เธอๆ ไปดูปลาที่ห้างฯ ไหม
‘สยามพารากอน’ คือศูนย์การค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่เป็นทั้งแหล่งชอปปิง จุดนัดพบ และเป้าหมายในการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ แต่นอกเหนือจากกิจกรรมเหล่านี้แล้ว ถ้าลงไปยังชั้นล่างสุดของศูนย์การค้าจะได้พบกับโลกอีกใบ ที่ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกลก็ดำดิ่งลงลึกสู่ท้องทะเลได้ที่ ‘SEA LIFE Bangkok Ocean World’
เพราะใต้ทะเลเป็นพื้นที่ลึกลับที่มีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่ หนึ่งในนั้นคือสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่เราเคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยเห็นหน้าตา หรือเคยเห็นแต่ไม่รู้จัก หรือทั้งไม่รู้จักและไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งการจะทำความรู้จักกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้อย่างใกล้ชิดนั้นคงจะมีแต่การไปเยี่ยมชมอะควาเรียมที่จัดแสดงสภาพแวดล้อมใต้น้ำ และสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่หลากหลายสายพันธุ์
สำหรับสถานที่สุดท้ายของคอลัมน์ One Day With… ในซีรีส์ ‘MUSEUM-IN-SIGHT เพ่งพิศพิพิธภัณฑ์’ เราขอพาทุกคนลงไปยังโลกใต้ทะเล เพื่อใช้เวลาหนึ่งวันเรียนรู้การทำงานของเหล่ามนุษย์ผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้ รวมไปถึงการออกสำรวจสิ่งมีชีวิตใต้น้ำที่มีตั้งแต่ม้าน้ำตัวจิ๋วไปจนถึงฉลามตัวใหญ่ยักษ์
โลกใต้ทะเล ณ ชั้นใต้ดินของศูนย์การค้าใจกลางเมือง

SEA LIFE Bangkok Ocean World เป็นอะควาเรียมหรือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีมาพร้อมกับศูนย์การค้าแห่งนี้ โดย ‘คุณอั้ม – สกลภัส ปลูกจิตรสม’ General Manager ของ SEA LIFE Bangkok Ocean World เล่าให้เราฟังว่า ที่อะควาเรียมแห่งนี้มาตั้งอยู่ใจกลางเมืองได้ เนื่องจากในระหว่างการก่อสร้างนั้น ทางสยามพารากอนอยากได้สถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามายังศูนย์การค้า
อะควาเรียมเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สยามพารากอนจึงติดต่อทางทีมออสเตรเลียที่จัดทำอะควาเรียมในหลายๆ ประเทศให้มาจัดตั้งที่นี่บนพื้นที่ 10,000 ตารางเมตรบริเวณชั้นใต้ดิน ซึ่งค่อนข้างกว้างและเหมาะกับการทำอะควาเรียม
หากนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ SEA LIFE Bangkok Ocean World ก็มีอายุมากถึง 20 ปีแล้ว

ไม่บ่อยนักที่เราจะได้ท่องเที่ยวในอะควาเรียมที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เพราะถ้าไปดูอะควาเรียมในหลายประเทศ แม้จะยังไม่หลุดไปถึงนอกเมืองแต่ก็ต้องใช้เวลาเดินทางอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เนื่องจากข้อจำกัดด้านพื้นที่และโครงสร้างที่ต้องรองรับทั้งทะเลจำลองและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
ด้วยพิกัดใจกลางเมืองที่เดินทางได้ทั้งรถเมล์ เรือ และรถไฟฟ้านี่เอง ส่งผลให้แม้จะเข้าไป SEA LIFE Bangkok Ocean World ในช่วงกลางวันของวันธรรมดา ก็ยังมีผู้คนมากมายโดยเฉพาะครอบครัวชาวต่างชาติต่อแถวรอเข้ามาชมการจัดแสดงอย่างไม่ขาดสาย บ้างก็มีถุงชอปปิงติดไม้ติดมือมาด้วย สะท้อนถึงฟังก์ชันและความครบครันของห้างฯ แห่งนี้ที่ทำหน้าที่เป็นพื้นที่ทั้งของผู้ใหญ่และเด็กได้อย่างกลมกลืน
“จุดเด่นของ SEA LIFE Bangkok Ocean World น่าจะเป็นเรื่องของการตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก แถมยังมีการจัดแสดงให้ชมทุกวัน ก็เลยกลายเป็นตัวเลือกที่ทำให้คนเข้ามาเที่ยวที่นี่ได้ตลอด” คุณอั้มว่าพลางหันไปยิ้มให้กับเด็กต่างชาติตัวน้อยที่วิ่งตรงไปยังตู้จัดแสดง

