โดน COVID-19 สกัดการมาเที่ยวที่ญี่ปุ่นมาปีกว่า โอซาก้าคงเป็นเมืองที่หลายคนหมายตาเอาไว้แน่ๆ ยิ่ง Universal Studio Japan เปิด Super Nintendo World โซนใหม่สุดฟินถูกใจวัยรุ่นยุค 90 เมืองนี้ยิ่งเนื้อหอมขึ้นไปอีก แต่นอกจาก USJ ปราสาทโอซาก้า ป้ายไฟกุลิโกะ นัมบะ ทาโกะยากิ อควาเรียม ฯลฯ รู้รึเปล่าว่าโอซาก้ามีโซนเมืองเก่าที่มีบ้านไม้เรียงรายกรุบๆ ให้เราไปเช่ายุกะตะใส่ถ่ายรูปชิกๆ ด้วยนะ
เมืองเก่าที่ว่านี้ย่อส่วนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Osaka Museum of Housing and Living หรือชื่อภาษาญี่ปุ่น Osaka Kurashi no Konjaku Kan บนตึกสูงย่านชุมชนธรรมดาที่นักท่องเที่ยวนึกไม่ถึงว่าจะมีบรรยากาศแบบสมัยเอโดะแท้ๆ ซ่อนตัวอยู่
พื้นที่ของมิวเซียมมีทั้งหมด 2 ชั้น แบ่งเป็นเมืองจำลอง โมเดล / นิทรรศการและ Observation Deck ซึ่งทั้งหมดถูกเชื่อมไว้ด้วยกันภายใต้ธีมหลัก คือประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมการอยู่อาศัยของโอซาก้าตั้งแต่สมัยเอโดะ เมจิ ไทโช จนถึงโชวะ
Osaka Museum of Housing and Living เคลมว่า เขาเป็นมิวเซียมที่เน้นเรื่องวิถีชีวิตและการอยู่อาศัยของชาวโอซาก้าแห่งแรกในญี่ปุ่น ซึ่งเราคิดว่าอาจจะเป็นแห่งเดียวด้วยซ้ำ ที่ขอตบมือให้คือความเล่นใหญ่สร้างบ้านไม้จริงสไตล์เก่าแก่จำนวนมากในอาคารคอนกรีตพื้นที่จำกัด ดีเทลของแต่ละหลังลงลึกละเอียดอิงงานวิชาการแต่ไม่น่าเบื่อและสนุกมาก ไม่ต้องสนใจประวัติศาสตร์แค่มาเดินก็เพลินแล้ว ช่วงไม่มีโรคระบาดมีอีเวนต์ชงชา พับนก ใส่ชุดยุกะตะ ฯลฯ อีกมากมาย
ใครเริ่มสนใจ ขอชวนมาที่อาคาร Housing Information Center แล้วขึ้นลิฟต์ย้อนเวลากลับไป 200 ปีก่อนพร้อมๆ กัน
ความคึกคักของโอซาก้าจากอดีตสู่ปัจจุบัน
เมื่อขึ้นลิฟต์มาถึงชั้น 8 ซึ่งเป็นชั้นแรกของมิวเซียม พนักงานขายตั๋วจะบอกให้เราขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นลอยที่เป็น Observation Deck ชมบรรยากาศเมืองโดยรวมจากมุมสูง พื้นที่ไม่มากแต่ดีเทลแน่น จากจุดนี้เราจะได้เห็นอาคารหันหน้าเข้าหากันเรียงราย 2 ฝั่งถนน มีหอระวังอัคคีภัยตั้งเด่นเป็นสง่า เพราะสมัยก่อนไฟไหม้คือภัยที่นำความวอดวายมาให้ชาวเมืองอยู่บ่อยๆ ลงมาด้านล่าง (ชั้น9) จะได้พบกับโซนเมืองที่ถูกเนรมิตขึ้นมาใหม่แบบจัดเต็ม มีทั้งร้านค้า ที่อยู่อาศัย ศาลเจ้า โรงอาบน้ำ ครบทุกองค์ประกอบการใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่น
