‘WABU’ แพลตฟอร์มที่อยากชวนคนลงเดินเท้าสำรวจเส้นทาง ออกไปพบเจอกับเรื่องราวน่าสนใจในสถานที่ต่างๆ

ว่ากันว่า ‘การเดิน’ จะพาเราไปพบกับเรื่องราวน่าสนใจในพื้นที่แปลกใหม่ที่อาจนึกไม่ถึงมาก่อน เพราะสองเท้าคือเครื่องมือที่พาเราลัดเลาะเข้าไปยังพื้นที่เล็กๆ ที่รถยนต์เข้าไปไม่ถึง แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเส้นทางการเดินในพื้นที่ที่เราไม่เคยไปนั้นจะต้องเดินท่องเที่ยวแบบไหนถึงจะได้ไปเจอความน่าสนใจที่ว่า เราเลยอยากพาทุกคนไปรู้จักกับ ‘WABU’ ที่ย่อมาจาก ‘WAlking BUddy’ แพลตฟอร์มที่อาสาทำหน้าที่เป็นเพื่อนผู้สำรวจเส้นทางก่อนจะพาทุกคนออกไปเดินสำรวจชุมชนหรือย่านต่างๆ ที่อาจยังไม่เป็นที่รู้จักในแง่ของการท่องเที่ยวมากเท่าไหร่นัก เพื่อสัมผัสกับวิถีชีวิต ประสบการณ์ใหม่ๆ และเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่งด้วย จุดเริ่มต้นของการเป็นเพื่อนเดิน WABU นั้นเกิดขึ้นจากความชอบเดินของ ‘พี่อ๋อย-พิมพิมล คงเกรียงไกร’ และ ‘พี่เต้-ศตพร นวลละออง’ สองผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม ที่พี่อ๋อยเล่าให้เราฟังว่า เมื่อประมาณ 20 ปีก่อนได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวที่เมือง Arles ประเทศฝรั่งเศส ที่ภายในเมืองมีการแบ่งรูตเดินตามความสนใจในการเที่ยว โดยที่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินตามเส้นทางที่กำหนดไว้บนพื้นว่าอยากจะไปเที่ยวในเส้นทางไหน ทำให้การเดินเที่ยวในครั้งที่ GPS ยังไม่เป็นที่นิยมไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด แถมยังสร้างความประทับใจให้กับพี่อ๋อย และเกิดความสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีรูตท่องเที่ยวลักษณะนี้ในบ้านเราบ้าง จนได้มีโอกาสจัดงานแสงสีสิงห์ที่จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อปี 2566 โดยเป็นงานที่นำเอาศิลปะและดีไซน์เข้ามานำเสนอร่วมกับการท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดและเชิญชวนให้ผู้คนเข้ามาสัมผัสกับจังหวัดเมืองรองด้วยงานศิลปะที่จัดวางไว้ตามจุดต่างๆ ของเมือง แต่ด้วยความที่พี่อ๋อยกลัวว่านักท่องเที่ยวที่ไม่รู้จักทางจะสับสนเส้นทางการเดินและหาชิ้นงานไม่เจอ จึงได้สร้างเว็บไซต์ WABU เพื่อให้ผู้คนที่เข้าร่วมงานเปิดดูและเดินตามรูตที่วางเอาไว้สำหรับการตามหาชิ้นงานต่างๆ ได้ง่ายขึ้น แม้ว่าเว็บไซต์จะเป็นเพียงโปรเจกต์ทดลอง แต่พี่อ๋อยกลับพบว่ามีการเข้าใช้งานเพื่อเดินตามเส้นทางที่งานแนะนำเอาไว้เป็นจำนวนมาก ทำให้ในปี 2568 นี้ WABU […]

‘ให้ซีนกับความสงสัย’ ส่อง 5 สิ่งพิมพ์ที่ชวนตั้งคำถามต่อรายละเอียดเล็กๆ ในเมือง โดยกลุ่ม inw collective

