ก่อนหน้านี้ ‘พระราม 4’ อาจเป็นทำเลที่หลายๆ คนมองข้าม เพราะมักถูกพูดถึงในฐานะถนนเส้นที่เชื่อมต่อไปยังสาทร ถนนวิทยุ หรือโซนสุขุมวิท
แต่เมื่อไม่นานมานี้เราได้ยินชื่อพระราม 4 บ่อยขึ้น หลังจากมีโครงการระดับ Mega Project ที่กำลังทยอยเปิดให้บริการ จึงไม่แปลกใจที่ชื่อพระราม 4 จะเริ่มคุ้นหู จนมีหลายคนเริ่มมองหาโอกาสในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ และตกหลุมรักย่านนี้กันมากขึ้น
เพราะมีทุกอย่างครบครัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตคนเมือง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีมุมสงบ ให้บรรยากาศความเป็นธรรมชาติ เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจในวันสบายๆ ขนาบด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ถึงสองแห่ง ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บริเวณ Central Park
คอลัมน์ Neighboroot เลยอยากชวนไปค้นพบเสน่ห์ของพระราม 4 ถนนเส้นที่เชื่อมต่อกับพื้นที่แห่งโอกาสใหม่ๆ เดินทางได้อย่างสะดวกสบาย และเต็มไปด้วยหลากหลายธุรกิจในพื้นที่ที่ช่วยเติมสีสันให้กับย่านได้เป็นอย่างดี
เริ่มต้นทำความรู้จักย่านนี้ด้วยภาพจำของทำเลสุดแรร์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ Central Park ล้อมรอบไปด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ถึง 2 แห่ง
ที่แรกคือ ‘สวนลุมพินี’ สวนสาธารณะใจกลางเมืองที่หลายคนคุ้นเคย สวนสีเขียวสำหรับออกกำลังกายที่มีห้องสมุดประชาชนเปิดให้ใช้งานฟรี และอีกแห่งคือ สวนป่าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่มีพื้นที่กว่า 300 ไร่บนที่ดินของโรงงานยาสูบเก่าอย่าง ‘สวนป่าเบญจกิติ’ ที่ภายในมาพร้อมโซนกิจกรรมมากมาย ถือเป็นพื้นที่สีเขียวที่เปรียบเสมือนปอดของคนกรุงเทพฯ ทำให้บรรยากาศภายในย่านดูสงบร่มรื่นเมื่อเทียบกับพื้นที่ใกล้เคียง เปิดโอกาสให้เราได้ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น
แถมในช่วงเย็น ใครมาออกกำลังกายเสร็จแล้วเหงื่อออก อยากแวะอาบน้ำก่อนกลับ ติดกับสวนเบญจกิติก็มี ‘ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์’ ที่มีบริการห้องอาบน้ำ Shower Station พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอให้บริการอย่างครบครัน ชนิดที่ว่าเสร็จแล้วพร้อมออกไปเดินเล่นต่อแบบชิลๆ ได้เลย
ส่วนจะไปเดินต่อที่ไหนดี คงหนีไม่พ้นโครงการ Mega Project ใกล้ๆ อย่าง ‘One Bangkok’ ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปไม่นาน บนพื้นที่ถนนวิทยุติดกับ MRT ลุมพินี
โครงการนี้ประกอบไปด้วยอาคารสำนักงาน ที่พักอาศัย โรงแรม พื้นที่ศูนย์กลางสำหรับกิจกรรมทางศิลปะและวัฒนธรรม และพื้นที่ร้านค้าปลีกที่รวบรวมร้านดังจากทั่วโลกมาไว้ในที่เดียว ยังไม่นับรวมอีกหลายส่วนที่กำลังจะทยอยเปิดในเฟส 2 ช่วงต้นปี 2568 ที่จะถึงนี้
