‘ความสร้างสรรค์’ นับว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือพัฒนาเมืองให้แข็งแรงและยั่งยืน หน่วยงานและองค์กรด้านเมืองจึงเริ่มให้ความสำคัญกับการสนับสนุนงานเทศกาลต่างๆ เพราะนอกจากจะสร้างความคึกคักให้เมืองแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวทั้งระดับประเทศและชุมชนในอีกทางหนึ่ง
และในปีนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ร่วมมือกันจัดงาน ‘Amazing Thailand Grand Diwali Festival 2025’ ในย่านพาหุรัดและริมคลองโอ่งอ่าง ซึ่งเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองแสงแห่งศรัทธาที่เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ความสุข และมิตรภาพระหว่างสองวัฒนธรรมไทย-อินเดีย
ความพิเศษของปีนี้คือ ความตั้งใจในการยกระดับและพัฒนาพื้นที่ให้ดึงดูดคนนอกพื้นที่มากขึ้น ผ่านการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วย ‘พลังแห่งสี’ ถึง 8 จุดภายในย่านพาหุรัด – คลองโอ่งอ่าง โดยมี ‘Nippon Paint’ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีนวัตกรรมและยั่งยืนยอดขายอันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 4 ของโลก จากประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้สนับสนุนให้ไอเดียงานศิลปะเหล่านี้จับต้องได้ และกลายเป็นผลงานที่จะฟื้นฟูย่านเก่าแห่งนี้ให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้งด้วยแนวคิด วิสัยทัศน์ และพันธกิจของแบรนด์ ที่เชื่อว่า “สี” มีพลังที่พร้อมช่วยยกระดับคุณชีวิตชีวิตของผู้คนและเมืองได้
ไม่เพียงแต่สร้างสีสันในช่วงเทศกาลเท่านั้น แต่โปรเจกต์นี้จะช่วยให้ย่านพาหุรัดและริมคลองโอ่งอ่างกลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่แห่งวัฒนธรรมไทย-อินเดียในกรุงเทพฯ เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวทุกชนชาติมาเยี่ยมเยียนและเพลิดเพลินไปกับการเดินเล่นชมวิถีชีวิตที่รุ่มรวยไปด้วยศิลปวัฒนธรรม
ว่าแต่งานนี้มีกระบวนการอย่างไร และผลงานแสดงที่จุดไหนบ้าง ตามไปดูกันเลย!
พาหุรัด-คลองโอ่งอ่าง พื้นที่แห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรม

‘พาหุรัด’ เป็นย่านเก่าแก่ของกรุงเทพฯ มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะวิถีชีวิตของชุมชนชาวไทยเชื้อสายอินเดีย ทำให้พื้นที่แห่งนี้มีเอกลักษณ์ที่แข็งแรงในด้านวัฒนธรรมอินเดียในประเทศไทย จนอาจกล่าวว่า ย่านนี้เป็น Little India ก็คงไม่ผิดเท่าไรนัก
หากพูดถึงวัฒนธรรมของอินเดียแล้ว สีสันสดใสจัดจ้านย่อมเป็นหนึ่งในสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของดอกไม้ในพิธีต่างๆ เครื่องประดับ เสื้อผ้าทั้งหญิงและชาย รวมไปถึงสถาปัตยกรรมที่มาพร้อมความสวยสดงดงาม ไม่แปลกใจที่ใครๆ รวมถึงเราจะรู้สึกว่า สีสันและย่านพาหุรัดมีความเชื่อมโยงกัน
ด้วยเหตุนี้ การพัฒนาย่านจึงตั้งต้นจากไอเดียที่จะนำสีและความสร้างสรรค์มาผสมผสานเข้ากับวิถีชีวิตในชุมชน เพื่อสร้างอัตลักษณ์ที่โดดเด่นให้กับย่าน พร้อมถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องเล่าผ่านงานศิลปะ ส่งต่อให้คนนอกย่านได้รู้จักกับวัฒนธรรมที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ และเพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้คนรุ่นใหม่ในย่านร่วมกันอนุรักษ์วิถีของชุมชนให้ยังคงอยู่ต่อไป
เติมสี สาดความสร้างสรรค์ เพิ่มชีวิตชีวาให้ย่านด้วย “พลังของสี”