เมืองคือการรวมตัวของหลากหลายองค์ประกอบ ทั้งสิ่งไร้ชีวิตอย่างอาคาร สิ่งก่อสร้าง ยานพาหนะ หรือสิ่งมีชีวิตอย่างผู้คน วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนทำให้เราได้เห็นชิ้นส่วนหรือการออกแบบแปลกๆ ที่เกิดจากการดัดแปลงแก้ไขปรับเปลี่ยน นำมาสู่การตั้งคำถามต่องานดีไซน์เฉพาะกิจเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความสงสัยที่มีต่อสิ่งของบนท้องถนน ท่อฟ้า เหล็กดัด ป้ายหมูกระทะ ไปจนถึงฟันเฟืองเล็กๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนเมือง อย่างที่กลุ่ม inw collective สนใจและเฝ้ามองมาเป็นเวลานาน จนเกิดเป็นซีน 5 เล่ม 5 รูปแบบที่จัดแสดงในนิทรรศการ IT’S NICE TO WONDER แม้วันนี้ (13 กรกฎาคม 2568) จะเป็นวันสุดท้ายของนิทรรศการแล้ว แต่ซีนทั้งหมดของเหล่าเทพจะยังคงวางจำหน่ายที่ร้าน Neighbourmart อาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก แวะไปเปิดดูสร้างความเอ๊ะๆ ให้สายตา หรืออุดหนุนพวกเขาก็ได้ ที่นี่เปิดทุกวันยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 10.30 – 19.00 น. ความสงสัยต่อสิ่งของบนท้องถนนกรุงเทพฯ : 10101 – 101 pieces of 1 […]

‘SAMA Garden’ แลนด์มาร์กแห่งใหม่ในบางนา ที่จะช่วยฮีลใจคนเมืองด้วยธรรมชาติ และกิจกรรมที่ทำให้เป็นวันพักผ่อนที่ดีที่สุด

วันหยุดนี้ลองแวะไปพักผ่อนกายใจที่พื้นที่สีเขียวฮีลใจแห่งใหม่ในย่านบางนาดูสิ เพราะทุกวันในเมืองเรามักต้องพบเจอความเร่งรีบของผู้คน ความตึงเครียดจากงาน และมลพิษที่อยู่รอบตัวตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากบ้าน ส่งผลให้หลายคนต้องคอยมองหาวิธีคลายเครียดอยู่เสมอๆ ซึ่งหนึ่งในวิธีการผ่อนคลายที่ได้ผลคือ การเข้าใกล้ธรรมชาติเพื่อช่วยฮีลใจให้ได้สัมผัสกับคำว่าสโลว์ไลฟ์กันบ้าง แต่หากมีเวลาเพียงหนึ่งวัน การไปพักใจในธรรมชาติต่างจังหวัดก็อาจจะไกลเกินไป คอลัมน์ Urban Guide จึงอยากชวนไปใช้เวลาหนึ่งวันให้คุ้มค่าในย่านบางนา กับแลนด์มาร์กแห่งใหม่ในไบเทคบุรี ที่มีให้ครบทั้งไลฟ์สไตล์และธรรมชาติ ไม่ต้องเดินทางไกลก็ได้สัมผัสสีเขียวในเมือง ตามเราไปสำรวจ SAMA Garden กันว่า สถานที่ที่เป็น Green Living แบบครบวงจรนี้มีกิจกรรมอะไรให้คนเมืองไปใช้เวลาหนึ่งวันแบบสบายๆ เติมพลังใจให้ขึ้นขีดสีเขียวกันบ้าง ปรับชีวิตคนเมืองให้สมดุลด้วยการเรียนรู้ชีวิตแบบ Green Living จริงอยู่ที่ในตอนนี้พื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในหลากหลายย่าน แต่ SAMA Garden นั้นเป็นมากกว่าพื้นที่สีเขียวในรูปแบบสวนสาธารณะ เพราะยังเป็นสถานที่ที่รวมความเป็นไลฟ์สไตล์เอาไว้ในที่เดียวด้วย ‘คุณบอย-ษัณปการ แสงจันทร์’ SAMA Garden Department Manager เล่าถึงคอนเซปต์ไอเดียของ SAMA Garden ให้เราฟังว่า เดิมทีพื้นที่ของไบเทคบุรีมีการจัดอีเวนต์อยู่ตลอดเวลา และมักเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่ เขาจึงอยากสร้างความแปลกใหม่ให้พื้นที่ด้วยการกระตุ้น Sensory Awareness หรือการรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของผู้คนผ่านคอนเซปต์ Live & […]

The Door’s Whisper เสียงกระซิบวิถีชีวิตคนเมืองผ่านสายตา ‘ประตูเหล็ก’

