เผลอแป๊บเดียว เวทีประกวดดนตรีสากลที่หลายคนรอคอยอย่าง ‘THE POWER BAND 2023 Season 3’ ก็ปิดฉากลงไปอย่างชื่นมื่น อบอวลไปด้วยบรรยากาศของเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม คราบน้ำตา มิตรภาพ และรางวัลแด่นักดนตรีช่างฝัน
เวทีนี้เริ่มประกวดกันมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2566 จนได้วงดนตรีทั้งหมด 30 วง จาก 5 ภูมิภาคทั่วไทย แบ่งเป็น Class A (รุ่นมัธยมศึกษา) 15 วง และ Class B (รุ่นบุคคลทั่วไป) อีก 15 วง ที่ผ่านเข้าไปฉายแสงแสดงความเจ๋งบนเวทีให้ทุกคนได้ฟัง
มาถึงวันนี้เป็นระยะเวลากว่า 6 เดือน ในที่สุดเราก็ได้รายชื่อวงดนตรีที่ชนะเลิศในรายการนี้กันไปเป็นที่เรียบร้อย โดย Class A รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ‘วงเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา’ จากกรุงเทพมหานคร และ Class B รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ‘วงหน้าโรงเรียน’ จากจังหวัดศรีสะเกษ
หากใครที่ติดตาม The Power Band Season 2 จากปี 2565 จะเห็นว่า ‘วงหน้าโรงเรียน’ เป็นหนึ่งในวงที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศเมื่อปีที่ผ่านมา แม้ไม่ได้รางวัลใดๆ แต่พวกเขาได้สิ่งสำคัญกลับไป และกลับมาคราวนี้ การเปลี่ยนแปลง ความพยายาม และการก้าวข้ามผ่านความผิดพลาดก็ทำให้เสียงเพลงของพวกเขาเติบโตขึ้นมาจนได้รับรางวัลชนะเลิศในปีนี้
ไปรู้จักว่าที่ศิลปินหน้าใหม่วงนี้กันให้มากขึ้น ผ่านเรื่องราวการรวมตัวของกลุ่มเพื่อนที่ใช้เวลาร่วมกันสร้างสรรค์เสียงเพลงและทำตามฝันในบรรทัดต่อจากนี้กัน
รวมตัวกันหน้าโรงเรียน เติมเต็มส่วนที่หาย
วง ‘หน้าโรงเรียน’ จากศรีสะเกษ มีสมาชิกทั้งหมด 6 คน ประกอบด้วยนักร้องสองคน คือ ‘ข้าวหอม-ภัทรภร เติมทานาม’ กับ ‘จันทร์เจ้า-สุพิชญา ยวงจันทร์’ มือกีตาร์ ‘บุ๋น-สรกฤช สาลี’ มือเบส ‘แบงค์-จักรกริช จันสีดา’ มือคีย์บอร์ด ‘มิวสิค-ศิริศักดิ์ เทนสุนา’ และ ‘ภีม-พรพิพัฒณ์ ตลาดขวัญ’ ตำแหน่งตีกลอง
ชื่อของวงหน้าโรงเรียนมีความหมายมาจากการเจอกันหน้าโรงเรียนแค่นั้นจริงๆ แต่มากกว่านั้นคือ สมาชิกของวงนี้ข้องเกี่ยวแวะเวียนแจมดนตรีกันมาตั้งแต่มัธยมต้น จนถึงมัธยมปลายก็ได้ครูฝึกสอนจับมารวมกัน ปลุกปั้นเป็นวงโรงเรียนไปประกวดหรือทำกิจกรรมต่างๆ
แรกเริ่มวงหน้าโรงเรียนค้นหาตัวตนผ่านความร็อก ความโปรเกรสซีฟ และมีนักร้องผู้หญิงเพียงคนเดียว แต่แล้วแบงค์ผู้เคยเป็นมือกีตาร์ในยุคบุกเบิกที่ปัจจุบันหันมาเล่นเบส และควบตำแหน่งผู้นำวง ก็เล่าให้เราฟังถึงจุดเปลี่ยนของวงว่า นักร้องนำคนแรกต้องเตรียมพร้อมสู่การเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย ทำให้เวลาของคนและวงดนตรีไม่เท่ากัน การจากลาจึงเกิดขึ้น ทว่าในเวลาเดียวกัน พรหมลิขิตก็บันดาลชักพาให้วงหน้าโรงเรียนมีนักร้องดูโอ้เข้ามาร่วมช่วยต่อเติมให้วงดนตรีนี้มีความสนุกสนานมากขึ้น