ถ้าเคยไปเที่ยวญี่ปุ่นมาหลายๆ เมือง ทุกคนน่าจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างกันค่อนข้างชัดเจนระหว่างโตเกียว เกียวโต กับโอซาก้า แม้จะเป็นเมืองใหญ่ที่สำคัญของญี่ปุ่นมานานเหมือนกัน บรรยากาศในโอซาก้าโดดเด่นที่ความสดใสร่าเริง มีความบันเทิงและเป็นกันเอง ในขณะเดียวกัน ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก็กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญของญี่ปุ่นจนเคยถูกเรียกว่า Manchester แห่ง East Asia มีนักวิชาการชาวอังกฤษเคยเปรียบเทียบไว้ว่าโตเกียวคือลอนดอน เกียวโตคือโรม ส่วนโอซาก้าคือปารีสเพราะมีโรงละครเยอะ
สมดุลที่ดีระหว่างการอยู่อาศัย การทำงาน และการละเล่นเลยเป็นเสน่ห์สำคัญของโอซาก้าที่ทางการให้ความสำคัญ เมื่อต้องวางแผนพัฒนาเมืองให้โอซาก้าเป็นเมืองที่น่าอยู่อาศัยมากขึ้น พวกเขาจึงเลือกเสน่ห์นี้มาใช้เป็น Soft Power โดยสื่อสารผ่านเรื่องราวในประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ของผู้คนตั้งแต่ยุคที่เริ่มมีความเจริญจนถึงปัจจุบัน Osaka Museum of Housing and Living จึงถือกำเนิดขึ้นมาในเดือนเมษายน ปี 2001
เขาเลือกจำลองบรรยากาศ Machiya (อธิบายง่ายๆ คืออาคารที่เป็นได้ทั้งร้านค้าและที่อยู่อาศัย) โอซาก้าในสมัยเอโดะ เพราะว่าสมัยก่อนโอซาก้ามีมะจิยะเยอะมาก ประมาณ 80,000 หลัง และที่สำคัญ รูปแบบการสร้างเมืองโอซาก้าในสมัยเอโดะมีความสำคัญและยังมีหลงเหลือให้เห็นแม้ในยุคปัจจุบัน
หัวใจในการสร้างเมืองสมัยนั้นคือ ปราสาทโอซาก้าเป็นศูนย์กลาง แกนถนนหลักคือฝั่งตะวันออกและตะวันตกจะมุ่งหน้าไปยังปราสาท รูปแบบถนนหนทางสมัยนั้นเหมือนตารางหมากรุก ร้านค้าที่ด้านหน้าหันหน้าติดถนน ด้านหลังจะมีช่องลงท่อระบายน้ำเสีย ซึ่งเรียกว่า Sewari-gesui ซึ่งว่ากันว่าเป็นต้นแบบท่อทางเดินน้ำเสียที่ทำจากหินในสมัยที่ Toyotomi Hideyoshi สร้างปราสาทโอซาก้า ปัจจุบันยังมีใช้อยู่และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกสำคัญทางวัฒนธรรมของโอซาก้าด้วย
ย่าน Tenjinbashi-suji Rokuchome สถานที่ตั้งมิวเซียมก็เหมาะสมมาก นอกจากจะเป็นย่านที่คนทั่วไปอาศัยอยู่จริง ไม่ใช่ย่านที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ยังอยู่ติดกับ Tenroku ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่ชาวเมืองใช้เรียก Shopping Street ที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่นด้วย เดินชมครบทุกยุค ออกมาจากตึกก็จะได้เจอความคึกคักของร้านค้าและผู้คนโอซาก้าในยุคเรวะแบบเรียลสุดๆ
การเลือกและสร้าง Machiya
มาดูดีเทลของชั้น 9 กันสักนิด โซนนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Naniwa Osaka ทางมิวเซียมสร้างมะจิยะขนาดจริงขึ้นมาประมาณ 10 หลัง มีร้านค้าหลากหลายมากมาย เช่น โรงอาบน้ำ ร้านหนังสือ ร้านขายยา ร้านขายผ้า ร้านขายเครื่องสำอาง และร้านขายเฟอร์นิเจอร์