The Door’s Whisper คือชุดภาพถ่ายจากหนังสือที่เล่าเรื่องราวของคนเมืองผ่านสายตาของ ‘ประตูเหล็ก’ วัตถุธรรมดาที่เราเห็นจนชินตา แต่กลับซ่อนเรื่องราวมากมายไว้เบื้องหลัง โปรเจกต์นี้เริ่มต้นจากความตั้งใจที่จะชวนให้ผู้คนหันมาสังเกตสิ่งรอบตัว โดยเฉพาะรายละเอียดเล็กๆ ที่มักถูกมองข้าม เราจึงหยิบประตูเหล็กมาเป็นตัวแทนของสิ่งของในชีวิตประจำวันที่เราเดินผ่านทุกวันโดยไม่ทันได้สังเกตหรือตั้งคำถามกับมัน เมื่อได้ลงพื้นที่สำรวจและพูดคุยกับคนท้องถิ่นก็พบว่า ประตูเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงฉากหลังของเมือง แต่แทรกตัวอยู่ในทุกบริบทของชีวิตคนไทย ตั้งแต่หน้าบ้าน ร้านค้า ไปจนถึงตึกแถวเก่าแก่ ทั้งยังบอกเล่าถึงวิถีชีวิตของผู้คน และสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของเมืองในภาพรวมอีกด้วย ในเมืองที่สิ่งของในชีวิตประจำวันมักถูกมองข้าม อาจเพราะรูปลักษณ์ที่ไม่สะดุดตาหรือเพราะความเคยชิน โปรเจกต์นี้จึงอยากบันทึกว่าสภาพบ้านเมืองของเราปัจจุบันมีหน้าตาเป็นอย่างไร พร้อมชวนให้ทุกคนหันกลับมามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง โดยหวังว่าภาพเหล่านี้จะทำให้คุณเห็นบางอย่าง…ที่อาจไม่เคยสังเกตมาก่อน หากคุณมีชุดภาพถ่ายที่อยากจะร่วมแชร์ในคอลัมน์ Urban Eyes สามารถส่งมาได้ที่ [email protected]

กว่าจะเลี้ยงยูนิคอร์นให้โตในไทย บทเรียนสำคัญจาก ‘สงคราม ส่งด่วน’ ที่อยากชวนสำรวจว่าเมืองแบบไหนเหมาะกับสตาร์ทอัพ

*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์* เคยเห็นแมลงวันที่อยากเป็นยูนิคอร์นไหม ทั้งๆ ที่สัตว์สองชนิดนี้ดูเป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้เลย แถมยังห่างกันไกลโขทั้งในด้านลักษณะ ถิ่นที่อยู่ ไปจนถึงนิยามหรือความหมายที่มนุษย์อย่างเราๆ ตีความ และการที่มันห่างและต่างกันไกลขนาดนี้ก็คงเป็นจุดเริ่มต้นหรือความน่าสนใจสำคัญที่ทำให้สัตว์สองชนิดนี้ถูกนำมาเปรียบเทียบกันในตลาด ซึ่งเป็นแก่นหลักในซีรีส์เรื่อง สงคราม ส่งด่วน (Mad Unicorn) ซีรีส์เรื่องนี้มีจำนวน 7 ตอนสั้นๆ โดย ‘ณฐพล บุญประกอบ’ ที่ตั้งใจเล่าเรื่องแต่งจากแรงบันดาลใจของธุรกิจ Flash Express บริษัทขนส่งสีเหลืองเลื่องชื่อที่กลายเป็นสตาร์ทอัพยูนิคอร์นตัวแรกของไทยในเวลาเพียง 4 ปี โดยข้อความแรกที่ปรากฏต่อสายตาผู้ชมจากซีรีส์เรื่องนี้คือ ยูนิคอร์น (น.)สัตว์ลึกลับในตำนานปัจจุบันใช้เรียกบริษัทสตาร์ทอัพ จากนั้นจึงค่อยพาเราเดินทาง (ที่เรียกได้ว่ากระชากแขนผู้ชม) ล้มลุกคลุกคลานจากเหมืองทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา ไปสู่ความบ้าระห่ำของผู้ชายคนหนึ่งที่อยากทำธุรกิจขนส่งแต่เป็นเพียงแมลงวันตัวเล็กในตลาดนี้ ก่อนจะใช้ความแค้นเป็นเชื้อเพลิง ก่อร่างสร้างตัวจนเป็นยูนิคอร์นตัวแรกที่ล้มยักษ์ได้สำเร็จ นอกจากชีวิตลุ้นๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ผสมด้วยความกล้า ความบ้า และแรงตั้งใจในการคว้าชัยชนะอย่างไม่มีจังหวะเบรก จนทำให้ผู้ชมต้องจิกมือจิกเท้ากันตลอดทั้งเรื่องแล้ว ช่วงเวลา 7 ตอนนี้ยังเป็นบทเรียนที่ดีต่อสายธุรกิจและผู้ที่สนใจเรื่องเมืองอย่างเราอีกด้วย ประโยคนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ ‘สันติ’ ตัวละครหลักกระโดดเข้าสู่วงการขนส่ง โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า ในประเทศไทยนั้นมีอุปสรรคมากมาย ทั้งในซีรีส์ที่เราเห็นได้ชัดอย่างทุนใหญ่ที่พร้อมเข้ามารวบทุกกิจการที่มีแนวโน้มเติบโต การกลั่นแกล้งในทางเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งเจ้าตลาดที่จ้องมองธุรกิจเล็กดิ้นแทบเป็นแทบตาย ไม่ต่างอะไรจากการมองแมลงวันในขวดแก้วที่บินหนีไม่ได้ รอวันร่วงตกมาตายเท่านั้น […]