“นักร้องสองคนนี้มีสิ่งที่เติมเต็มกันอย่าง ‘น้องจันทร์เจ้า’ เป็นน้องเล็กสุดในวง มีบุคลิกที่ดี มีทักษะการร้องที่ดี แต่จะขี้อายนิดหนึ่ง ส่วน ‘ข้าวหอม’ ตอนเพอร์ฟอร์มมีเอเนอร์จีมากๆ เขาสามารถแบ่งพลังมาให้อีกคนได้ และจันทร์เจ้าที่มีทักษะดีจะคอยช่วยเรื่องไลน์เสียงร้องให้ข้าวหอม ทั้งสองเป็นซัพพอร์ตเตอร์ของกันและกัน”
แบงค์อธิบายให้เราฟังเพิ่มอีกว่า นักร้องทั้งสองคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสามารถจัดการตำแหน่งของตัวเองได้ดีนั้น ยังคอยส่งพลังช่วยสนับสนุนให้วงดนตรีทำงานง่ายขึ้นด้วย
ความแปลกใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มให้วงหน้าโรงเรียน ช่วยผ่อนคลายให้แนวดนตรีที่มีความหนักแน่นกลายมาเป็นเพลง Pop ที่มีสีสันแบบ Soul R&B และเคล้ากลิ่นอายของความเป็น Jazz เน้นจังหวะโยกๆ เพลินๆ สบายๆ
“มันมีความสมบูรณ์มากขึ้น กระฉับกระเฉงและสนุก ไม่ได้น่าเบื่อ นักร้องสองคนมาช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของวง” แบงค์เล่า
รวมกันเราสู้ รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
แน่นอนว่าวงดนตรีไม่ได้แค่เล่นดนตรี เมื่อเกิดความเป็นอยู่ร่วมกัน ความสัมพันธ์ก็งอกเงยขึ้นตามวันเวลา จากปี 2565 วงหน้าโรงเรียนประกวดใน Class A ระดับมัธยมฯ การกระโดดก้าวข้ามมายัง Class B ระดับบุคคลทั่วไปในปีล่าสุด สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทั้งวงต้องสะดุดคือ โจทย์ที่ต้องแต่งเพลงของวงเพื่อนำไปใช้ในรอบชิงชนะเลิศ
การไม่เคยมีประสบการณ์แต่งเพลงมาก่อน ส่งผลให้พวกเขาเริ่มงานกันไม่ถูก บวกกับแบงค์ผู้นำวงที่ต้องเดินทางจากศรีสะเกษเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยรังสิต ทำให้การสร้างงานร่วมกับวงทำได้ยากมากขึ้น จนชายหนุ่มเน้นย้ำกับเราว่า เวลาและระยะห่างเป็นอุปสรรคสำคัญของวง แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็มาพบทางออกจากการได้เข้าร่วม ‘ The Power Band Music Camp’ เป็นเวลาสามวันเพราะโครงการ THE POWER BAND โดย คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย นอกจากจะเป็นเวทีประกวดดนตรีระดับประเทศ ที่ชูคอนเซ็ปต์ พลังคนไทย พลังเเห่งความเป็นไปได้ ยังรวมผู้นำทางดนตรีของประเทศอย่างวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และอีก 6 ค่ายเพลงชั้นนำ ได้แก่ Muzik Move, LOVEiS Entertainment, Smallroom, What The Duck, Warner Music Thailand และ XOXO Entertainment ไว้ด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้ The