มีไอเดียแล้ว แต่ขาดเครื่องมือไปก็คงไม่ทำให้ผลงานเกิดขึ้นได้ ความสร้างสรรค์ของโปรเจกต์นี้จะไม่สามารถจับต้องได้เลยหากไม่มี ‘สี’ ที่ทาง ‘Nippon Paint’ สนับสนุน
หนึ่งในแนวทางการพัฒนาย่านในครั้งนี้คือ การเปลี่ยนให้พื้นที่บริเวณย่านพาหุรัดและคลองโอ่งอ่างกลายเป็นพื้นที่ศิลปะแห่งชีวิตตามวิสัยทัศน์ที่ว่า ‘พลังของสี’ ช่วยยกระดับภูมิทัศน์เมือง สร้างความปลอดภัยในพื้นที่สาธารณะ และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้คน-ชุมชน สอดคล้องกับ CSR ของนิปปอนเพนต์ ภายใต้แนวคิด Colouring Lives โดยโครงการเพื่อสังคมของนิปปอนเพนต์จะต้องสร้างผลกระทบเชิงบวก ‘ที่จับต้องได้จริง’ ให้กับชุมชน ผ่าน 3 เสาหลัก ได้แก่ Education (การศึกษา), Empowerment (การสร้างพลังกับผู้ที่มีส่วนร่วม) และ Engagement (การร่วมมือระหว่างแบรนด์กับผู้ที่มีส่วนร่วม) การมีส่วนร่วมในครั้งนี้แบรนด์ได้เข้าไปร่วมพัฒนาสร้างพื้นที่ให้ผู้คนมีส่วนร่วมในความงามของเมือง สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนเพื่อชุมชนและการท่องเที่ยวของประเทศไทย ในแกน Engagement นั่นเอง
เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้คือสีคุณภาพสูงที่มีคุณสมบัติช่วยปกป้องอาคาร และเพิ่มมูลค่าให้พื้นที่สาธารณะผ่านการสร้างย่านให้สวยงาม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นการคืนความงามให้ย่านวัฒนธรรมเก่าแก่แห่งนี้กลับมามีชีวิตชีวาและสีสันอีกครั้งด้วย
สื่อสารผ่านสีสัน บอกเล่าเรื่องราวด้วยงานศิลปะ

การสร้างสรรค์ผลงานในครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงการเติมสีให้ย่านดูสดใสขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำให้ศิลปะกลมกลืนไปกับบริบทของย่าน ด้วยการใช้กำแพงเป็นผืนผ้าใบในการวาดรูปและแต่งแต้มสีสัน
โดยผลงานแต่ละจุดนั้นมีการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านแนวคิดที่แตกต่างกันไป ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นการบอกเล่าถึงวิถีชีวิตของชุมชนและวัฒนธรรมไทย-อินเดีย สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของผู้คนภายในย่านพาหุรัด
ตรอกทางเดินทะลุคลองโอ่งอ่าง

จุดแรกที่จะได้พบผลงานศิลปะแนวสตรีทอาร์ทในโปรเจกต์นี้คือ บริเวณ ‘ตรอกทางเดินทะลุคลองโอ่งอ่าง’ ที่ต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือนด้วยภาพของหญิงสาวในชุดส่าหรี และผู้คนอีกมากมาย ซึ่งเป็นการจำลองภาพที่สะท้อนวิถีชีวิตในย่านพาหุรัด
ยกตัวอย่าง ร้านขายผ้า ที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญของย่านนี้ ภาพคนขี่จักรยานและเวสป้า ที่ทำให้เราได้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน การเดินทาง และย่านที่อยู่อาศัย

ไม่ใช่แค่ชาวอินเดียเท่านั้น แต่บนกำแพงยังมีภาพของชาวจีนอยู่ด้วย แสดงให้เห็นถึงการเป็นพื้นที่แห่งพหุวัฒนธรรม ที่ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยเชื้อสายอินเดีย หรือชาวไทยเชื้อสายจีน ต่างอยู่ร่วมกันในย่านนี้ได้อย่างมีความสุข
ผนังอาคารอินเดียเอ็มโพเรียม

จุดถัดมาคือ ‘ผนังอาคารอินเดียเอ็มโพเรียม’ ที่ถ่ายทอดเอกลักษณ์และความมีชีวิตชีวาของย่านพาหุรัด ด้วยภาพวาดแผนที่ย่านพาหุรัด ที่ระบุแลนด์มาร์กสำคัญๆ เพื่อให้ผู้คนที่แวะมาชมได้ตามรอยไปยังสถานที่เหล่านั้น เช่น วัดซิกข์ ร้านขายผ้าเก่าแก่ ซุ้มประตูอินเดีย รวมถึงตามไปกินขนมและอาหารอร่อยๆ ที่มีขายอยู่ในชุมชน
ความเจ๋งของงานชิ้นนี้คือ นอกจากชมงานศิลปะสวยๆ แล้ว ใครที่อยากไปตามรอยร้านรวงและสถานที่บนแผนที่อย่างจริงจัง บนกำแพงแห่งนี้ยังมี QR Code ให้ใช้สมาร์ตโฟนสแกนภาพ แล้วจะมีแผนที่ที่จะพาเราไปตามจุดต่างๆ ของย่านปรากฏขึ้น เหมือนได้รับภารกิจให้ไปเล่นเกมต่อ ดูเหมาะกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติดี
อาคาร 3 คูหาตรงข้ามอินเดียเอ็มโพเรียม