‘Thainal Destination’ ใช้ชีวิตประจำวันแบบระวังตัวแทบตาย จู่ๆ ก็กลายเป็นผู้ประสบภัย ชะตาขาดไม่รู้ตัว

เพราะอันตรายมีอยู่ทุกที่  คำคำนี้ดูไม่เกินจริง เมื่อเราได้ดูภาพยนตร์แฟรนไชส์ Final Destination ที่แต่ละภาคล้วนดำเนินเรื่องผ่านการใช้ชีวิตทั่วๆ ไปของเหล่าตัวละคร ทว่าในความทั่วไปนั้นกลับมีเหตุการณ์บางอย่างที่พาให้ชะตาชีวิตของพวกเขาถึงจุดจบอย่างน่าสยดสยอง หลังจากทิ้งห่างไปกว่า 14 ปี ตอนนี้ Final Destination กลับมาอีกครั้งกับคอนเซปต์ที่ยังคงทำเอาคนดูอย่างเราๆ หวาดเสียวไปกับสิ่งรอบตัว จนต้องมองซ้ายมองขวาคอยใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง คอลัมน์ Urban Isekai อยากชวนมาลองคิดเล่นๆ ว่า หากเซตติ้งใน Final Destination เป็นกรุงเทพฯ จะมีเหตุการณ์อะไรบ้างที่ทำให้เราใช้ชีวิตอยู่ดีๆ ก็ชะตาขาดไม่รู้ตัว ขับรถอยู่ดีๆ ก็มีชิ้นส่วนก่อสร้างร่วงหล่นจากท้องฟ้า สถานการณ์ที่ทำให้คนไทยรู้สึกเหมือนใช้ชีวิตอยู่ใน Final Destination ตลอดเวลา คงหนีไม่พ้นการขับรถผ่านเส้นทางที่กำลังมีโครงการก่อสร้างหรือซ่อมแซมสะพาน โดยเฉพาะเส้นพระรามที่สองที่ไม่จบไม่สิ้นสักที ยิ่งนานวันไปแทนที่โครงสร้างสะพานจะแข็งแรงพร้อมใช้งาน กลับมีข่าวอุบัติเหตุเศษนั่นเศษนี่ร่วงลงบนถนนตลอดเวลา ส่งผลให้คนที่ใช้รถใช้ถนนเส้นทางนั้นต้องเสี่ยงดวงทุกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าวันดีคืนดีจะหวยออกที่รถของเราไหม ทำได้เพียงแค่รีบเหยียบคันเร่งพร้อมสวดมนต์ให้สบายใจว่าจะปลอดภัยไปตลอดทาง ตามหลังรถกระบะอยู่ดีๆ ก็มีเหล็กเส้นพุ่งเข้ามาในรถ ไม่ใช่แค่ต้องคอยระวังแผ่นปูนจากฟากฟ้า แต่ยังมีรถกระบะร่วมทางที่ทำเอาต้องเว้นระยะห่างเกินกว่า 5 เมตร เพราะหลายคันมักท้าทายความสามารถในการขนของ ด้วยการวางเรียงสินค้าสูงเกินหลังคารถจนโอนไปเอียงมา เสี่ยงว่าจะร่วงลงมาขวางถนนหรือไม่ก็ทับรถที่ขับตามหลัง และบ่อยครั้งที่เราเจอก็มักเป็นเหล็กเส้นยาวที่มีผ้าสีแดงผูกเอาไว้เป็นสัญลักษณ์ให้คันหลังคอยระวังอันตราย แต่แหม…ทั้งหัวและท้ายของเหล็กกลับยื่นเกินออกมาจากตัวรถ แถมอุปกรณ์ยึดเหล็กก็ดูไม่แข็งแรงเท่าไหร่ ทำให้รถยนต์ทั้งข้างหน้าและตามหลังต้องหวาดระแวงว่าเหล็กเส้นเหล่านั้นจะหลุดออกมาพุ่งทะลุกระจกรถตัวเองหรือไม่ แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว […]

