าต้องลงเรือลำไหน หรือเกิดความสงสัยว่าธงแต่ละสีแตกต่างกันอย่างไร อธิบายง่ายๆ ก็คือ เรือแต่ละลำจะเทียบท่าไม่เหมือนกัน อย่างเรือประจำทางก็จะเทียบทุกท่า แต่หากเป็นเรือด่วนก็จะมีธงสีๆ ท่าที่เทียบก็แล้วแต่ว่าด่วนมากด่วนน้อย ส่วนเรือธงฟ้าก็จะเทียบเฉพาะท่าท่องเที่ยวสำคัญๆ กินลมชมวิว รวมถึงราคาและบริการก็จะต่างกันออกไป จะไปลงท่าไหนก็มีวิธีดูง่ายๆ ว่ามีเรือแบบไหนที่จะเทียบบ้าง
เรือประจำทาง (ไม่มีธง) เป็นเรือโดยสารประเภทเดียวที่จอดทุกท่า ตั้งแต่ท่าวัดราชสิงขร-นนทบุรี โดยคิดราคาตามระยะทาง 10 – 12 – 14 บาท ให้บริการเฉพาะวันธรรมดา (หยุดวันเสาร์-อาทิตย์) มีเที่ยวเรือให้บริการสองช่วงต่อวัน ช่วงเช้า 06.45 – 07.30 น. และช่วงเย็น 16.00 – 16.30 น.
เรือท่องเที่ยว ธงฟ้า เชื่อมต่อสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในกรุงเทพฯ ทั้งหมด 8 ท่า เริ่มต้นที่ท่าสาทร-ท่าพระอาทิตย์ ตั้งแต่ 09.00 – 17.30 น. และ จากท่าพระอาทิตย์-ท่าสาทร ตั้งแต่ 09.30 – 18.00 น. ให้บริการทุกวัน โดยจะออกจากท่าสาทรและท่าพระอาทิตย์ทุก 30 นาที ตั๋วโดยสารมี 2 ประเภท ได้แก่ ตั๋วเที่ยวเดียว ราคา 50 บาท และบัตรโดยสารประเภท 1 วัน ราคา 180 บาท ตลอดระยะทางจะมีไกด์คอยให้ข้อมูลเกี่ยวกับท่าเรือต่างๆ ว่าเราสามารถไปเที่ยวต่อที่ไหนได้บ้าง
เรือด่วนพิเศษ ธงส้ม เป็นเรือด่วนที่จอดเกือบทุกท่า ค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสาย ตั้งแต่ท่าวัดราชสิงขร-นนทบุรี และเป็นเรือด่วนประเภทเดียวที่ให้บริการทุกวัน เวลา 06.00 – 19.00 น.
เรือด่วนพิเศษ ธงเหลือง เป็นเรือด่วนที่ด่วนที่สุดเพราะเทียบท่าน้อยที่สุด ค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ตั้งแต่ท่าสาทร-นนทบุรี ให้บริการเฉพาะวันธรรมดา (หยุดวันเสาร์-อาทิตย์) มีเที่ยวเรือให้บริการสองช่วงต่อวัน ช่วงเช้า 06.15 – 08.20 น. และช่วงเย็นถึงค่ำ 16.00 – 20.00 น.
และเรือด่วนพิเศษ ธงเขียว เป็นเรือด่วนประเภทเดียวที่ไปสุดสายที่ปากเกร็ด โดยเริ่มจากท่าสาทร-นนทบุรี-ปากเกร็ด โดยคิดราคาตามระยะทาง 13 – 20 – 32 บาท ให้บริการเฉพาะวันธรรมดา (หยุดวันเสาร์-อาทิตย์) มีเที่ยวเรือให้บริการสองช่วงต่อวัน ช่วงเช้า 06.10 – 08.10 น. และช่วงเย็น 16.05 – 18.05 น.
