‘ม้าที่ควรค่าแมว’ ผวนมาจาก แมวที่ควรค่าม้า นี่คือชื่อนิทรรศการที่ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการชวนผู้ชมไปสำรวจแมวที่ชุมชนควรค่าม้าสามัคคี ในซอยหลังวัดควรค่าม้า ย่านเมืองเก่าเชียงใหม่
ว่าไปมันคือส่วนผสมระหว่างความน่าเอ็นดู ความจริงจัง และความเนิร์ด เมื่อสองอาจารย์จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มิก-ชมพูนุท ชมภูรัตน์ และ เต๊ะ-พิชญ์วุฒิ วิรุตมวงศ์ ในนามกลุ่ม Research Playground, 2024 ลงพื้นที่ศึกษาชีวิตเหล่าแมวในย่านอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นจำนวนประชากร ชื่อเสียงเรียงนาม พฤติกรรม และความสัมพันธ์ระหว่างผังอาคาร ผู้คน และวิถีชีวิตแมวในชุมชนดั้งเดิมกลางเมืองเชียงใหม่
เราเห็นนิทรรศการนี้ครั้งแรกใน Chiang Mai Design Week 2024 ที่ตึกมัทนา ถนนช้างม่อย ซึ่งนำเสนอผ่านแบบจำลองอาคาร เส้นทางสัญจรของแมว สำมะโนประชากรแมวในย่าน รูปถ่ายแมวจรที่ชวนผู้ชมตั้งชื่อแมว ภาพวาดแมวน่ารักๆ ไปจนถึงข้อมูลจากงานวิจัยที่มีทั้งน้ำหนักทางวิชาการและความอบอุ่นไปพร้อมกัน
หนึ่งปีต่อมา ใน Chiang Mai Design Week 2025 (วันที่ 6 – 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568) มิกและเต๊ะต่อยอดนิทรรศการนี้สู่โปรเจกต์ ‘แมวเมือง เมืองแมว’ ป็อปอัปสโตร์จำหน่ายสินค้าแมวๆ ใน Pop Market (ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา) หลังจากที่พวกเขาเพิ่งคว้ารางวัล Design Excellence Award 2025 และ Good Design Award 2025 ที่โตเกียว
Urban Creature ชวนมิกและเต๊ะมาคุยถึงจุดเริ่มต้นของงานวิจัยสุดคิวต์ชิ้นนี้ รวมถึงกระบวนการที่ส่งต่อจากถนน ชุมชน ไปสู่แมว และการทำให้นิทรรศการที่ดูเหมือนทำกันเล่นๆ จากชุมชนงานนี้ กลับได้รับการยอมรับในเวทีนานาชาติเสียอย่างนั้น
แมวที่ควรค่าม้า
เรานัดพบมิกและเต๊ะในซอยหลังวัดควรค่าม้า ซอยเล็กๆ ที่ความยาวไม่ถึง 100 เมตร มิกเล่าถึงจุดเริ่มต้นของงานวิจัยที่ต่อยอดนิทรรศการนี้อย่างเรียบง่ายว่า เพราะเธอถูกเพื่อนวานไปให้อาหารแมวที่บ้าน

“เพื่อนเราชื่อตูน (มณฑล เผ่าอรุณ) บ้านอยู่ซอยนี้ ตูนไม่ค่อยอยู่บ้าน เลยวานให้เราไปให้อาหารแมว พอไปบ่อยเข้าก็พบว่าแมวตูนมันไม่ยอมอยู่บ้านตัวเอง แต่วนไปนอนบ้านคนอื่น และแมวบ้านอื่นมักมานอนอยู่บ้านตูน และเราก็สังเกตว่าทำไมย่านนี้ถึงมีแมวเยอะกว่าที่อื่นๆ จุดเริ่มต้นง่ายๆ แค่นี้เลย คือปริมาณของแมวในย่านที่ดูมากกว่าปกติ และแมวพวกนี้มีตรรกะอะไรของมัน”
ชุมชนควรค่าม้าสามัคคีตั้งอยู่ในตำบลศรีภูมิ บริเวณคูเมืองชั้นในใกล้ประตูช้างเผือก เป็นหนึ่งในชุมชนเก่าแก่ของย่านเมืองเก่าเชียงใหม่ที่ยังคงผังแบบ ‘กองกีด’ หรือเครือข่ายซอยแคบสำหรับเดินเท้าแตกแขนงเป็นก้างปลา โดยมีซอยหลังวัดควรค่าม้าเป็นเส้นหลัก แต่ถึงจะเรียกว่าเส้นหลัก ถนนก็ยังแคบจนรถสวนกันไม่ได้
ด้วยผังเมืองเช่นนี้ ทำให้แม้อยู่กลางเมืองแต่บรรยากาศของชุมชนกลับสงบ กะทัดรัดแต่ไม่แออัด ผู้คนส่วนมากยังเป็นเจ้าของบ้านดั้งเดิมและรู้จักกันหมด และก็เพราะพื้นที่สัญจรแคบ รถผ่านไม่ถี่นัก ที่แห่งนี้จึงเป็นเหมือนสวรรค์ขนาดย่อมของทั้งแมวบ้านและแมวจรซึ่งนับคร่าวๆ มีไม่ต่ำกว่า 30 ตัว