ใครอยู่เขตไหน มาเช็กกัน กับที่สุดของ 10 อันดับเขตในกรุงเทพฯ

หลังจากนี้แทนที่เราจะอวดฐานะ กางไลฟ์สไตล์ให้ดูว่าใครกินหรูอยู่แพงกว่ากัน ชาวกรุงเทพฯ ลองเปลี่ยนมาบลัฟกันด้วยความน่าอยู่ของเขตที่อยู่อาศัยดีกว่าไหม เผื่อเขตไหนเขาอิจฉาจะได้ทำแบบเขตเราบ้าง แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเขตไหนน่าอยู่ ปัจจัยหลักๆ ที่ส่งเสริมเขตนั้นให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ดี วัดกันตั้งแต่ความเพียงพอของสวนสาธารณะ อากาศสะอาดแค่ไหน รถเมล์กี่สายวิ่งผ่าน โรงเรียนมีจำนวนสอดคล้องกับนักเรียนหรือเปล่า ไปจนถึงเรื่องขยะ น้ำท่วม ฯลฯ ซึ่งครอบคลุมด้านบริการสาธารณะ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสวัสดิภาพ และด้านสิ่งแวดล้อม แม้กรุงเทพฯ จะมีถึง 50 เขต แต่เขตที่ได้คะแนนภาพรวมเขตน่าอยู่ในอันดับสูงๆ หรือเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปจากคะแนนทั้งหมด 50 คะแนน นับแล้วมีเพียง 27 เขตเท่านั้น ยิ่งถ้าไปดูเขตที่ได้คะแนนเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ขอบอกว่าไม่มีสักเขตเลย เขตไหนน่าอยู่ต้องสะดวก สะอาด ปลอดภัยไร้กังวล ก่อนอื่นเรามาดูกันว่า เกณฑ์การให้คะแนนความน่าอยู่ของแต่ละเขตมีที่มาจากอะไรบ้าง Bangkok Index คือข้อมูลเพื่อดูว่าแต่ละเขตน่าอยู่มากน้อยแค่ไหน มีปัญหาด้านใดบ้าง โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน แต่ละด้านประกอบด้วย 4 หัวข้อ ได้แก่ 1) ด้านบริการสาธารณะ ประกอบด้วย […]

ชวนไปตรวจงานผู้ว่าฯ กทม. ที่ BKK Expo 2025 นิทรรศการรวบรวมผลงานตลอดสามปีมาให้สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของเมือง

การจะพัฒนาเมืองให้ดี มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่การโฟกัสเพียงแค่สิ่งปลูกสร้างหรือนโยบายต่างๆ เท่านั้น แต่ยังต้องสร้างสรรค์เมืองให้เหมาะสมกับคนทุกวัย ตั้งแต่วัยแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ เพราะผู้คนถือเป็นกำลังสำคัญในการพาให้เมืองของเราเติบโตไปอย่างดีด้วย สำหรับปีนี้ งาน Bangkok Expo 2025 มาพร้อมธีม ‘We Work, BKK Work เมืองประสิทธิภาพ คนสร้างอนาคต’ โดยเป็นนิทรรศการเมืองผลงานจากนโยบายตลอด 3 ปี ที่รวบรวมเอาไว้ให้ทุกคนได้ชมกัน ซึ่งนิทรรศการจะแบ่งออกเป็น 3 โซน คือ เมืองสะดวกปลอดภัย : ชมการบริหารความปลอดภัยเมืองตลอด 24/7 ชั่วโมง ที่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและสร้างประสิทธิภาพสูงสุด ผ่านศูนย์บัญชาการเมืองจำลอง (Command Center) ที่จะทำให้เห็นการทดลองบริหารเมืองหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงบริการตรวจสุขภาพ คาเฟ่น้องแมวและน้องหมาด้วย เมืองยั่งยืน : ชมกระบวนการสร้างเมืองสีเขียวในทุกฤดูกาล และสำรวจโครงสร้างการบริหารเมืองเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ผ่านการโชว์กระบวนการจัดการขยะตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เรียนรู้พลังงานหมุนเวียนแหล่งใหม่กับมหานครโซล่าร์ และกิจกรรมเดินสำรวจนิเวศ เรียนรู้ธรรมชาติไปพร้อมกับความยั่งยืนของเมือง เมืองสร้างสรรค์ : ชมภาพเมืองแห่งความสร้างสรรค์ผ่านนิทรรศการมากมายอย่างการจำลองห้องเรียนปลอดฝุ่น ดิจิทัลคลาสรูม เพื่อต่อยอดความสร้างสรรค์และการศึกษา โลกความสร้างสรรค์นอกห้องเรียน โดยพื้นที่เล่นอิสระ […]

