“โตขึ้นอยากเป็นอะไร ? “
คำถามที่ใครต่อใครต่างหาคำตอบให้กับมัน และถูกถามซ้ำตั้งแต่ยังเล็ก จนถึงวัยที่เติบโตเป็นเด็กในรั้วมหาวิทยาลัย แน่นอนว่า สำหรับเด็กบางคน หน้ากระดาษของเขาอาจว่างเปล่า บางคนอาจมีคำตอบของคำถามนี้อย่างหลากหลาย ถูกลบแล้วเขียนใหม่นับครั้งไม่ถ้วน หรือสำหรับบางคนเขามีเพียงแค่คำตอบเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารู้ตัว และมั่นใจแล้วว่า ‘อยากจะเป็นอะไร’
เช่นเดียวกับ ‘น้องเพนท์ฟ้า ชาญชุติวานิชย์’ เด็กน้อยวัย 12 ขวบที่ตอบคำถามที่ว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร ?” อย่างมุ่นมั่นด้วยคำว่า “ศิลปิน” น้องเดินสู่เส้นทางศิลปะอย่างเต็มกำลัง จนสามารถวาดรูปที่สะท้อนตัวตนของน้องได้อย่างชัดเจน และเป็นศิลปินมืออาชีพที่มีแกลเลอรีเป็นของตัวเองภายในอาคาร River City Bangkok
| คือฝันแรกตั้งแต่สี่ขวบ และยังคงเป็นฝันเดียวของเพนท์ฟ้า
เพนท์ฟ้า : จำได้ว่าเริ่มชอบวาดรูปตอนประมาณ 4 ขวบ ขีดๆ เขียนๆ เหมือนเด็กทั่วไป ยังมองไม่ค่อยออกว่าเป็นรูปอะไร แต่มันมาชัดเจนตอน 6 ขวบ ที่เริ่มจะชอบและรักงานศิลปะจริงๆ เลยบอกปะป๊าว่า หนูขอทำงานศิลปะอย่างเดียวได้ไหม ปะป๊าก็ให้โอกาส ปล่อยให้วาดทั้งวันเลย นอนก็ไม่ได้นอน ได้มาประมาณ 20-30 รูป
| ดาวินชี และ ภาพวาดคน
เพนท์ฟ้า : เรามี ‘ดาวินชี’ เป็นศิลปินคนโปรด เพราะเขาทำงานได้หลายอย่าง เป็นทั้งศิลปิน นักประดิษฐ์ คิดอาวุธทางสงคราม เขาเป็นอัจฉริยะ แล้วก็เราชอบวาด portrait เน้นใบหน้าคน ใช้สีน้ำแท่งบ้าง สีอะคริลิคบ้าง และมีสีชอล์คที่ถนัดมาตั้งแต่เด็ก
| เริ่มจากสิ่งที่ชอบ แล้วต้องรักมัน คือเส้นสตาร์ทของ ‘การค้นหาตัวเอง’
เพนท์ฟ้า : การค้นหาตัวเอง มันคงต้องเริ่มจากสิ่งที่เราชอบ ค้นหาสิ่งที่เราชอบให้เจอก่อน อย่างบางคนอยากเป็นหมอ พยาบาล หรืออาชีพอื่นๆ
“สิ่งที่ชอบ เราต้องรักมันด้วย ไม่ใช่แค่ชอบอย่างเดียว ไม่งั้นมันจะไม่ยั่งยืน และพอเจอแล้วก็ทำมันให้ดีที่สุด”
และสำหรับคนที่ไม่รู้ตัวเอง เราอยากให้ลองออกไปหาประสบการณ์ ไปดูคนอื่นที่มีแนวทางที่น่าสนใจ อาจจะเกิดแรงบันดาลใจ หรือเอาสิ่งที่เจอมามิกซ์กับตัวเราได้
| เลือกแล้วว่าจะเป็น ‘ศิลปิน’ เลยขอไปให้สุดด้วยการเรียนแบบ ‘Home School’