ภายใน SEA LIFE Bangkok Ocean World แห่งนี้มีการจำลองที่อยู่ของสัตว์ต่างๆ ตามสถานที่จริง เพื่อทำให้ทุกคนที่เข้ามาท่องเที่ยวได้เห็นและเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์น้ำแต่ละชนิดว่า อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหนในธรรมชาติ
ขณะเดียวกัน หลายคนอาจมองว่าการมาเที่ยวอะควาเรียมแค่ครั้งเดียวก็คงเพียงพอแล้วกับการได้สัมผัสชีวิตใต้ท้องทะเล ไม่น่าต้องมาซ้ำอีก แต่คุณอั้มบอกกับเราว่า ที่ SEA LIFE Bangkok Ocean World พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงโซน เปลี่ยนการจัดดิสเพลย์ รีโนเวตเพื่อขยายที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่การนำสัตว์ใหม่ๆ เข้ามาจัดแสดงก็ตาม ซึ่งล่าสุดที่นี่เพิ่งจะต้อนรับฉลามจำนวน 8 ตัวมาเป็นสมาชิกใหม่เมื่อปลายปี 2566

แม้ว่าจะมีสัตว์มากมายให้เราเดินชมเดินสำรวจจนนับนิ้วไม่ถ้วน แต่สัตว์ทุกชนิดที่เห็นในนี้ไม่ใช่ว่าทางพิพิธภัณฑ์อยากนำมาจัดแสดงก็นำเข้ามาได้เลย เพราะด้วยความที่ SEA LIFE Bangkok Ocean World อยู่ภายใต้เครือของบริษัทแม่ในสหราชอาณาจักร ทำให้ต้องให้ความสำคัญเรื่อง Animal Welfare (คุณภาพชีวิตสัตว์) ค่อนข้างมาก
คุณอั้มเล่าให้เราฟังว่า การคัดเลือกหรือนำสัตว์เข้ามาจัดแสดงนั้นจะต้องเป็นไปตามขั้นตอน โดยต้องมีการแจ้งก่อนว่าทางเราจะนำสัตว์ชนิดไหนเข้ามาจัดแสดงบ้าง และนำเข้ามาจากประเทศอะไรหากสัตว์เหล่านั้นไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ถึงจะเข้าสู่กระบวนการที่นำเข้ามาได้
ซึ่งการนำเข้าต้องผ่านกระบวนการของหน่วยงานอย่างกรมประมงและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะมาถึงที่ SEA LIFE Bangkok Ocean World เพื่อนำน้องๆ สัตว์น้ำมาพักไว้ในจุดกักกัน (Quarantine) สำหรับตรวจเช็กความปลอดภัยและสุขภาพประมาณ 15 วัน โดยในระหว่างนั้นจะมีการปรับน้ำ ปรับระบบให้เหมาะสมกับสมาชิกใหม่ ก่อนจะนำเขาเข้าสู่ส่วนจัดแสดงจริงได้
เพราะทุกชีวิตสำคัญ จึงต้องให้การดูแลอย่างดีที่สุด

เพราะพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไม่ใช่แค่สถานที่ที่จะนำสัตว์น้ำมาแสดง และปล่อยให้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังต้องให้ความใส่ใจและดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีไปตลอด
ทุกๆ เช้า ทีมดูแลสัตว์น้ำต้องจัดเตรียมอาหารให้เพียงพอและปลอดภัยกับสัตว์ทุกแทงก์ รวมถึงตรวจเช็กคุณภาพน้ำ ดูเรื่องของอุณหภูมิว่าสัตว์แต่ละชนิดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกต้องไหม โดยเฉพาะสัตว์ที่ต้องอยู่ในความเย็น หากอุณหภูมิสูงเกินไปต้องรีบแก้ไขทันที เพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน อาจส่งผลต่อชีวิตของสัตว์เหล่านั้นได้
“การดูแลสัตว์เป็นสิ่งที่ยากเพราะใช้ปัจจัยหลายอย่างรวมกัน อย่างการตรวจเช็กสุขภาพ และการควบคุมทุกอย่างให้อยู่ในความถูกต้องเหมาะสมกับการที่เขามีชีวิตอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ยากที่สุดที่เราจะควบคุมอย่างไรให้ได้มากที่สุด การตรวจสุขภาพและการดูแลเรื่องอาหารการกินก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญ เพราะถ้าอาหารไม่ถูกต้องหรือไม่สะอาดอาจทำให้เขาป่วยได้ เรียกว่าใช้ความละเอียดกันค่อนข้างมาก”
คุณอั้มพูดถึงความท้าทายของการดูแลสัตว์จำนวนมาก เนื่องจากสถานที่แห่งนี้มีสัตว์ทะเลกว่า 400 สายพันธุ์ และสิ่งมีชีวิตกว่า 30,000 ตัวเลยทีเดียว
สร้างความใกล้ชิดเพื่อให้เกิดการตระหนักรู้

ในฐานะพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ นอกจากจะทำหน้าที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว สร้างความเพลิดเพลินท่ามกลางบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยความน่ารักของสัตว์ชนิดต่างๆ แล้ว SEA LIFE Bangkok Ocean World ยังมีข้อมูลเชิงอนุรักษ์เพื่อสร้างการตระหนักรู้ว่า มนุษย์เรานั้นจะมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สัตว์น้ำแต่ละสายพันธุ์ แต่ละพื้นที่ในโลกด้วยวิธีการใดบ้าง

ถึงอย่างนั้น บางคนอาจนึกไม่ออกว่าการเข้ามาชมสัตว์น้ำในอะควาเรียมจะช่วยให้เกิดความตระหนักรู้ได้อย่างไร
“การได้เข้ามาใกล้ชิดกับสัตว์น้ำ ผ่านการชม หรือทำกิจกรรมต่างๆ ของที่นี่ อาจทำให้ผู้ชมอินมากขึ้นเมื่อได้เข้าไปสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่มีสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อยู่จริงๆ และเป็นส่วนที่ทำให้คนที่ไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตหรือสัตว์ใต้ท้องทะเลรู้สึกเหมือนได้เปิดโลก เปิดมุมมอง และเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน”
คุณอั้มกล่าวทิ้งท้าย ก่อนส่งไม้ต่อให้ ‘ชาช่า-วาทินี สุขเกษม’ เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลและดูแลลูกค้า เป็นผู้พาเราออกไปสำรวจโลกใต้น้ำ

การมา SEA LIFE Bangkok Ocean World ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของเรา แต่เป็นครั้งที่แตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ เพราะชาช่าคอยให้ข้อมูลและพาให้เรารู้จักกับสัตว์น้ำชนิดต่างๆ ผ่านการเดินชมตั้งแต่โพรงหินอำพราง โซนแรกที่ทุกคนจะได้เจอกับแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำที่ซ่อนตัวอยู่ตามก้อนหินหรือปะการัง ชวนให้เราจับผิดการหลบซ่อนและมองหาสัตว์เหล่านั้นเหมือนเล่นเกมจับผิดภาพ