‘กลิ่นฉี่ในเมือง’ มลภาวะทางกลิ่นในกรุงเทพฯ ที่ทำให้หลายพื้นที่ไม่น่าใช้งาน

เคยไหม เวลาเดินไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ บ้านบางหลังจะแขวนป้ายหรือไวนิลไว้หน้าบ้านทำนองว่า ‘ห้ามฉี่’ ถึงจะดูเป็นเรื่องตลก แต่ปัญหาเหล่านี้กลับสร้างความกวนใจให้เจ้าของบ้านมากๆ รวมถึงคนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ต้องคอยรับผลกระทบจากมลภาวะทางกลิ่นไปด้วย การติดป้ายอาจช่วยได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักเป็นการแก้ปัญหาของประชาชนและเอกชน ส่วนพื้นที่สาธารณะกลับไม่ค่อยเห็นการห้ามในลักษณะนี้เท่าไหร่ ทั้งที่ก็เป็นพื้นที่คอยรองรับปริมาณฉี่ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเสาไฟ พื้นทางเท้า หรือต้นไม้ ยิ่งเฉพาะบริเวณใต้ทางด่วนที่อับสายตาผู้คน ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย กลิ่นฉี่ทำลายทั้งบรรยากาศและโครงสร้างต่างๆ ทั้งๆ ที่กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคนพลุกพล่าน ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวหรือผู้อยู่อาศัย แต่ในหลายๆ พื้นที่ที่เดินเท้าได้กลับมีกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างกลิ่นฉี่หมักหมม ส่งกลิ่นโชยออกมาให้ต้องรีบจ้ำอ้าวหนี และหากบริเวณไหนที่มีกลิ่นอยู่แล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งดึงดูดให้คนมาฉี่เพิ่ม กลายเป็นพื้นที่สำหรับรองรับของเสียไปโดยปริยาย ส่งผลให้หลายๆ เส้นทางไม่น่าใช้งาน มากไปกว่าเรื่องของกลิ่นฉุน หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่า ฉี่ยังสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่โดยรอบ และเป็นการทำลายทรัพย์สินทั้งของสาธารณะและส่วนตัว เพราะในฉี่ของมนุษย์มียูเรียซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดที่ทำลายทั้งคอนกรีต เหล็ก และโลหะ หากปล่อยให้เกิดการสะสมของฉี่เป็นเวลานานก็อาจส่งผลต่อโครงสร้าง ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นๆ เสียหาย เหตุผลของคนเลือกฉี่ข้างทาง นอกเหนือจากความมักง่ายของคนแล้ว เป็นไปได้ว่าด้วยจำนวนห้องน้ำสาธารณะที่มีค่อนข้างน้อยและหายากในหลายๆ พื้นที่ จึงทำให้คนเลือกปลดปล่อยของเหลวส่งกลิ่นตามพื้นที่ข้างทางมากกว่า หรือต่อให้เป็นห้องน้ำกึ่งสาธารณะที่เรามองว่ามีจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วไปในเมือง เช่น ในห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน หรือสวนสาธารณะ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องเวลาเปิด-ปิด ที่ไม่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะคนที่ทำงานเป็นกะ หรือทำงานทั้งวันทั้งคืนอย่างแท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ […]

ชาวลอนดอนใช้จักรยานเพิ่มขึ้น 50% ในสองปี จากการเพิ่มเส้นทางปั่นจักรยานใหม่ๆ ช่วยลดการใช้รถยนต์และมลพิษภายในเมือง