หรือจะขยับออกไปหน่อยก็มีโครงการ Mega Project อื่นๆ ใกล้เคียงอย่าง THE PARQ มิกซ์ยูสติดศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และ Dusit Central Park มิกซ์ยูสที่ประกอบด้วยโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แห่งใหม่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค โครงการพักอาศัยและสวนสาธารณะขนาดใหญ่ 7 ไร่ ที่มีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2568 ซึ่งน่าจะทำให้อาณาบริเวณนี้คึกคัก และเพิ่มโอกาสในด้านธุรกิจให้ผู้ที่สนใจมากทีเดียว
เฮ้งชุนเส็ง ร้านก๋วยเตี๋ยวหม้อไฟเนื้อตุ๋น-หมูตุ๋นเจ้าเด็ด ที่อยู่คู่ย่านมามากกว่า 70 ปี
แม้เราจะพูดถึงพระราม 4 ว่าเป็นย่านที่กำลังเติบโตก้าวสู่การเป็นสมาร์ตคอมมูนิตี้ที่พัฒนาอย่างยั่งยืน จนหลายคนมองว่านี่แหละคือ New CBD ในอนาคต แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พื้นที่แห่งนี้เองก็มีความน่าสนใจในแง่ประวัติศาสตร์ไม่แพ้กัน ด้วยความที่เป็นย่านชุมชนเก่า ทำให้มีร้านอาหารประจำย่านที่หลายคนแวะเวียนมาตามรอยกันอยู่ไม่น้อย
‘เฮ้งชุนเส็ง’ คือร้านก๋วยเตี๋ยวหม้อไฟเนื้อตุ๋น-หมูตุ๋นรสชาติเด็ด อยู่คู่กับย่านมากว่า 70 ปี มีด้วยกันทั้งหมด 2 สาขา คือ เฮ้งชุนเส็ง พระหฤทัยคอนแวนต์ และ เฮ้งชุนเส็ง สุนทรโกษา ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามสนามกีฬาการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สิ่งที่การันตีความอร่อยและฮอตฮิตของร้าน ดูได้ตั้งแต่จำนวนคิวรอบริเวณหน้าร้านที่ไม่ว่าจะเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ลดลง ยิ่งเป็นช่วงพักเที่ยงมื้อกลางวัน เรามักจะเห็นกลุ่มพนักงานออฟฟิศและนักท่องเที่ยวต่อคิวรอกินกันอย่างเนืองแน่น
และแน่นอนว่าเกือบทุกโต๊ะจะต้องมีเมนูเกาเหลาหม้อไฟที่ใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิง ให้กลิ่นหอมถ่านอ่อนๆ มาพร้อมเครื่องแน่นๆ เนื้อตุ๋น-หมูตุ๋นละลายในปาก เครื่องในรสชาติไม่คาว
แถมยังให้เยอะชนิดที่กินสองคนยังมีจุกในราคาเพียง 200 บาท ยิ่งได้กินกับข้าวสวย เส้นเล็ก เส้นหมี่ เส้นใหญ่ หรือบะหมี่ร้อนๆ ก็ยิ่งทวีความอร่อยเข้าไปแบบคูณสอง หรือถ้าใครยังไม่จุใจ จะสั่งเนื้อลวกแห้งส่วนต่างๆ มาทานกับเกาเหลาหม้อไฟเพิ่มได้ตามชอบ คัสตอมหม้อไฟได้ตามใจ
ปัจจุบันเฮ้งชุนเส็ง สุนทรโกษา เปิดให้บริการวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 07.00 – 20.00 น., วันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 07.00 – 16.00 น. เช็กเวลาเปิด-ปิดร้านและวันหยุดได้อีกทีในเฟซบุ๊กของร้าน เฮ้งชุนเส็ง สุนทรโกษา ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น-หมูตุ๋น
Fair.Chocolate ร้านคราฟต์ช็อกโกแลตที่อยากแฟร์กับทุกคน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาไปต่อกับ ‘Fair.Chocolate’ ร้านคราฟต์ช็อกโกแลตเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในโรงแรม Seekers Finders Rama IV Hotel