นอกจากจะไซซ์เท่าของจริง เทคนิคการก่อสร้างก็ทำตามแบบแผนดั้งเดิมทุกอย่าง โดยอิงตามข้อมูลทางวิชาการที่บันทึกรูปแบบอาคารต่างๆ ไว้ ส่วนการก่อสร้างได้ช่างไม้ผู้เชี่ยวชาญงานประเพณีซึ่งเคยสร้าง Katsura Imperial Villa ในเกียวโตมาเนรมิตเมืองเก่าให้สมจริงที่สุด รูปแบบทางสถาปัตยกรรมพื้นฐานของมะจิยะที่นี่ ได้แก่ กระเบื้องหลังคาแบบญี่ปุ่น แผงระแนงไม้ชั้นที่ 1 ที่เหมือนจะซีทรู แต่ข้างนอกและข้างในมองไม่เห็นกันและกันขนาดนั้น บันไดที่เป็นชั้นเก็บของในตัว และการโชว์โครงสร้างเพดานซึ่งทำให้เห็นว่าช่างไม้ออกแบบมาอย่างประณีตและใช้วัสดุอย่างคุ้มค่า
คนที่เคยไปเกียวโต นารา หรือคาวาโกเอะ อาจจะแบบ เอ๊ะ อาคารไม้เก่าแก่ก็เหมือนๆ กันหมดเนอะ แต่เดี๋ยวก่อน…อย่าพูดให้คนโอซาก้าได้ยินเชียว เพราะเขามีจุดเด่นที่แตกต่างจากเมืองอื่นที่แสนจะภาคภูมิใจนำเสนอ เช่นกระเบื้องหลังคาหน้ายักษ์! อาจจะดูดุๆ เฟียซกี แต่พี่เขามีฟังก์ชันที่น่าชื่นชมคือการกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาในบ้าน เขาบอกว่า ในสมัยเอโดะหน้ายักษ์จะดุกว่ายุคอื่นๆ ใครเคยไปเที่ยวที่อื่นก็ลองเทียบๆ กันดูได้
การจัดวางสินค้า ว่ากันว่าร้านในเกียวโตจะเลือกวางของไม่แพงไว้หน้าร้าน แต่ของมีค่าจะเก็บไว้ในโกดังเพื่อความปลอดภัย ซึ่งชาวโอซาก้ามองว่ามันไม่แซ่บ ไม่เตะตาคุณลูกค้า พวกเขาจึงเน้นวางไปทั่ว วางให้แน่นให้ปัง และของที่ดีที่สุดจะอยู่หน้าร้าน ภาพรวมบรรยากาศเวลามาเดินช้อปที่โอซาก้าในสมัยเอโดะเลยดูเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งกันถ้วนหน้า ซึ่งค่านิยมการจัดวางสินค้าแบบนี้ก็ยังสืบทอดมาถึงปัจจุบันด้วยนะ (แต่นี่ว่าอะไรก็สวย ดูไม่ออกจริงๆ ว่าอะไรแพงอะไรถูก)
อีกจุดที่สังเกตได้คือ ปูน ถ้ามองไปที่ชายคาบ้านของเกียวโตจะเห็นเป็นไม้เปลือยๆ แต่โอซาก้าจะทาปูนทับเพื่อเสริมความแข็งแรงและช่วยเพิ่มความทนทานต่อไฟไหม้ เจ้าหน้าที่มิวเซียมกระซิบมาว่า นี่แสดงให้เห็นว่าชาวโอซาก้ามีความใส่ใจและเทคนิคการป้องกันไฟไหม้ที่ดีนะจ๊ะ
ที่นี่ไม่ได้สนใจแค่ตัวอาคาร แต่เน้นเรื่องการอยู่อาศัยด้วย การตกแต่งร้านจึงปรับทุกฤดูและเทศกาล เพื่อสะท้อนให้เห็นบรรยากาศในสมัยนั้นจริงๆ เช่น การจำลองเทศกาลเทนจินซึ่งเป็นเทศกาลเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,000 ปี