การจัดแสดงสัตว์น้ำของที่นี่ได้รับการจัดเรียงอย่างดีผ่านเส้นทางการเดิน ทำให้มั่นใจได้ว่า เมื่อเข้ามาแล้วจะไม่พลาดโซนใดโซนหนึ่งไปแน่นอน และทุกๆ โซนก็จะมีสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่อาจไม่เคยได้เห็นของจริง หรือสัตว์ที่หาไม่ได้ทั่วไปในประเทศไทย รับรองว่าที่นี่มีอะไรใหม่ๆ ให้เราได้เรียนรู้ตลอดทาง
เดินต่อมาจนถึงโซน Rockpool ที่คุณอั้มเล่าให้เราฟังนอกรอบว่าเป็นหนึ่งในโซนที่อยากแนะนำ เพราะเป็นการจำลองการอยู่ระหว่างผืนดินและท้องทะเลในลักษณะแอ่งหิน ที่เราจะเรียนรู้ได้ว่า สัตว์ชนิดใดบ้างที่อยู่ในพื้นที่หรือระบบนิเวศแบบนี้
กิจกรรมหลักของโซนนี้คือ การได้สัมผัสกับดาวทะเลที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละรอบว่าจะเป็นชนิดไหนที่ออกมาโชว์ตัว นับเป็นตัวอย่างของความใกล้ชิดกับธรรมชาติที่จะได้รับเมื่อเข้ามาท่องเที่ยวที่นี่ เพราะในชีวิตจริงเราไม่ควรจับหรือสัมผัสดาวทะเลในธรรมชาติ

ชาช่าพาเราเดินผ่านส่วนจัดแสดงเพนกวินแอฟริกัน ใกล้กันนั้นเป็นดิสเพลย์ที่มีฉลามเสือดาวและปลากระเบนจมูกวัว ก่อนจะเข้าไปยังโลกของแมงกะพรุนที่แค่ได้มองฝูงสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ลอยไปลอยมาอยู่ในน้ำก็ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายแล้ว
น้ำทะเลจากชลบุรี สู่แทงก์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ในเมือง

เดินมาเรื่อยๆ จนถึงไฮไลต์ที่เป็นภาพจำของอะควาเรียมแห่งนี้ นั่นคือ Main Tank หรืออุโมงค์กระจกทอดยาวที่เรามองเห็นเหล่าสัตว์น้ำได้ทั้งฝั่งซ้าย ฝั่งขวา รวมถึงเมื่อเงยหน้าขึ้นไปด้านบนด้วย
ภายในส่วนนี้มีทั้งฉลาม กระเบน และฝูงปลาต่างๆ ที่ว่ายวนอยู่ในน้ำทะเลที่นำมาจากแสมสาร จังหวัดชลบุรี ปริมาณกว่า 3.5 ล้านลิตร นับเป็นอินไซด์ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน

จุดกึ่งกลางของเส้นทางเดินอุโมงค์กระจกเชื่อมต่อด้วยส่วนที่เรียกว่า Fish Bowl ห้องลักษณะทรงกลมเหมือนอ่างปลา เป็นเหมือนจุดพักเหนื่อยหลังจากที่เดินกันมานาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริเวณที่คุณอั้มแนะนำว่าช่วยสร้างความผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นที่ไม่ค่อยมีคนมากเท่าไรนัก
ด้วยลักษณะของพื้นที่ที่ทำให้เรามองเห็นฝูงปลาได้รอบทิศทาง ราวกับได้รับการโอบล้อมจากท้องทะเล ที่จะช่วยให้เรารู้สึกสงบและผ่อนคลายได้จริงๆ
ฉลามไม่ได้ชอบงับคุณ เพราะฉลามนั้นไม่งับคน (ก่อน)

เดินไปคุยไปจนชาช่าพามาถึงสุดทางปลายอุโมงค์ และพบกับส่วน (เกือบ) สุดท้ายที่เป็นกระจกขนาดใหญ่
เธอบอกว่าบริเวณนี้เป็นจุดดำน้ำกับฉลาม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ลูกค้าต่างชาติค่อนข้างชื่นชอบ เพราะเป็นกิจกรรมที่ทำให้ได้ใกล้ชิดกับฉลามโดยไม่มีการสัมผัสตัว แม้ว่าฉลามจะไม่โจมตีคนก่อนก็ตาม แต่เนื่องจากเราไม่สามารถคาดเดาความคิดของสัตว์ได้ การป้องกันไว้ก่อนก็เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยทั้งกับคนและสัตว์
ให้น้ำและปลาผ่อนคลายจิตใจ