“เราเปิดร้านในโรงแรมเพราะเรามองภาพร้านเป็นเหมือนร้านอาหาร และร้านอาหารที่ให้ประสบการณ์ต่างๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในโรงแรม หนึ่งเสิร์ฟที่กินไม่ใช่แค่ทานแล้วหมดไป แต่มันคือความทรงจำ เป็น Experience” ‘พี่โส่ย-ขวัญน้อง ภักติวาณิช’ เจ้าของร้าน Fair.Chocolate ผู้เรียกตัวเองว่า Chocolate Maker บอกกับเรา
พี่โส่ยบอกว่าถึงแม้จะมีหน้าร้าน แต่อีกขาหนึ่งของเขาคือการเป็น Supplier ที่มีโรงงานผลิตแบบ B2B เป็นหลัก ตัวร้าน Fair.Chocolate จึงเป็นเหมือนโชว์รูมสำหรับโชว์ผลงานที่ทำออกมา เปิดให้รายย่อยที่สนใจคราฟต์ช็อกโกแลตได้เข้ามาสัมผัสรสชาติที่แท้จริง
คำว่า Fair ในชื่อร้านมาจากความต้องการหลักของตัวพี่โส่ยเองที่อยากแฟร์ให้ได้ทั้งกับเกษตรกร ช็อกโกแลตเมกเกอร์ด้วยกันเอง ไปจนถึงผู้บริโภค
“เราสามารถอธิบายดีเทลต่างๆ ได้หมดเลยตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ วิธีการเก็บเกี่ยว ชื่อเกษตรกร การโพรเซสรสชาติ พูดง่ายๆ คือ อะไรที่เกี่ยวกับช็อกโกแลตไทยเข้ามาคุยกันได้หมดเลย” พี่โส่ยบอก
ในยุคแรกๆ คนส่วนใหญ่คิดว่าช็อกโกแลตเป็นส่วนหนึ่งของเบเกอรี วิธีการทำจึงเป็นการนำเมล็ดไปอบให้สุก แต่พี่โส่ยมองแตกต่างออกไป เขามองช็อกโกแลตเป็นเหมือนกาแฟ ไม่ได้กินเป็นขนม แต่กินเพื่อรับประสบการณ์เช่นเดียวกับการกินกาแฟ เขาจึงเลือกใช้เครื่องคั่วกาแฟในการคั่วโกโก้เพื่อสร้างโปรไฟล์ขึ้นมา และนำเสนอช็อกโกแลตแบบ ‘ฤดูกาล’
“ผมมองว่าการกินอาหารตามฤดูกาลเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ และคนไทยยังไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่ เราแทบไม่รู้เลยว่าแต่ละฤดูเราต้องกินอะไร
“จุดแข็งของช็อกโกแลตเราที่ประเทศอื่นไม่สามารถทำตามได้คือ แต่ละฤดูกาลที่มีสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน ส่งผลให้จุลินทรีย์ที่เป็นตัวกำหนดกลิ่นทำให้กลิ่นช็อกโกแลตแตกต่างกันในแต่ละฤดู
“ยกตัวอย่าง ฤดูร้อนจะมีความเป็นผลไม้รสเปรี้ยว ฤดูฝนจะมีความเป็นถั่ว มอลต์ หรือผลไม้รสหวานมากขึ้น ในขณะที่ฤดูหนาวที่อุณหภูมิค่อนข้างต่ำ จะเก็บความหวานได้ค่อนข้างเยอะ รสชาติจึงมีความเป็นผลไม้เบอร์รีและผลไม้รสหวาน” พี่โส่ยอธิบาย
อีกหนึ่งความพิเศษของ Fair.Chocolate คือ ขายช็อกโกแลตแบบ Single Origin หรือช็อกโกแลตที่มาจากแหล่งปลูกเดียว โดยบริเวณซองจะมีคำอธิบายเป็นชื่อตำบลที่เป็นแหล่งที่มาของช็อกโกแลตตัวนั้นๆ
“ที่ใส่ชื่อเป็นตำบลหมดเลย เพราะเราอยากให้คุณค่ากับตำบลเล็กๆ ให้มันเกิดการสื่อสารขึ้นมาว่าแต่ละตำบลอยู่ในจังหวัดอะไร สภาพอากาศ สภาพแวดล้อมส่งผลให้รสชาติเป็นอย่างไร” ใครที่อยากลองสัมผัสช็อกโกแลตไทยในแบบเจาะลึก แวะไปหาพี่โส่ยได้ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 18.00 น.