เพนท์ฟ้า : เราเคยเรียนในระบบ ทุกคนในห้องต้องทำเหมือนกันหมด เรียนภาษาอังกฤษ ภาษาไทย สังคม ให้คัดลายมือ เคยโดนบังคับให้จับดินสอแบบนั้นแบบนี้ จนกลับบ้านมาแล้ววาดรูปไม่ได้ แต่เรียน Home School เรามีทางเลือกเยอะมากๆ ผู้ปกครองจะสนับสนุนตามความชอบของเรา ซึ่งบางคนอาจจะกังวลว่า จะเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้หรือเปล่า คือแต่ละปีจะมีการสอบเทียบเกรดอยู่แล้ว ทดสอบว่าวิชาการเป็นอย่างไรบ้าง เกณฑ์ความรู้เป็นอย่างไร แล้วสิ่งที่เราชอบมันดีกับเราไหม
ตอนเรียน Home School แรกๆ ปะป๊าสอนทุกวิชาเลย ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ พอโตขึ้นเราก็เรียนจากศิลปะเป็นหลัก แล้วสำหรับเรา ศิลปะเรียนรู้ได้หลายอย่าง เช่น อยากเข้าใจวิชาคณิตศาสตร์ ก็เรียนจากไซส์กระดาษ หรือถ้าอยากเรียนภาษาอังกฤษ ก็ฝึกจากการที่ได้คุยกับชาวต่างชาติที่เข้ามาวาดรูป
| ยังคงวาดรูปในเวลาว่าง และดูงานที่เสริมสกิลศิลป์
เพนท์ฟ้า : เวลาว่างก็ยังชอบวาดรูปอยู่ แต่มันจะไม่ซีเรียสเท่าปกติ จะวาดในไอแพด วาดเป็นตัวการ์ตูนลงสื่อโซเชียล ดูเพจเกี่ยวกับวิว ร่างกายคน อะนาโตมี แต่ก็มีเล่นเกมบ้างนะ
| ถึงทำงานเร็ว แต่ไม่เคยรู้สึกสูญเสียความเป็นเด็ก
เพนท์ฟ้า : ไม่เคยรู้สึกสูญเสียความเป็นเด็กเลยนะ อย่างเดือนหนึ่งมี 31 วัน เราก็ทำงานสัก 15-20 วัน บางทีอยากพักก็พักได้ นัดเพื่อนไปเที่ยวสยาม ปะป๊าก็ไม่ได้ห้าม แล้วเราไม่ได้เรียน Home School บ้านเดียว มีอีกหลายๆ บ้านที่มาเรียน เดือนหนึ่งก็เลยจะนัดเจอกันบ้าง ไปเที่ยวกับน้องๆ พี่ๆ
| ฝันอยากไปทำงานต่างประเทศ ได้โชว์งานในมิวเซียมเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่
เพนท์ฟ้า : ในอนาคตอยากไปทำงานที่ต่างประเทศ อย่าง ประเทศอเมริกา ประเทศอังกฤษ เพราะเขาเป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับศิลปะเลย นอกจากนี้ ที่นั่นยังเปิดรับแล้วก็ให้ความสำคัญกับงานศิลปะ เราอยากไปแสดงตัวตนให้เขาเห็น เพื่อจะได้โชว์งานที่มิวเซียมบ้าง
ในบทสทนาระหว่างเรากับน้องเพนท์ฟ้า จะได้ยินคำว่า ‘ปะป๊า’ อยู่บ่อยครั้ง เราเลยเชิญ ‘คุณพ่อณัฐพร ชาญชุติวานิชย์’ ผู้ขับเคลื่อนฝันของเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนี้มาร่วมพูดคุย
| ให้เลือกในสิ่งใช่ ให้มองในสิ่งที่ชอบ คือสิ่งที่คุณพ่อบอกลูกอยู่เสมอ
คุณพ่อ : ผมมองว่า ผู้ใหญ่อย่างเราควรมองว่า ศักยภาพในตัวเด็กเป็นเรื่องที่ดี เวลาเด็กบอกว่าชอบสิ่งนี้ ไม่ชอบสิ่งนี้ ผู้ใหญ่ควรรู้ว่า มันคือสิ่งที่เขาเลือกแล้ว และอยากเรียน อย่างเพนท์ฟ้าอยากเรียนศิลปะ เราก็ไม่ได้มองว่าไร้สาระ แต่มันคือสิ่งที่เขาจะเติบโตได้ คือมันมีคำหนึ่งที่เรียกว่า “แพชชั่น” เรารู้ไหมมันหมายถึงอะไร ?