และจากความสงสัยง่ายๆ ว่า ‘ทำไมที่นี่มีแมวเยอะ’ และดูเหมือนทุกบ้านจะเป็นมิตรกับพวกมัน คำถามนี้เองที่ทำให้มิกเริ่มต้นค้นหาคำตอบ
Research Playground, 2024
จากความพยายามหาคำตอบ มิกเริ่มสำรวจจำนวนประชากรแมว สัมภาษณ์ผู้คนในชุมชน และมิติของการพัฒนาเมืองที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของแมว การศึกษาระดับทดลองนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ กระทั่งมีสถาบันในเกียวโตแห่งหนึ่งเปิดรับข้อเสนองานวิจัยเพื่อนำเสนอในงานประชุมวิชาการ มิกจึงเขียนโครงร่าง (Proposal) งานวิจัยแมวๆ ชิ้นนี้ส่งไป และท้ายที่สุดมันได้รับเลือกเข้าร่วม
หลังจากไปนำเสนองานวิจัย มิกคิดว่าน่าจะทำอะไรกับงานชิ้นนี้มากไปกว่าการจัดทำเป็นเอกสารหรือฐานข้อมูล เธอจึงชวนเต๊ะ เพื่อนอาจารย์ที่คณะฯ ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำวิจัยเกี่ยวกับ Urban Wildlife ตั้งแต่วิถีชีวิตของฝูงอีกาในโตเกียว ไปจนถึงประชากรลิงในลพบุรี มาต่อยอดงานวิจัยชิ้นนี้ด้วยกัน


พอดีกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ กำลังเปิดหาผลงานร่วมจัดแสดงในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ปีที่แล้ว มิกและเต๊ะจึงนำเรื่องนี้ไปเสนอ และนั่นคือที่มาของการตั้งกลุ่ม Research Playground, 2024 ที่พวกเขาหวังให้งานวิชาการเข้าถึงคนนอกวงด้วยความสนุก และสร้างการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ ผ่านนิทรรศการ ‘ม้าที่ควรค่าแมว’ งานเดบิวต์ของกลุ่มชิ้นนี้
“ตอนแรกเราคิดว่าที่ชุมชนนี้มีแมวเยอะน่าจะมาจากปัจจัยทางกายภาพอย่างข้อกำหนดเทศบัญญัติที่ห้ามสร้างอาคารสูง ทำให้เกิดทางสัญจรของแมวผ่านแนวหลังคา รวมถึงตรอกซอยแคบๆ ที่ทำให้พวกมันข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย แต่พอศึกษาลึกลงไป เราพบว่าวิถีดั้งเดิมของชุมชนก็สำคัญไม่น้อยกว่ากัน” เต๊ะเล่า
“เพราะแทบทุกบ้านรู้จักกันหมด และไม่ใช่แค่คนรู้จักคน แต่ยังเป็นคนรู้จักแมวในแบบที่รู้ชื่อกันหมด รู้ขนาดที่ว่าแมวกลุ่มนี้ไม่ถูกกับแมวอีกกลุ่ม แมวบางตัวมักจะไปนอนกลางวันที่ไหน แมวจรตัวนี้ได้ฉีดวัคซีนหรือทำหมันหรือยัง ทั้งยังมีการฝากฝังแมวไว้ให้เพื่อนบ้านช่วยดูแล หรือแม้แต่แมวจรที่อยู่ในนี้มานานก็ถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน จนกลายเป็น ‘แมวชุมชน’ ในที่สุด ความสัมพันธ์แบบนี้หาได้ยากมากในชุมชนเมืองสมัยใหม่ โดยเฉพาะในย่านใจกลางเมืองเช่นนี้”
มองแมวในเมือง มองเมืองในแมว
เราเปิดเว็บไซต์ g-mark.org เพื่ออ่านคำแถลงของคณะกรรมการรางวัล Good Design Award 2025 ซึ่งเพิ่งมอบรางวัลในหมวด Media & Contents ให้กับนิทรรศการของมิกและเต๊ะ หนึ่งในถ้อยความที่น่าสนใจระบุไว้ว่า
“จุดเด่นของงานอยู่ที่โครงสร้างการมีส่วนร่วมที่เปิดให้ผู้คนในชุมชนเข้ามามีบทบาทในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเมือง สถาปัตยกรรม และแมวจร รวมถึงรูปแบบพฤติกรรมของแมว ผ่านการจัดแสดงโมเดลและงานกราฟิกที่เข้าถึงง่าย
“นิทรรศการยังทดลอง ‘เปลี่ยนสถานะ’ ของแมวจรไร้ชื่อในสายตาผู้ชม ให้มีตัวตน ชื่อเรียก พื้นที่ประจำ และเป็น ‘แมวชุมชน’ ที่ได้รับการดูแลอย่างเป็นธรรมชาติจากทุกคน การออกแบบจึงทำหน้าที่เป็นเครื่องมือเชื่อมโยงผู้คนกับแมว และช่วยปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความเห็นอกเห็นใจขึ้นในใจของผู้ชม”
ความเห็นนี้สะท้อนสิ่งที่เราเห็นเมื่อเยี่ยมชมนิทรรศการ ไม่ปฏิเสธว่ามันสนุกและอบอุ่นหัวใจ แต่ในระดับที่ใหญ่ขึ้นกว่ารางวัลและการหาคำตอบส่วนตัวของมิก คำถามหนึ่งยังค้างอยู่ในใจ เมื่อมองในภาพใหญ่ นิทรรศการของทั้งคู่จะนำพาผู้คนและเมืองไปสู่อะไรต่อไป



