วันครูปีนี้ คอลัมน์ City by Numbers อยากชวนมาดูสถิติที่ทำงานของคุณครูหรือก็คือ ‘โรงเรียน’ ในไทยที่มีจำนวนลดลงเรื่อยๆ จนน่ากังวลใจ
อย่างที่รู้กันว่า ปัจจุบันจำนวนเด็กเกิดในประเทศไทยลดลงเป็นจำนวนมาก มากเสียจนในปี 2567 มีจำนวนเด็กเกิดเพียง 461,421 คน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปีที่ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดไม่ถึง 5 แสนคนต่อปี
จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อหลายคนเห็นข่าวการปิดตัวของโรงเรียนในหลายปีที่ผ่านมาจะอุปมาไปว่าเป็นเพราะจำนวนเด็กที่ลดลง ทั้งที่ความเป็นจริงนั้นการลดลงของนักเรียนไม่ได้น้อยลงขนาดจะทำให้การยุบหรือปิดตัวของโรงเรียนเป็นสิ่งที่ถูกที่ควร
เพราะจากรายงานพิเศษ กสศ. ในปี 2567 ชี้ให้เห็นว่า มีเด็กและเยาวชนอายุ 3 – 18 ปี กว่า 1.02 ล้านคน หรือร้อยละ 8.41 หลุดออกนอกระบบการศึกษา เท่ากับว่าในความเป็นจริงแล้ว โรงเรียนที่มีอยู่อาจไม่เพียงพอต่อเด็กในประเทศด้วยซ้ำไป
สถิติโรงเรียนไทยที่หายไป
ขณะเดียวกัน ถ้าย้อนดูตัวเลขย้อนหลังจากสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานไป 5 ปี จะพบว่าตัวเลขโรงเรียนในประเทศไทยมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ ทุกปี ดังนี้
– ปี 2563 มีจำนวนโรงเรียนทั้งหมด 29,642 โรงเรียน
– ปี 2564 มีจำนวนโรงเรียนทั้งหมด 29,583 โรงเรียน หายไป 59 โรงเรียน
– ปี 2565 มีจำนวนโรงเรียนทั้งหมด 29,449 โรงเรียน หายไป 134 โรงเรียน
– ปี 2566 มีจำนวนโรงเรียนทั้งหมด 29,312 โรงเรียน หายไป 137 โรงเรียน
– ปี 2567 มีจำนวนโรงเรียนทั้งหมด 29,152 โรงเรียน หายไป 160 โรงเรียน
ทำให้นับตั้งแต่ปี 2563 ไปจนถึงปี 2567 มีโรงเรียนถูกยุบหรือปิดตัวไปในแต่ละปี 59, 134, 137 และ 160 โรงเรียนตามลำดับ รวมแล้วทั้งสิ้น 490 โรงเรียน หรือถ้าย้อนกลับไปนานกว่านั้น จากการเก็บข้อมูลก็พบว่า ความจริงแล้วประเทศไทยเคยมีจำนวนโรงเรียนมากถึง 32,731 โรงเรียนในปี 2546 ซึ่งเท่ากับว่าในระยะเวลา 22 ปี มีโรงเรียนปิดตัวไปกว่า 3,579 โรงเรียนเลยทีเดียว
โรงเรียนเล็กรอการยุบ
โดยโรงเรียนส่วนใหญ่ที่ถูกยุบ ปิดตัว หรือควบรวม มักเกิดขึ้นจากนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่มีความต่อเนื่องกันมาเกือบ 3 ทศวรรษ เริ่มตั้งแต่การประกาศอย่างเป็นทางการในปี 2536 ว่าด้วย ‘การบริหารจัดการ’ ที่เนื้อแท้หมายถึง ‘การควบรวม’ โรงเรียนขนาดเล็ก โดยมุ่งเจาะจงไปที่โรงเรียนที่มีนักเรียนไม่เกิน 40 คน และมีระยะห่างจากโรงเรียนในตำบลเดียวกันไม่เกิน 6 กิโลเมตร โดยอ้างว่าการยุบหรือควบรวมโรงเรียนเหล่านั้นจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายงบประมาณด้านการบริหารจัดการของกระทรวงศึกษาธิการลงได้
เนื่องจากโรงเรียนขนาดเล็กส่วนใหญ่กระจายกันอยู่ตามพื้นที่ชนบท และมักมีจำนวนครูกับนักเรียนไม่มาก มีการคำนวณงบเป็นรายหัว ทำให้แต่ละโรงเรียนได้งบประมาณน้อยลง การเรียนการสอนไม่ได้มาตรฐาน เพราะครูหนึ่งคนต้องสอนควบหลายวิชาหรือหลายชั้นเรียน เกิดเป็นปัญหาเรื้อรังรอการยุบ
โรงเรียนนานาชาติโตสวนทาง
อีกทั้งเมื่อการเรียนการสอนของโรงเรียนใกล้บ้านไม่ได้ประสิทธิภาพ ผู้ปกครองหลายคนจึงเริ่มมองหาโรงเรียนเอกชนหรือโรงเรียนนานาชาติให้กับลูกหลานแทน ทำให้แม้โรงเรียนไทยจะมีจำนวนลดลง แต่ในโลกการแข่งขันของโรงเรียนประเภทอื่นๆ กลับสวนทาง
เพราะตอนนี้ประเทศไทยมีจำนวนโรงเรียนนานาชาติเติบโตเฉลี่ย 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี สวนทางกับโรงเรียนประเภทอื่น สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของกิจการโรงเรียนสู่หลักสูตรการศึกษาต่างประเทศมากขึ้น โดยมีแนวโน้มขยายตัวสู่นอกกรุงเทพฯ มากขึ้นในช่วงปี 2555 – 2567 ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ ระยอง ภูเก็ต หรือหัวเมืองหลักอื่นๆ
ทำให้จำนวนโรงเรียนนานาชาติจากเดิมในปี 2555 ที่มีอยู่ 138 โรงเรียน โดดขึ้นเป็น 249 โรงเรียนในปี 2567 กล่าวคือ มีโรงเรียนนานาชาติเปิดใหม่ถึง 111 โรงเรียนในระยะเวลาเพียง 12 ปี
จะเล็กหรือใหญ่ โรงเรียนไหนก็สำคัญ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราควรถกกันต่อคือ แล้วการยุบโรงเรียนขนาดเล็กถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วหรือยัง เพราะหากโรงเรียนใกล้บ้านหายไป เท่ากับว่าจะมีเด็กจำนวนหนึ่งที่ถูกกีดกันออกจากการศึกษาไปด้วย เนื่องจากผู้ปกครองและนักเรียนอาจต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นตามมา
หรือในทางกลับกัน รัฐจะทำอย่างไรให้ข้อถกเถียงเรื่องการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กไปไกลกว่าแค่การยุบหรือไม่ยุบโรงเรียน โดยคำนึงว่าต้องมีนักเรียนยากจนอีกกี่คนที่จะตกรถขบวนที่ชื่อว่า ‘การศึกษา’ ไป หรือจะเป็นไปได้ไหมหากจะมีการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในแง่งบประมาณและองค์ความรู้ เพื่อให้โรงเรียนขนาดเล็กสามารถยืนด้วยตนเองได้อย่างยั่งยืน
Sources :
SDG Move | t.ly/quGVo
Spring News | t.ly/FxQ6l
TDRI | t.ly/KjQhA
The Potential | t.ly/tytB2
แนวโน้มธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ | t.ly/p2ZIX
สำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน | t.ly/DGJQd