เราเป็นผู้ใหญ่แล้วเราเข้าใจไหม เวลาเราเห็นเด็กเล่น แล้วตั้งใจมากๆ ผมมองว่านั่นคือแพชชั่นแล้ว คำนี้มันต่างจากแรงบันดาลใจนะ เพราะแรงบันดาลใจมาจากสิ่งรอบตัว แต่แพชชั่น หรือความหลงใหลมาจากตัวเราเอง มาจากสิ่งที่เราชอบทำ โดยไม่ต้องคำนึงเลยว่า มันจะหาเลี้ยงเราได้ไหม มันไม่มีเหตุผล มันมาจากข้างใน
“แพชชั่นในตัวเด็ก มันคือความรู้สึกเพียวๆ เลย นั่นคือเหตุผลที่ผมเริ่มสนับสนุนลูก เพราะถ้ามาสร้างตอนโตมันยากนะ มันไม่บริสุทธิ์แล้ว มันมีอย่างอื่นผสมอยู่”
| ไม่ต้องรอโตก็ทำตามฝันได้ เพียงแค่พ่อแม่ช่วยส่องแสงนำทาง
คุณพ่อ : วันที่เพนท์ฟ้ามาบอกว่าอยากเรียนศิลปะอย่างเดียว ผมลองหยุดพิจารณาสิ่งที่ลูกชอบ แล้วเห็นว่ามันพิเศษ เราก็สนับสนุนสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเหมือนแสงสว่างเล็กๆ ให้เขา งั้นก็มาตกลงลองเรียนรู้ร่วมกัน สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็จะเป็นความสุขแบบยั่งยืน แล้วไม่ต้องถามถึงเรื่องความรับผิดชอบเลย เพราะเขาจะได้เรียนรู้จากการกระทำของเขา จากสิ่งที่เขาเลือก มันจะเกิดกระบวนการเรียนรู้ แล้วบันไดเหล่านี้ มันเป็นบันไดที่เขาจะก้าวไป
| พ่อเคยมีฝันในวัยเด็ก แต่ก็ไม่ได้ทำมันให้สำเร็จเมื่อโตมา
คุณพ่อ : ตอนเด็กๆ ช่วงกำลังจะจบม.3 ผมเรียนโรงเรียนประจำในต่างจังหวัด ในวิชาแนะแนว ครูจะถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร ? เพื่อนตอบว่าอยากเป็นหมอ ตำรวจ พยาบาล ทหาร คุณครู ส่วนผมตอบว่า อยากเป็นนักประดิษฐ์ เพราะประทับใจข่าวหนึ่งที่มีคนจบ ป.4 แล้วทำงานประดิษฐ์ออกมาดังมาก แต่ครูงงๆ เขาเหมือนไม่ให้ความสำคัญ ไม่มีการชวนคุย ในขณะที่เราอยากฟังคำแนะนำของครูมากเลย แต่ครูก็ผ่านไป ก็เลยคิดเอาเองว่า มันคงไม่มี พอถึงคราวของลูก ผมก็เลยเลือกที่จะสนับสนุนลูกให้เต็มที่
| ถ้ายังหาฝันตัวเองไม่เจอ ควรเริ่มจากการปักหลักความชอบให้มั่นคง
คุณพ่อ : สำหรับคนที่กำลังเดินตามความฝัน หรือยังหาฝันไม่เจอ ผมคิดว่า ฝันมันเป็นสิ่งเลื่อนลอย ถ้าเราไม่มีหลักปักที่แน่นอน คือบางคนยังไม่ปักหลักลงไปเลย เพราะฉะนั้น หลักต้องแข็งแรงก่อน
“เราต้องเชื่อมั่นว่า เส้นทางที่เราทำ ที่เราเลือกไว้ สอดคล้องกับสิ่งที่เราอยากเป็น ส่วนความรู้สึกร้ายๆ จากรอบข้าง มองให้มันเป็นตัวช่วยที่จะมาพัฒนาความฝันของเราให้เติบโต”