BANGKOK CITYCITY GALLERY แกลเลอรีร่วมสมัยขวัญใจคนชอบสิ่งพิมพ์
ส่วนใครที่ชื่นชอบการเดินดูงานศิลปะ แต่ไม่อยากไปไกลถึงหอศิลปกรุงเทพฯ ถัดไปไม่ไกลบริเวณสาทร 1 มี ‘BANGKOK CITYCITY GALLERY’ แกลเลอรีอาคารสีขาวที่มาพร้อมกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่
‘พี่แพรว-กานต์ธิดา บุษบา’ จาก BANGKOK CITYCITY GALLERY บอกกับเราว่า ภายในแกลเลอรีมีงานศิลปะสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาจัดแสดงตลอดปี ไม่ว่าจะเป็นในตัวห้องนิทรรศการหรือบริเวณสวนด้านข้าง
ขณะเดียวกัน หลายครั้งที่ผู้คนที่มาชมงานอยากแลกเปลี่ยนบทสนทนา ก็มักเลือกออกไปคุยกันต่อในห้อง ‘BOOKSHOP LIBRARY’ ที่เป็นเหมือนห้องที่ทางแกลเลอรีทดลองผสมผสานระหว่างร้านหนังสือและห้องสมุดเข้าไว้ด้วยกันบนพื้นที่เมือง เพื่อนำเสนอความหลากหลายและความเชี่ยวชาญด้านศิลปะผ่านรูปแบบของสิ่งพิมพ์ ในฐานะที่ทางแกลเลอรีเองก็เป็นสำนักพิมพ์ด้วย
“บางทีเราก็จะติดงานของศิลปินที่เกี่ยวข้องกับนิทรรศการที่อยู่ในห้องหลัก หรือเลือกพรีเซนต์งานของศิลปินคนอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกับแกลเลอรี รวมถึงตั้งใจเป็นพื้นที่ Public Space ที่อยากให้คนเข้ามานั่งอ่านหนังสือ ใช้เวลาทำงาน หรือบางทีก็จัด Talk จัด Reading Group บ้าง” พี่แพรวเล่าในขณะที่พาเราเดินชมรอบๆ ห้องสมุดกึ่งร้านหนังสือ
แนวคิดของพื้นที่นี้เกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่างศิลปิน นักเขียน และนักปฏิบัติการด้านศิลปะร่วมสมัย ที่ร่วมคัดสรรสิ่งพิมพ์ในประเด็นต่างๆ ตั้งแต่โปรเจกต์ของศิลปิน กลุ่มศิลปิน สตูดิโอศิลปิน ไปจนถึงของสำนักพิมพ์ขนาดเล็กทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้บริการในรูปแบบห้องสมุดสาธารณะ เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงทรัพยากรและความรู้ผ่านคลังสิ่งพิมพ์ในประเด็นที่ตนสนใจ
ภายในห้องแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ส่วนของห้องสมุดที่เราหยิบหนังสือที่สนใจออกมาอ่านได้ แต่จะไม่มีการซื้อขายหนังสือเหล่านั้น กับส่วนของร้านหนังสือที่รวบรวมสิ่งพิมพ์ที่น่าสนใจเอาไว้ให้จับจองเป็นเจ้าของ หรืออยากจะหยิบมาลองเปิดอ่านก็ได้เช่นกัน
“เราอาจไม่ได้เปิดเป็นคาเฟ่สำหรับมานั่งทำงาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้ามานั่งทำงานไม่ได้ มันเป็นพื้นที่แชร์ริงที่สามารถมานั่งทำงานได้ตามปกติ สมมุติน้องกราฟิกดีไซเนอร์คนหนึ่งกำลังทำธีสิสอยู่ ก็มาหาแรงบันดาลใจที่นี่ได้ เพราะเรารวบรวมสิ่งพิมพ์ไว้เยอะประมาณหนึ่ง” พี่แพรวบอก