Power Band Music Camp จึงมีวิทยากรเป็นพี่ๆ ศิลปินและพี่ๆ ผู้เป็นทีมงานเบื้องหลังคนสำคัญที่นำประสบการณ์ทางดนตรีมาบอกเล่า เช่น การพัฒนาทักษะขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรีต่างๆ การเล่นดนตรีร่วมกันเป็นวง การเรียบเรียงดนตรี การเขียนเนื้อเพลง การจัดการบนเวทีคอนเสิร์ต การเผยแพร่ผลงานเพลงบนสื่อดิจิทัล และการพัฒนาตัวตนสู่การเป็นศิลปิน ฯลฯ เพื่อสร้างไอเดียและความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับทุกวงดนตรี
“เปิดโลก” แบงค์จำกัดความรู้สึกที่ได้มีโอกาสเข้าค่ายทางดนตรีไว้ในถ้อยคำสั้นๆ ซึ่งเพื่อนในวงชาวศรีสะเกษทุกคนก็รู้สึกไม่ต่างกัน พวกเขาล้วนได้อัพสกิลในแนวทางที่ตัวเองถนัด พร้อมๆ กับขยับศักยภาพที่มีให้กว้างมากขึ้น บวกกับการได้เจอผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือ แนะนำแนวทาง ทำให้วงหน้าโรงเรียนสามารถทำเพลงของพวกเขาเองได้สำเร็จ
เท่านั้นยังไม่พอ การประกวดในครั้งนี้ยังทำให้สมาชิกวงเจออีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญจากคำแนะนำของกรรมการ“ในช่วงรอยต่อระหว่างระดับภาคมาถึงระดับประเทศ ผมได้ลองอะไรหลายอย่างกับตัวเอง ลองว่ามันเวิร์กไหม ลองเรื่อยๆ จนมาแตกฉานจริงๆ ว่าสิ่งที่กรรมการคอมเมนต์ไปเป็นยังไง คือเขาไม่ได้ต้องการให้เราแบ่งแนวทางชัดเจน ไม่ได้ต้องการให้เราเปลี่ยนแนวเพลง เขาแค่ต้องการให้เราเข้าใจในสิ่งที่เราเล่นออกไป เล่นแบบเข้าใจเพลง เข้าใจสิ่งที่วงทำมากกว่านี้ ซึ่งเป็นคอมเมนต์ที่ดีมากเลย” แบงค์เล่า
และเมื่อเขาเข้าใจคำแนะนำนั้นแล้ว การพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนในวงก็ทำให้ทุกคนปลดล็อกเปิดประตูสู่โลกของการเปลี่ยนแปลงใหม่ไปด้วยกัน บนเวทีรอบชิงชนะเลิศ เราจึงได้เห็นวงหน้าโรงเรียนเล่นดนตรีกันอย่างเป็นธรรมชาติ มีความสมูทยิ่งกว่ารอบที่ผ่านมา และที่สำคัญทุกคนยังแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ภายใต้ความเป็นหนึ่งเดียวกันของวงหน้าโรงเรียน
“ผมคิดว่าสิ่งที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้คือความเป็นวงดนตรี เล่นด้วยกันเพื่อความสนุกสนาน เป็นเหมือนครอบครัวที่ใช้เวลาร่วมกัน ไปไหนไปด้วยกัน มีอะไรพูดคุย ปรึกษา แลกเปลี่ยน ทุกคนต่างเข้าใจความคิดกันและกัน” หัวหน้าวงเล่าพร้อมรอยยิ้ม
รวมทุกอย่างแล้ว ดนตรีเป็นได้มากกว่าที่คิด