Scenery | ดื่มด่ำวิวยามเย็น
ท่าสาทรเป็นจุดเริ่มต้นทริปที่ง่ายที่สุด เนื่องจากเป็นท่าที่สามารถต่อเรือได้ทุกสายและเป็นจุดเชื่อมต่อกับบีทีเอสสะพานตากสิน หากใครมาถึงย่านนี้ต้องไม่พลาดที่จะมาตามหาของอร่อยใน ‘ย่านบางรัก’ ที่มีร้านเจ้าเก่าให้เช็กอินกันตลอดเส้นเจริญกรุง รวมถึงตลาดข้างห้างฯ โรบินสันที่มีของกินละลานตาตอนเย็นๆ ใครขยันเดินหน่อยก็สามารถเดินไปได้ถึงพื้นที่สร้างสรรค์แห่งใหม่อย่าง TCDC หรือ Warehouse 30
อีกหนึ่งทางเลือกหากอยากเดินเล่นชิลๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชมวิวพระอาทิตย์ตก ก็สามารถต่อเรือฟรีจากท่าสาทรมาลงที่ท่าเอเชียทีคได้เลย ‘ASIATIQUE The Riverfront’ รีโนเวตโกดังสินค้าเก่าให้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ช้อปปิง มีทั้งโซนร้านอาหาร บาร์ ร้านเสื้อผ้า ร้านขายของที่ระลึก และชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่ถือเป็นแลนด์มาร์ก สามารถขึ้นไปชมวิวแม่น้ำยามค่ำคืนในมุมมอง Bird’s-eye view
Culture : ชมวิถีชุมชนริมน้ำ
แค่นั่งเรือข้ามฟากจากท่าสี่พระยามาลงคลองสาน ก็จะพบกับโครงการฮิปๆ อย่าง ‘The Jam Factory’ ที่เนรมิตโกดังเก่าให้กลายเป็นแหล่งชิล โดยรวมเอาร้านกาแฟไล-บรา-รี่ ร้านหนังสือก็องดิด ร้านขายของตกแต่งบ้าน และแกลเลอรีมาไว้ด้วยกัน ตรงกลางเป็นสนามหญ้าร่มรื่นด้วยต้นไทรใหญ่เป็นซิกเนเจอร์ ส่วนด้านหน้าติดริมแม่น้ำยังมี ‘The Never Ending Summer’ ที่เป็นร้านอาหารไทยอีกด้วย
ถัดจาก The Jam Factory คือท่าเรือหวั่งหลีที่ตั้งของ ‘ล้ง 1919’ ที่เที่ยวสุดฮิปซึ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน จากท่าเรือกลไฟไทย-จีนอายุกว่า 160 ปี ได้รับการบูรณะใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ด้านหน้าคือศาลเจ้าแม่หม่าโจ้ว ส่วนภายในล้งก็มีทั้งพิพิธภัณฑ์ ครีเอทีฟสเปซ ร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขายสินค้าศิลปะ
ข้ามกลับมาฝั่งพระนคร ตรงข้ามกันไม่ไกลจะเป็น ‘โบสถ์แม่พระลูกประคำ’ หรือวัดกาลหว่าร์ อายุกว่า 120 ปี เมื่อเดินลัดเลาะซอยเล็กซอยน้อยก็จะพบ Hidden Gem ของย่าน ‘ตลาดน้อย’ ชุมชนเก่าแก่ที่มีทั้งร้านของกินเด็ดๆ และร้านขนมโบราณตั้งอยู่เรียงราย มีไฮไลต์อย่างศาลเจ้าโรงเกือกและบ้านโซวเฮงไถ่ เก๋งจีนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีอายุมากกว่า 200 ปี!!
Shopping & Food | ช้อปตลาดดอกไม้ ชิมสตรีทฟู้ด
เดินจากท่าราชวงศ์ไม่ถึง 400 ม. ก็มาถึง ‘เยาวราช’ ย่านที่รวบรวมร้านอาหารสตรีทฟู้ดไว้หลายรูปแบบ ตั้งแต่หูฉลาม กวยจั๊บ เต้าทึง ข้าวเหนียวทุเรียน-มะม่วง พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน ร้านแบบถาวรจะเปิดตั้งแต่ 10.00 – 23.00 น. ส่วนถ้าเป็นแบบแผงลอยจะเปิดช่วงเย็น หลัง 17.00 น. เป็นต้นไป โดยบางร้านก็จะเปิดยาวไปจนถึงช่วง 02.00 น. เลย ใครเป็นสายกินมาที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน
ถ้าอยากจะซื้อดอกไม้ ‘ปากคลองตลาด’ ก็น่าจะเป็นที่แรกป็อปอัปขึ้นมาในหัว วิธีการมาที่นี่ก็ไม่ยาก เพียงแค่ลงท่ายอดพิมานและเดินต่อมาอีกนิดหน่อยก็ถึง ช่วงหัวค่ำจะเป็นเวลาลงดอกไม้ล็อตใหม่ คนส่วนใหญ่นิยมมาเดินซื้อดอกไม้กันตอนดึกๆ ไปถึงรุ่งสาง เพื่อที่ดอกไม้จะยังคงสดอยู่ในเช้าวันรุ่งขึ้น ออกจากตลาดไปไม่ไกลก็มีร้านจัดดอกไม้ชื่อ ‘นภสร (Napasorn)’ โดยชั้นสองจะเป็นคาเฟ่บรรยากาศวินเทจๆ ชื่อ ‘Floral Cafe at Napasorn’ แต่ละมุมของร้านถูกตกแต่งด้วยดอกไม้นานาชนิด เรียกได้ว่าเป็นร้านที่มีเสน่ห์เข้ากับย่านนี้จริงๆ
History | ไหว้พระ เที่ยววัดวาอาราม
โดดเด่นเป็นสง่าคู่ฝั่งธนฯ ‘วัดอรุณราชวราราม’ ล่าสุดเพิ่งเปลี่ยนโฉมโดยการบูรณะทาสีใหม่ วิวที่สวยที่สุดคือเมื่อมองจากฝั่งท่าเตียนในช่วงเวลาเย็นๆ ซึ่งบริเวณนั้นส่วนใหญ่จะเป็นร้านดินเนอร์หรูๆ ที่สามารถมองเห็นพระปรางค์และวิวแม่น้ำได้แบบเต็มตา
นอกจากนี้ ฝั่งท่าเตียนก็มีวัดโพธิ์ ต้นกำเนิดศาสตร์การนวดแผนโบราณอันเลื่องชื่อ ที่สามารถไปใช้บริการนวดเป็นชั่วโมง หรือจะนวดฝ่าเท้าสัก 30 นาทีก็ช่วยคลายความเมื่อยหลังจากที่เดินมาทั้งวัน
ต่อมาคือพิพิธภัณฑ์สุดล้ำที่กำลังอินเทรนด์ ‘Museum Siam’ เพราะเพิ่งเปิดตัวนิทรรศการถาวรใหม่อย่าง ‘ถอดรหัสไทย’ เนื้อหามันๆ ร่วมสมัย ให้เราได้เล่นสนุกและร่วมหาคำตอบว่าอะไรคือความเป็นไทยที่แท้จริง
สถานที่สำคัญที่อยู่ใกล้เคียงกัน ได้แก่ ‘วัดพระแก้ว’ ที่สามารถเดินจากท่าช้างมาได้ไม่ไกลนัก ด้านในมีพระอุโบสถที่สวยงาม นอกจากนี้ ภายในพระบรมมหาราชวังยังมีพระที่นั่งวิมานเมฆ พระที่นั่งอนันตสมาคม และพิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่หากได้มาแล้วไม่ควรพลาดที่จะแวะชม
จุดแวะสุดท้ายของโซนนี้ก็คือ ’ท่ามหาราช’ คอมมูนิตี้มอลล์สุดชิกริมแม่น้ำเจ้าพระยา ดื่มด่ำวิวสวยๆ ช้อปเพลินๆ หรือกินดื่มสุดชิลเพราะเขารวบรวมร้านอร่อยจากทุกสารทิศมาไว้ที่นี่
Food & Drink | แฮงเอาต์ยามค่ำคืน
และท่าเรือสุดท้าย ‘ท่าพระอาทิตย์’ ตลอดเส้นถนนพระอาทิตย์จะมีร้านอาหารดัง อย่างโรตี-มะตะบะ หรือก๋วยเตี๋ยวเนื้อนายโส่ยที่เปิดในตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนจะมีบาร์แจ๊สหลายร้านให้เลือกนั่งชิลฟังดนตรีสด หรือถ้าอยากซึมซับบรรยากาศเมืองเก่าตอนเย็นๆ ก็สามารถไปนั่งเล่นริมแม่น้ำที่สวนสันติชัยปราการติดกับป้อมพระสุเมรุก็ได้
หากเดินลัดซอยเล็กๆ จากถนนพระอาทิตย์ก็สามารถมาโผล่ถนนข้าวสารได้ไม่ยาก ตอนกลางคืนถนนสายนี้จะคึกคักไปด้วยสตรีทฟู้ด ร้านขายของ บาร์ต่างๆ เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
หลายคนไม่รู้ว่าถัดจากแหล่งแฮงเอาต์ชื่อดัง ‘บางลำพู’ คืออีกย่านที่แอบซ่อนของดีไว้ตามตรอกซอกซอย โดยเฉพาะตลาดแถวห้างฯ ตั้งฮั่วเส็งที่มีของกินขึ้นชื่อหลายอย่าง เช่น ข้าวแช่ร้านแม่ศิริ ขนมเบื้องแม่ประภา พรชัยเบเกอรี่ นอกจากนี้ ยังมีประวัติศาสตร์ของชุมชนเก่าแก่ที่น่าสนใจและสามารถไปหาความรู้แบบสนุกๆ ได้ที่ ‘พิพิธบางลำพู’