“เรามองไปถึงปัญหาสัตว์จรจัดที่เมืองยังแก้ไม่ตก ทั้งการควบคุมจำนวนประชากรและสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับพวกมัน เพราะไม่ใช่ทุกบ้านจะรักแมวหรือหมา และไม่ใช่ทุกหมาหรือแมวจะน่ารักกับทุกคน” มิกตอบ
“อย่างชุมชนควรค่าม้าฯ ถือเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ เพราะเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างคนกับแมวเป็นบวก ทำให้การประสานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นไปได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการฉีดวัคซีน ทำหมัน ไปจนถึงการประกาศหาคนมาอุปการะแมวจร ขณะเดียวกัน ถ้ามีการต่อยอดไปสู่การออกแบบพื้นที่ที่ทำให้สัตว์ในชุมชนปลอดภัย พวกมันจะกลายมาเป็นหนึ่งในเสน่ห์ของย่านไปด้วย”
ในขณะที่เต๊ะมองประเด็นนี้ในมุมของการอยู่ร่วมกันระหว่างสมดุลของระบบนิเวศเมืองกับสวัสดิภาพของมนุษย์และสัตว์ เขาเชื่อว่าการศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ในเมืองคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เมืองนั้นมีความน่าอยู่อย่างแท้จริง
“ทุกเมืองทั่วโลกต่างมีระบบนิเวศซ้อนทับอยู่ ไม่ใช่แค่หมาแมว แต่รวมถึงสัตว์เฉพาะถิ่น เช่น กวางในนารา จิงโจ้ในออสเตรเลีย ไคโยตีในอเมริกา นกพิราบในเมืองใหญ่ทั่วไป และอื่นๆ ทั้งการพัฒนาเมือง มลภาวะที่ผู้คนในเมืองก่อ และสภาพอากาศที่แปรปรวนรุนแรงในปัจจุบัน ล้วนส่งผลต่อวิถีของสัตว์เหล่านี้ และสุดท้ายก็สะท้อนกลับมาถึงความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของคนในเมืองด้วย อย่างกรณีล่าสุดที่ญี่ปุ่นมีข่าวหมีบุกเขตเมืองมาทำร้ายคน นั่นทำให้เห็นว่าการเข้าใจระบบนิเวศธรรมชาติ หาวิธีอยู่ร่วมกัน และทำให้ทั้งผู้คนและสัตว์ปลอดภัยเป็นเรื่องจำเป็นมาก
“ถ้าผู้คนตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับสัตว์มากขึ้น และมีส่วนร่วมในประเด็นนี้ เราเชื่อว่านี่จะเป็นหนึ่งในกลไกตั้งต้นของการสร้างเครือข่ายเพื่อพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ทั้งสำหรับคนและสัตว์ต่อไป” เต๊ะกล่าวทิ้งท้าย

ไปดูผลงานแมวๆ ของกลุ่ม Research Playground, 2024 ได้ในงาน Chiang Mai Design Week 2025 ในพื้นที่จัดแสดงผลงานที่ชนะรางวัล Design Excellence Award 2025 ณ หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ (หอศิลป์สามกษัตริย์) และไปชอปปิงสินค้าแมวๆ ของพวกเขาได้ที่บูท ‘แมวเมือง เมืองแมว’ ในงาน Pop Market บูท C-01 (เวลา 16.00 – 22.00 น.) หน้าพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา (มีถึงวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568)
นอกจากนี้ ใน Chiang Mai Design Week 2025 กลุ่ม Research Playground, 2024 ยังร่วมกับ VERNADOC Thailand จัดเวิร์กช็อปวาดรูปสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ณ ศูนย์สถาปัตยกรรมล้านนา คุ้มเจ้าบุรีรัตน์ (มหาอินทร์) ถนนราชดำเนิน ตั้งแต่วันนี้ – 14 ธันวาคมนี้ ติดตามรายละเอียดได้ทาง www.facebook.com/researchplayground2024