ท่ามกลางกระแสฮือฮากับตัวอย่างแรกของ ‘ร่างทรง’ (THE MEDIUM) ภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องล่าสุดของ โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล (ผู้กำกับ ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ ปี 2547) ที่เล่าตำนานความเชื่อเรื่องผีในพื้นที่อีสาน นอกจากความเฮี้ยนตั้งแต่ทีเซอร์แรก หนังเรื่องนี้ยังได้ นา ฮงจิน ผู้กำกับภาพยนตร์สยองขวัญชาวเกาหลีใต้เจ้าของผลงาน The Wailing (2559) มานั่งแท่นโปรดิวเซอร์อีกด้วย ยิ่งสร้างความน่าจับตาไม่น้อย
ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นมีหนังทุนน้อย จากประเทศเพื่อนบ้านชื่อ Roh (อ่านว่า โระฮ์ ในภาษามลายู แปลว่าวิญญาณ) หรือชื่อภาษาอังกฤษ ‘Soul’ ก็เข้าฉายในสตรีมมิงเจ้าดังอย่าง Netflix หนังผีเสียวสันหลังสัญชาติมาเลเซีย ผลงานเขียนบทและกำกับโดย Emir Ezwan ที่สร้างชื่อตั้งแต่ครั้งแรกที่ออกฉายในเทศกาลภาพยนตร์มาเลเซียและสิงคโปร์ เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2020 จนสามารถเบียดขึ้นเป็นตัวแทนประเทศมาเลเซียชิงออสการ์ครั้งที่ 93 ที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้รับเลือกเข้าชิงในรอบสุดท้ายอย่างน่าเสียดาย
Roh เล่าถึงเรื่องราวของครอบครัวหญิงม่าย ลูกสองครอบครัวหนึ่งที่อาศัยอย่างโดดเดี่ยวกลางป่า ดำรงชีวิตด้วยการเผาถ่าน หาของป่า กระทั่งในเช้าวันหนึ่งลูกทั้งสองไปเจอกวางปริศนาที่ติดบ่วงห้อยคออยู่กับต้นไม้ ก่อนจะพบกับเด็กหญิงลึกลับ เนื้อตัวเปื้อนโคลนที่เดินตามพวกเขากลับมาบ้าน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมดที่พวกเขาต้องเผชิญ ซึ่งทุกอย่างค่อยๆ เฮี้ยนขึ้นเรื่อยๆ
มนุษย์สร้างจากดิน ญินสร้างจากไฟ
หนังเปิดเรื่องด้วยตัวบทในคัมภีร์กุรอานว่าด้วยการสร้างสิ่งมีชีวิตของพระเจ้า (อัลลอฮ์ ซ.บ.) ที่มนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นจากดินโคลน และเหล่าญิน (สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างก่อนมนุษย์ตามความเชื่อของอิสลาม) ถูกสร้างจากเปลวไฟ จึงไม่แปลกที่ตลอดทั้งเรื่องเราจะเห็น ‘ไฟ’ ปรากฏเป็นองค์ประกอบหลักของเรื่อง
หากจะทำความเข้าใจความหมายของตัวบทนี้ ในฐานะที่ผู้เขียนเองนับถืออิสลามซึ่งเติบโตมากับโรงเรียนสอนศาสนา และเรื่องเล่าเกี่ยวกับญิน จึงอยากจะพาผู้อ่านย้อนกลับไปดูรายละเอียดในกุรอานที่ระบุว่า ก่อนมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นั้น พระเจ้าได้สร้างสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไว้มากมาย เทวทูตต่างๆ ถูกสร้างขึ้นจากรัศมี สร้างจากแสง และจากไฟ ครั้นจะสร้างมนุษย์คนแรก จึงมีคำสั่งให้ใช้ดินปั้นเป็นรูปร่างที่สมบูรณ์ จากนั้นพระองค์ได้เป่าดวงวิญญาณ (Soul) เข้าไป แล้วให้ชื่อว่า ‘อาดัม’ มนุษย์คนแรก
ภาพ : Netflix