การตกแต่งร้านในช่วงฤดูร้อน โอซาก้าจะประดับตกแต่งพื้นที่ช่องว่างระหว่างร้านค้าอย่างอลังการเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน จุดนี้ถือเป็นความคิดสร้างสรรค์ของชาวโอซาก้า แต่ละร้านจะใช้สินค้าที่เป็นพระเอกของร้านหรือของใช้ในชีวิตประจำวันมาดัดแปลงสร้างความโดดเด่น แล้วนำมาวางเรียงหน้าร้าน ความออริจินัลนี้ไม่ได้ทำเพื่อชาวบ้านอย่างเดียว แต่เพื่อให้ท่านเทพได้ชมของสวยๆ งามๆ ด้วย
และเมื่อเดินไปตรอกที่อยู่หลังร้าน จะได้พบกับ Row House ซึ่งเป็นคล้ายๆ อะพาร์ตเมนต์ขนาดและราคาย่อมเยาพร้อมอยู่สำหรับชาวเมือง เลย์เอาต์การวางของในบ้าน อุปกรณ์ที่ใช้ต่างๆ ถูกรวบรวมมาเพื่อจำลองการใช้ชีวิตสมัยนั้นให้เหมือนจริงที่สุด อีกทั้งยังสนใจจุดเล็กๆ อย่างรอยน้ำฝนที่พื้น การทำให้อาคารดูเก่าจริง การมีสิ่งมีชีวิตเช่น รูปปั้นน้องหมาจิบะ ตามจุดต่างๆ เพื่อสร้างชีวิตชีวา อานิเมะที่เปิดให้ชมในโรงอาบน้ำก็เล่าวิถีชีวิตของชาวโอซาก้าในสมัยก่อนได้ดีและสนุกมาก
ส่วนชั้น 8 ที่มีโมเดลจำลองบ้านเมืองในยุคเมจิ ไทโช และโชวะ ก็ไม่น้อยหน้า นอกจากจะมีโมเดลมากมายสะท้อนวิวัฒนาการของเมือง ยังมี Living Space Theater ที่เป็นโรงละครตู้กระจกเล่าเรื่องชีวิตของผู้คนได้อย่างเพลิดเพลิน เช่น การตัดผมในบาร์เบอร์ ชีวิตในอะพาร์ตเมนต์ และชีวิตในรถบ้านของผู้สูญเสียที่อยู่ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2
ไฮไลต์อีกอย่างของชั้นนี้ เรายกให้ Tsutenkaku and Luna Park สวนสนุกของโอซาก้าที่มาก่อนดิสนีย์และยูเอสเจ เก๋มาก เพราะสร้างตามหอไอเฟลและ Arc de Triomphe ในปารีส เราว่าที่นี่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ ความคึกคักรักสนุก ของชาวโอซาก้าได้ดีมาก
แม้จะบอกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เน้นประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม แต่ที่นี่เหมือนสวนสนุกมากกว่า เพราะเราสามารถสนุกไปกับมุมต่างๆ แบบ Interactive แถมมิวเซียมยังอนุญาตให้เดินเข้าชมและสัมผัสส่วนต่างๆ ของบ้านได้แบบไม่หวงของ (แต่ของตกแต่งบางอย่างก็ห้ามจับนะ) ข้อมูลที่วางไว้ให้อ่านตามจุดต่างๆ ความยาวกำลังดีไม่ทำให้ท้อและรู้สึกหนักวิชาการเกินไป
ถ้าใครอินมาก เขาก็มีหนังสือขายให้ไปอ่านกันแบบจุกๆ นอกจากตัวพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวได้ดี วิธีการนำเสนอก็สะท้อนเสน่ห์ของชาวโอซาก้าได้ดีไม่แพ้กัน ตอนที่เราไปคิดว่ามิวเซียมประวัติศาสตร์แนวนี้จะเหงาๆ ปรากฏว่ามีทั้งชาวต่างชาติ ลุงป้า ซาลารีแมน และเด็ก ม.ปลาย มาถ่ายรูปเล่นอิ๊อ๊ะสนุกสนาน เป็นหลักฐานชั้นดีว่าถ้ามีความคิดสร้างสรรค์ เนื้อหาวิชาการก็สนุกได้ และเรื่องราวประวัติศาสตร์เก่าๆ ก็เป็น Soft Power ชั้นดีไม่แพ้ Pop Culture