การประกวดดนตรีเวที THE POWER BAND 2023 Season 3 ทำให้เราเห็นความเป็นไปได้ที่มากขึ้นในเส้นทางสายดนตรีของไทย อย่างวงหน้าโรงเรียนที่เคยอยู่ Class A จากปีที่แล้วก็ขยับมาสู่ Class B ในปีล่าสุดที่มีความยากมากขึ้น ทว่าความพยายามและความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกคนก็พาให้วงประสบความสำเร็จจนได้ย้อนกลับไปในวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ในงานประกาศรางวัลรอบชิงชนะเลิศที่โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศความยินดีแสนอบอุ่น เราเอ่ยถามสมาชิกวงหน้าโรงเรียน “นี่เป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตเลยไหม” ทุกคนตอบกลับมาอย่างพร้อมเพรียงเสียงดังฟังชัดว่า “ใช่”
นอกจากวงหน้าใหม่จะคว้ารางวัลชนะเลิศใน Class B ไปครอง ทางด้านคู่หูนักร้องของวงที่เข้ากันดี ก็ควงกันรับรางวัลนักดนตรียอดเยี่ยมไปอีกด้วย และมากไปกว่าเงินรางวัลที่วงได้รับ พวกเขายังมีโอกาสสร้างผลงานซิงเกิลของตัวเองกับค่าย Muzik Move เพื่อต่อยอดวงดนตรีให้เติบโตต่อไป
“อยากแสดงความเป็นตัวเองที่เป็นธรรมชาติออกไปในการทำเพลงครั้งนี้”
“อยากเห็นสมาชิกในวงแต่ละคนไปสู่จุดสูงสุดของอาชีพดนตรีของตัวเอง”
“อยากพัฒนาสกิลการเล่นดนตรีให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และอยากลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เช่น ได้เล่นดนตรีกับเพื่อนๆ ในสถานที่สักแห่ง”
สมาชิกในวงต่างบอกเล่าถึงความคาดหวังในการสร้างผลงานของตัวเองกับค่ายเพลงให้เราฟังด้วยความตื่นเต้น และรอคอยวันที่จะได้เห็นสิ่งที่พวกเขาลงมือสร้างสรรค์นั้นงอกงาม
เรื่องสุดท้ายที่ทางวงเล่าประสบการณ์จากการประกวดดนตรีครั้งนี้ให้ฟังคือ ‘การก้าวข้ามผ่าน’ ที่ทุกคนได้รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้มากกว่าที่คิด และรับรู้ร่วมกันว่าหัวใจหลักนั้นมาจากการได้เล่นดนตรีกับเพื่อน
“ปัญหาหลักๆ ของวงคือความไม่เป็นแบนด์ ถึงแม้พวกเราจะสนิทกันขนาดไหน แต่พอเล่นดนตรีเราเหมือนขาดการ Contact กัน ซึ่งเรามองว่ามันยากมากๆ ในช่วงแรก แต่พอก้าวข้ามมันไปได้ การเล่นดนตรีของพวกเราก็เป็นอะไรที่สุดยอด” จันทร์เจ้าอธิบายในฐานะนักร้องคนหนึ่งของวง
ส่วนข้าวหอมเล่าว่า การได้ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาด้วยกันกับวง มันให้ความรู้สึกที่ว่าเราทำได้แล้ว “อยากให้พึงระลึกไว้ว่าชีวิตมีแค่ครั้งเดียว ถ้าอยากทำอะไรลองทำเลย จะได้ไม่เสียดายทีหลัง ทำให้สุด เพื่อที่มันจะสร้างความเป็นไปได้ให้ชีวิตของเรา
“หลายคนอาจคิดว่า เราแค่มาเล่นดนตรีแล้วกลับ แต่ความจริงมันให้อะไรหลายๆ อย่าง เราพบเจอผู้คนใหม่ๆ และจรรโลงจิตใจด้วยดนตรี เลยรู้สึกว่าใครที่ยังไม่กล้าเริ่มลองทำอะไรต่างๆ หรือยังไม่กล้าลองเล่นดนตรี ให้ลองทำไปเลย เพราะจะได้อะไรกลับมามากกว่าแค่การเล่นดนตรีแน่นอน”ถ้ามีฝันและคิดว่ามันเป็นไปได้ พักหน้าจอไว้ ลุกไปหยิบเครื่องดนตรี และชวนเพื่อนๆ มาสนุกด้วยกัน เพื่อเตรียมพร้อมบรรเลงบทเพลงที่เป็นตัวของตัวเองใน THE POWER BAND Season 4 ปีหน้ามาเจอกัน!