อาดัมถูกสร้างขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นตัวแทนของพระองค์ พร้อมทั้งได้ประทานความรู้ความสามารถแก่อาดัม จากนั้นพระเจ้าจึงมีโองการสั่งให้เหล่าเทวทูตต่างๆ รวมถึงญิน ก้มซูหยูด (ก้มกราบทำความเคารพ) สรรพสิ่งต่างๆ ต่างเชื่อฟัง ทว่ามีแค่เพียงเหล่าญิน โดยการนำของ อิบลีส (ที่ปรากฏในหนังด้วย) ไม่ยอมทำตาม โดยอ้างว่าทำไมจะต้องเคารพสิ่งมีชีวิตที่สร้างมาจากดินโคลนอันต่ำต้อยด้วย ในขณะที่ตนนั้นสร้างมาจากไฟ สูงส่งกว่าเป็นไหนๆ
เมื่อการปฏิเสธความเคารพต่อตัวแทนของพระเจ้านั่นเท่ากับว่าปฏิเสธพระเจ้าไปด้วย พระองค์มีคำสั่งลงโทษเหล่าญินที่ทรยศ แต่ด้วยความทะนงตัวของอิบลีส มันเลยขอต่อหน้าพระเจ้าเพื่อประวิงเวลาการทำโทษไปยังวันสิ้นโลก พร้อมขอเป็นปรปักษ์กับอาดัมและลูกหลานของอาดัมตลอดไป
ภารกิจแรกที่อิบลีสได้ลงมือทำและสำเร็จอย่างมหาศาลคือ การแปลงกายเป็นงูและหลอกนางฮาวา (มนุษย์คนที่สอง ซึ่งเป็นภรรยาของอาดัม) ให้กินผลไม้ต้องห้ามในสวรรค์ เหตุการณ์นั่นเองที่ทำให้อาดัมและฮาวาต้องถูกเนรเทศตกมาอยู่ที่โลก เหล่าอิบลีสก็หมายมั่นที่จะหลอกหลอนลูกหลานอาดัมต่อไป พร้อมจะนำพามนุษย์กลับไปยังต้นกำเนิดที่มาของพวกมัน นั่นคือ ไฟ
ภาพ : Netflix
เรื่องเล่าพื้นบ้านบนพื้นเพศาสนา
ญิน อิบลีส หรือ ชัยตอน (ซาตาน) ในอิสลาม คือชื่อเรียกสิ่งมีชีวิตลี้ลับที่คอยสร้างความปั่นป่วนและเป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้าย
ญินในความหมายตรงตัวคือ ปกปิดซ่อนเร้นจากสายตามนุษย์ ย้อนกลับไปสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กเรียนโรงเรียนสอนศาสนา อาศัยอยู่ในปอเนาะ (โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ที่นักเรียนส่วนใหญ่พักในบริเวณโรงเรียน มีลักษณะเป็นกระท่อมเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ) กลางทุ่งริมชายป่า เรื่องเล่าเกี่ยวกับญินนั้นปรากฏให้ได้ยินและสร้างความขนหัวลุกอยู่สม่ำเสมอ หนึ่งในนั้นคือความสามารถอันเหนือจินตนาการของพวกมัน เพราะญินสามารถเข้าสิงหรือครอบงำมนุษย์ให้ทำสิ่งที่มนุษย์ปกติไม่สามารถทำได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการอวดศักดาให้คนหลงงมงาย บูชาพวกมันแทนที่จะเป็นพระเจ้า
มองย้อนกลับมาที่ตัวหนัง ในช่วงต้นที่แม่ของเด็กๆ เล่าถึงเรื่องสิ่งมีชีวิตลี้ลับ วิญญาณที่กระจายอยู่ทั่วป่า พรมแดนที่คาดเดาไม่ได้ ไม่ควรแม้แต่จะย่างกรายเข้าไป และถึงแม้ในหนังจะไม่ได้เจาะจงว่าตัวละครนับถืออะไรก็ตาม แต่เรื่องเล่าพื้นบ้านมลายูที่มีความเชื่อแนบอิงกับหลักคิดแบบอิสลาม (อิสลามเข้ามาในคาบสมุทรมลายูเมื่อปีคริสต์ศตวรรษที่ 13 – 14 โดยพ่อค้าชาวอาหรับ) โดยเฉพาะเรื่องญินก็ดูเหมือนจะกระจายไปทุกทิศทาง ตัวหนังสะท้อนสิ่งนี้ออกมาอย่างทรงพลัง ผ่านภาพบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเทคนิค Jump Scare อย่างเดียวแบบหนังผีสยองขวัญทั่วไปนิยมทำ