ลอนดอนเป็นเมืองใหญ่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน แถมยังเคยติดอันดับเมืองที่รถติดที่สุดในโลกเมื่อปี 2565 แต่ในปี 2567 ที่ผ่านมากลับมีสถิติใหม่ที่น่าสนใจ เพราะมีรายงานจาก City of London Corporation ว่า จากปี 2565 ถึง 2567 มีการใช้รถยนต์ในเมืองลอนดอนลดลง 5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวเลขการเดินทางด้วยการปั่นจักรยานเพิ่มมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว นับว่าเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นมากในระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น หากเจาะไปในรายละเอียดจะพบว่า เดือนตุลาคม 2567 มีคนปั่นจักรยาน 139,000 คนต่อวันใน 30 สถานที่ เพิ่มขึ้นจาก 89,000 คนในปี 2565 และจำนวนคนขี่จักรยานคิดเป็น 56 เปอร์เซ็นต์ของการจราจรทั้งหมดในช่วงเวลาเร่งด่วนตอน 08.00 – 09.00 น. และ 18.00 – 19.00 น. ซึ่งจำนวนการปั่นจักรยานที่เพิ่มขึ้นนี้ยังส่งผลต่อคุณภาพอากาศที่ดีขึ้นด้วย เห็นได้จากปี 2562 ที่มีค่าไนโตรเจนไดออกไซด์มากถึง 15 พื้นที่ในลอนดอน […]

Unexpected Growth โปรเจกต์งานศิลปะ ซีน และกระดาษจากวัชพืชในเมือง จากการเดินสำรวจพื้นที่และเก็บข้อมูล

ปกติแล้วหอศิลปกรุงเทพฯ จะจัดนิทรรศการ โครงการบ่มเพาะและสร้างเครือข่ายศิลปินรุ่นใหม่ (Early Years Project : EYP) เป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้มาในแนวคิด ‘Be Your Own Island-ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน’ หลังจากที่ไปเดินดูมา งานที่จัดแสดงล้วนมีคอนเซปต์ที่สะท้อนสังคม และนำเสนอผลงานได้สวยงาม ตั้งแต่ประเด็นสิ่งแวดล้อม เพศ ข่าวสารข้อมูล ไปจนถึงเรื่องปมวัยเด็ก แต่หนึ่งงานที่เราในฐานะคนทำงานเมืองสะดุดตาสุดๆ คือ โปรเจกต์ Unexpected Growth ของ ‘อภิสรา ห่อไพศาล’  ตั้งแต่โครงสร้างอิฐที่เรียงราย ดูเป็นสิ่งที่ถ้าเดินลัดเลาะตามตรอกซอกซอยของเมืองจะพบเห็นได้เป็นปกติ ก่อนจะสังเกตเห็นต้นหญ้าเล็กๆ แซมอยู่ และถ้าไปสังเกตแผ่นที่มีลวดลายคล้ายเชื้อราแบคทีเรียใกล้ๆ จะพบว่า จริงๆ แล้วมันคือใบหรือชิ้นส่วนของวัชพืช และได้รู้ในเวลาต่อมาว่าแผ่นๆ ที่เห็นคือกระดาษที่ทำจากวัชพืชในเมืองที่ศิลปินเก็บมาทดลองทำกระดาษกับผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตกระดาษ มากไปกว่านั้น ตรงแท่นอิฐที่ก่อตัวสูงยังมีซีนหรือหนังสือทำมือของศิลปินแนบอยู่ พอหยิบมาเปิดอ่านเนื้อหาข้างในก็จะเห็นการนำเสนอภาพในขั้นตอนระหว่างทำงานโปรเจกต์นี้ รวมไปถึงการจัดเรียงข้อมูลเพื่อนำเสนอกระบวนการเก็บรวบรวมแพตเทิร์นของวัชพืชที่ขึ้นในเมือง และสังเคราะห์ข้อมูลออกมาเป็นอินโฟกราฟิก อ่านเข้าใจง่าย “โปรเจกต์นี้เริ่มต้นจากความพยายามทำความเข้าใจและตั้งคำถามถึงความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งรอบตัวกับความรู้สึกภายในที่ต้องการหลีกหนีหรือก้าวผ่านสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ทำให้เธอเริ่มต้นสำรวจเมืองที่อาศัยอยู่ เป็นเมืองที่ให้ความรู้สึกแห้งแล้งและแข็งกระด้าง “ระหว่างการสำรวจ ศิลปินได้พบเจอมุมมองของนักสิ่งแวดล้อมที่มีต่อเมือง ทำให้มองเห็นสิ่งที่ไม่เคยมองเห็นมาก่อน เช่น พืชขนาดเล็กจนแทบมองไม่เห็นอย่างลิเวอร์เวิร์ต เสียงของสัตว์หลากชนิดที่สามารถจำแนกเสียงได้ไม่ซ้ำเมื่อยืนฟังใต้ร่มไม้ใหญ่ ความสัมพันธ์ของต้นแม่และต้นลูกที่กระจายพันธุ์ใกล้ๆ […]