เราสังเกตเห็นว่า มีหลายคนจับจองพื้นที่หันมองไปยังกระจกกว้าง นอกจาก Fish Bowl ที่เป็นมุมพักใจคลายเครียดแล้ว ตรงนี้ก็เป็นอีกพื้นที่นั่งพักให้เราปล่อยเวลาเดินไปอย่างช้าๆ ผ่านการมองสายน้ำและฝูงปลา Main Tank ในมุมกว้างที่แหวกว่ายวนเวียนไปเรื่อยๆ
“ไม่ใช่แค่ลูกค้าที่ชอบมานั่งนะ พนักงานอย่างเราก็มานั่งด้วยเหมือนกัน เพราะบางวันมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมากถึงสามพันถึงห้าพันคน บางครั้งเราก็ต้องการโฟกัสให้จิตใจของเรานิ่งสงบ เพราะในช่วงเวลาก่อนเริ่มงาน พนักงานสามารถเข้ามาเดินชมภายในได้ก่อน อาจจะมานั่งดูฉลาม ดูน้ำ ฟังเสียงบรรยากาศโดยรอบ รู้สึกว่าได้พลังงานที่ดี ทำให้เราสงบและตั้งใจทำงาน”
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดเป็นเหมือนเพื่อนของเรา

น่าเสียดายที่ในวันนั้นโซนสุดท้ายอย่าง Gentoo Penguins กำลังปิดปรับปรุง ก่อนแยกกันเราถามชาช่าถึงเรื่องความใกล้ชิดกับสัตว์ทะเลในฐานะของคนทำงาน
“เมื่อก่อนรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้อยู่ไกลตัว แต่พอมาทำงานที่นี่ เราเจอเขาทุกวัน ทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนเพื่อนของเรา เพราะฉะนั้นเราที่เป็นมนุษย์ก็อยากช่วยเหลือดูแลพวกเขา เพราะบางครั้งเขาไม่สามารถดูแลตัวเองจากอันตรายได้ แค่ใช้สัญชาตญาณในการป้องกันตัว แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มนุษย์เราเปลี่ยนความคิด หันมาให้ความช่วยเหลือ แค่นี้เราก็ปกป้องพวกเขาได้แล้ว”

ชาช่าทิ้งท้ายอีกว่า เธออยากให้ SEA LIFE Bangkok Ocean World เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มอบความสุขและรอยยิ้มให้กับคนที่มาได้ เพราะเธอคิดว่าที่นี่ไม่ใช่แค่สถานที่ที่ให้ความสนุกสนานเท่านั้น แต่ยังยกทะเลมาสร้างการเรียนรู้ให้ผู้คนใกล้ชิดกับธรรมชาติ กับสัตว์ที่อยู่ใต้ท้องทะเล และกลับไปพร้อมความสุข

หากมีเวลาว่างหนึ่งวันและไม่รู้ว่าจะออกไปทำกิจกรรมที่ไหน เราอยากให้ทุกคนลองแหวกว่ายลงไปใต้ทะเลแบบไม่ต้องไปไหนไกล แค่เข้ามายังใจกลางเมืองแล้วลงมายังชั้นใต้ดินของสยามพารากอน เพียงเท่านี้ ชีวิต Under the Sea ก็อยู่ไม่ไกลตัวเราแล้ว
_______________________________________
‘MUSEUM-IN-SIGHT เพ่งพิศพิพิธภัณฑ์’ คือซีรีส์บทสัมภาษณ์ในคอลัมน์ One Day With… จาก Urban Creature ที่จะพาไปสำรวจพิพิธภัณฑ์ที่ได้รับรางวัล Museum STAR ว่า กว่าจะมาเป็นแหล่งเรียนรู้ติดดาวให้เราเข้าชม มีอินไซต์อะไรที่คนเข้าชมอย่างเราๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนบ้าง