ภาพ : Netflix
ภายใต้บรรยากาศอันแสนตึงเครียด ความไม่น่าไว้วางใจที่พร้อมจะคืบคลานจากทุกทิศทาง ครอบครัวอันแสนโดดเดี่ยว ไร้ที่มา ตัดขาดจากการอยู่กันเป็นสังคมชุมชน กระนั้นก็ไม่วายที่จะโดนอำนาจอันซ่อนเร้นจ้องเล่นงาน ไม่ว่าจะในฐานะมนุษย์อันเป็นลูกหลานของอาดัมที่ญินเคียดแค้นนัก หรือในฐานะของการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ด้านหนึ่งยังเฝ้ารอการกลับมาของสามี ความจนตรอกอย่างถึงที่สุด ทุนรอนเดียวที่มีคงเป็นเพียงถ่านไม้ เหล่านี้ต่างสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของมนุษย์ได้น่าสนใจ
ภาพ : Netflix
ไฟในฐานะการกำเนิดและการดับสูญ
ไฟในแง่หนึ่งคือวิวัฒนาการครั้งสำคัญของมนุษย์นับตั้งแต่อดีตกาลราว 800,000 ปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน ‘ไฟ’ ใต้กรอบความเชื่อทางศาสนาก็มีฐานะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างจากพระเจ้าซึ่งมีพลังและความสามารถ ทั้งยังถูกระบุว่าไฟจะเป็นแหล่งพำนักสุดท้ายของผู้ขัดบัญชาของพระเจ้า
ในคัมภีร์กุรอานของชาวมุสลิมระบุไว้ว่า วิญญาณของมนุษย์กับญินไม่เหมือนกัน วิญญาณมนุษย์เมื่อออกไปจากร่างแล้วก็จะไปอยู่ในอีกภพภูมิหนึ่ง ที่ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถติดต่อสัมพันธ์ได้ แต่ญินเป็นสิ่งมีชีวิตเร้นลับที่มนุษย์ยังสามารถติดต่อกับมันและใช้ประโยชน์จากมันได้ ญินไม่ได้ต้องการเป็นพระเจ้า ทว่าอยากดึงเอาลูกหลานอาดัมให้ตกนรกมอดไหม้ไปพร้อมกับตนในวันสุดท้ายของการพิพากษา
ภาพ : Netflix
เมื่อลองย้อนดูภูมิทัศน์ความเชื่อของมุสลิมที่เชื่อว่า ญินจะปรากฏตัวให้มนุษย์เห็นบางครั้งบางคราว หรือบางครั้งอาจมาสอนอวิชชา ไสยศาสตร์ให้มนุษย์นำไปใช้ หรือการเข้าสิงเข้าทรง กระทั่งเรื่องเล่าอย่างการเจ็บไข้หาสาเหตุไม่ได้ก็อาจมาจากยาพิษของญิน จากนั้นจึงจะส่งหมอผีในฐานะคนขายยาของพวกตนมารักษา สร้างการอุปทานความศักดิ์สิทธิ์ของหมอผี ทว่าความจริงแล้วทั้งหมดก็แค่กลเม็ดของญิน เพื่อที่ปลายทางสุดท้ายคือการพามนุษย์ให้หันเหและหันมาบูชาทั้งหมอผีและพวกตน ขณะเดียวกันการดำรงอยู่ได้ของหมอผีก็ต้องสยบยอมบูชาพวกตนอีกทอดเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ต่างปรากฏอยู่ใน Roh แทบทั้งสิ้น
ภาพ : Netflix
จากคำสัญญาต่อหน้าพระเจ้าของอิบลีส การค่อยๆ ปรากฏกายในรูปร่างต่างๆ การกระซิบกระซาบ สร้างความปั่นป่วน แตกแยกในหมู่มนุษย์ไปจนกระทั่งการสังเวยชีวิต การปรากฏตัวในซีนสุดท้ายของ Roh เมื่อคำประกาศที่อิบลีสกล่าวขึ้นหน้ากองเพลิงริมหน้าผา ยิ่งช่วยยืนยันเรื่องเล่าและความเชื่อว่า พลังแห่งไฟ ความโกรธแค้น ความต้องการเอาชนะมนุษย์นั้นไม่เคยลดลงเลยนับตั้งแต่กำเนิดมนุษย์คนแรก และจะเป็นไปอย่างนั้นจนกว่าโลกจะสลายไป