ทางเท้า ญี่ปุ่น ออกแบบได้ปลอดภัยและฟังก์ชันครบ ตอบโจทย์วิถีชีวิตนักเดินของชาวเมือง

‘ญี่ปุ่น’ คือประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องของเมืองที่ทั้งสะอาด เป็นระเบียบ และสะดวกสบาย ซึ่งผลลัพธ์เช่นนี้มาจากความใส่ใจของรัฐบาลญี่ปุ่นและพฤติกรรมชาวเมืองที่มีวินัยในการใช้ชีวิตกันอย่างเป็นระบบระเบียบ และถึงแม้ญี่ปุ่นจะมีพื้นที่ใช้สอยภายในประเทศอย่างจำกัด แต่หน่วยงานภาครัฐก็ให้ความสำคัญต่อระบบการเดินทางคมนาคมให้มีความสะดวกสบายและปลอดภัยอย่างสูงสุด เช่นเดียวกับ ‘ทางคนเดินเท้า’ ที่ออกแบบมาตอบโจทย์วิถีชีวิตของประชากรในประเทศ เพื่อส่งเสริมให้คนใช้วิธีการเดินในการเดินทางควบคู่ไปกับคมนาคมที่ดี 📌 การออกแบบที่ทุกคนใช้งานได้ โครงสร้างทางเท้าที่ญี่ปุ่นถูกออกแบบมาให้ทุกคนใช้งานได้อย่างปลอดภัย สะดวกสบาย และซัพพอร์ตผู้ที่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เสริมอย่างวีลแชร์และไม้เท้า ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดล้วนคำนึงถึงผู้ใช้งานและผ่านการคิดตามหลักวิศวกรรมมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความกว้างของทางเท้าที่ต้องมีขนาดเพียงพอต่อการรองรับผู้ใช้งานที่หลากหลาย โดยมีการอ้างอิงจากขนาดความกว้างมาตรฐานในการใช้เดินทาง ได้แก่ คนปกติใช้ความกว้าง 0.75 เมตร ผู้ใช้วีลแชร์ใช้ความกว้าง 1 เมตร และผู้พิการทางสายตาที่ใช้สุนัขนำทางใช้ความกว้าง 1.5 เมตร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้นำมาใช้ในการออกแบบความกว้างของทางเท้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานอย่างเหมาะสม โดยทางเท้าญี่ปุ่นจะยึดหลักการออกแบบให้มีความกว้างไม่น้อยกว่า 2 เมตร เพื่อให้ผู้ใช้วีลแชร์สวนกันได้ ส่วนพื้นที่ทางเท้าที่อนุญาตให้จักรยานขึ้นมาขี่ได้จะต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 3 เมตร และยังมีการแบ่งเป็น Bike Lane แยกออกมาด้วยในบางเขต ส่วนพื้นผิวบนทางเท้าจะปูพื้นเป็นบล็อกที่อัดแน่นและชิดกัน ทำให้การเดินปกติหรือใช้รถเข็นนั้นไม่มีสะดุดเลย รวมถึงเบรลล์บล็อก (Braille Block) ทางเดินสำหรับผู้พิการทางสายตาก็มีตลอดเส้นทาง และเชื่อมโยงกับทางม้าลายทุกพื้นที่ ไม่มีการตัดขาดเส้นทางอีกด้วย ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องกังวลถึงความปลอดภัยในการเดินบนทางเท้า 👥 ปรับทางเท้าให้ตอบโจทย์กับวิถีชีวิตชาวญี่ปุ่น แม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ มากมาย แถมระบบขนส่งก็ครอบคลุมทั่วทุกจังหวัดในประเทศ […]

1 2 3 7

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.