เดินต่อไปยังฝั่งตรงข้ามกับอาคารอินเดียเอ็มโพเรียม จะมี ‘อาคารจำนวน 3 คูหา’ ที่มีผลงานแต่งแต้มอยู่ด้วย
สำหรับบริเวณข้างห้างฯ อินเดียเอ็มโพเรียมนี้จะใช้หน้าต่างของตึกแถวเป็นจุดเริ่มต้นในการเล่าเรื่อง โดยสร้างสรรค์ให้ภาพวาดเหล่านี้ดูมีชีวิต ด้วยภาพของผู้คนจากบานหน้าต่างที่แต่ละคนต่างทำกิจกรรมของตัวเอง โดยมีรูปนกยูงซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และสัญลักษณ์แห่งความโชคดีของอินเดียปรากฏอยู่ด้านบนอาคาร
อาคารการไฟฟ้านครหลวงเขตวัดเลียบ (ฝบร.)

จุดสุดท้ายสำหรับกำแพงศิลปะคือ ‘อาคารการไฟฟ้านครหลวงเขตวัดเลียบ (ฝบร.)’ ที่จะพาให้เราไปสัมผัสกลิ่นอายของพาหุรัดในอดีต ผ่านบรรยากาศยุครุ่งเรืองของถนนจักรเพชร และเชื่อมโยงความทรงจำของย่านกับการเดินทางและอาคารร้านรวง เพื่อแสดงให้เห็นว่าย่านเก่าแห่งนี้โดดเด่นในด้านการค้าขายมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ถนนโค้งข้างศาลรัฐธรรมนูญ

นอกเหนือจากศิลปะบนกำแพงที่ถ่ายทอดเรื่องราวของย่านแล้ว ยังมีผลงานที่ปรากฏอยู่บนพื้นถนนอีก 4 จุด ซึ่งมาพร้อมการสอดแทรกความเป็นย่านลงไปในงานด้วย
ความสร้างสรรค์เหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่เพิ่มสีสันให้พื้นที่เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่สร้างความปลอดภัยให้กับคนเดินเท้า จากการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานเป็นหลัก ยกตัวอย่าง ทางเดินบริเวณถนนโค้งข้างศาลรัฐธรรมนูญ ที่เปลี่ยนจากซอยทางผ่านให้เป็นเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างชุมชนเข้าด้วยกัน โดยสีที่แต่งแต้มลงบนพื้นนั้นจะทำหน้าที่แบ่งช่องทางสำหรับคนเดินให้แยกออกจากช่องทางสัญจรของรถยนต์ เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายให้คนเดิน เป็นต้น
เช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นทางม้าลายหน้าวัดซิกข์ ตรอกข้างห้างฯ อินเดียเอ็มโพเรียม และเส้นนำทางในพาหุรัด ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้การเดินเท้าชมย่านสนุก สวยงาม ปลอดภัย แถมไม่หลงทางด้วย
แลนด์มาร์กแห่งใหม่ วัฒนธรรมไทย-อินเดียแห่งแรกในไทย

ทั้งหมดนี้ทำให้เราได้เห็นศักยภาพของงานศิลปะในฐานะตัวกลางที่นำเสนอย่านออกมาได้อย่างสวยงามและน่าสนใจผ่านพลังของสี ซึ่งในอีกทางหนึ่งยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนในพื้นที่อีกด้วย
เพราะแต่ละเรื่องราวที่ทุกชิ้นงานถ่ายทอดออกมา ล้วนทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในย่านมองเห็นของดีใกล้ตัว ที่ดึงดูดให้ผู้คนนอกพื้นที่อยากเข้ามาเรียนรู้ ทำความรู้จักบ้านเกิดหรือพื้นที่ที่พวกเขาเติบโตมามากขึ้น เพื่อที่วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมของชุมชนไทย-อินเดียแห่งนี้จะยังดำเนินต่อไปได้
รวมทั้งโปรเจกต์นี้ยังช่วยผลักดันให้ย่านนี้กลายเป็นจุดหมายในการท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรมแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ที่แสดงถึงวัฒนธรรมไทย-อินเดียแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งแน่นอนว่าการท่องเที่ยวย่อมช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน และอาจต่อยอดไปสู่การพัฒนาเมืองในมิติใหม่ๆ อีกในอนาคต

หากใครแวะไปเที่ยวที่งาน Amazing Thailand Grand Diwali Festival 2025 ในช่วงนี้ หรืออาจจะไปตามรอยร้านอาหารอินเดียอร่อยๆ บริเวณริมคลองโอ่งอ่าง ก็อย่าลืมแวะไปเช็กอินกับงานศิลปะทั้ง 8 จุดที่ร่วมสร้างสรรค์ด้วยพลังของสี จาก Nippon Paint กระจายตัวอยู่ในย่านพาหุรัด-คลองโอ่งอ่างนี้กันล่ะ