BANGKOK CITYCITY GALLERY จึงเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งของย่านที่น่ามาพักผ่อน นั่งทำงาน หาแรงบันดาลใจ หรือชมงานศิลป์ แถมดีไม่ดีอาจจะได้สิ่งพิมพ์ติดไม้ติดมือกลับไปแบบไม่รู้ตัว
The Yard Restaurant ร้านอาหารที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านไม้อายุเกือบ 100 ปี
หลังจากเดินชมแกลเลอรีกันจนอิ่มใจ ถ้าใครอยากแวะเติมพลังให้อิ่มท้องก็ไม่ต้องไปไหนไกล เพราะในโซนสาทรเต็มไปด้วยร้านรวงน่าสนใจ ยกตัวอย่าง ‘The Yard Restaurant’ ร้านอาหารชวนสะดุดตาในบ้านไม้อายุเกือบ 100 ปี ซอยสาทร 11 ที่เราได้แวะทานมื้อครอบครัวและคุยกับ ‘พี่กิ๋ว-กรองกาญจน์ กองปัน’ หนึ่งในหุ้นส่วนร้าน
“ตรงนี้รวมๆ แล้วเราเรียกว่า ‘Hidden Yard’ มีทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านนวดรวมกันอยู่ในพื้นที่เดียว” พี่กิ๋วอธิบายให้เราฟังว่า นอกจากตัวร้านอาหารที่เรามาในวันนี้ ในบริเวณพื้นที่เดียวกันยังมีธุรกิจอื่นๆ รวมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟชื่อ ‘GROUND Coffee’ และร้านนวดที่มีเจ้าของเดียวกันอย่าง ‘ZENSE Massage’
พี่กิ๋วบอกกับเราว่า พื้นที่ตรงนี้น่าจะเป็นร้านอาหารที่มีพื้นที่สีเขียวเยอะที่สุดในซอยนี้แล้ว ด้วยความตั้งใจของพี่กิ๋ว, ‘คุณเก๋-ญาณี องค์วัฒนกุล’ และหุ้นส่วนร้านคนอื่นๆ ที่อยากเก็บตัวโครงสร้างบ้านเก่าและพื้นที่สีเขียวเอาไว้ ให้ความรู้สึกคล้ายเป็นโอเอซิสอีกแห่งของซอยสาทร ที่มาในคอนเซปต์คล้ายๆ ร้าน ‘AKART Bistro & Bar’ บนซอยเย็นอากาศ ที่หยิบเอาบ้านเก่ามารีโนเวตใหม่
“ลูกค้าที่นี่มีทั้งพนักงานออฟฟิศและชาวต่างชาติแวะเวียนมาอยู่บ่อยๆ หรือแม้กระทั่งคนในพื้นที่ที่เขาอาจไม่เคยสังเกตเห็นตัวพื้นที่นี้มาก่อน”
พ้นไปจากตัวสเปซที่ดึงดูดให้ผู้คนเดินเข้ามาค้นพบพื้นที่ลับๆ กลางสาทร คนที่แวะเวียนมาที่นี่จะต้องตกหลุมรักไปกับรสชาติอาหารและเครื่องดื่มอย่างถอนตัวไม่ได้ เพราะแม้ The Yard Restaurant จะเรียกตัวเองว่าเป็นร้านอาหาร Italian & Thai Cuisine แต่อาหารภายในร้านค่อนข้างหลากหลายกว่านั้นมาก
“อาหารของเรามีทุกแนว ตั้งแต่ยุโรป ฮ่องกง จีน หรือไทย มีทั้งสเต๊ก พาสตาเส้นสด เมนูฮิตอย่างบีฟเวลลิงตัน ไปจนถึงอาหารจานเดียวอย่างข้าวกะเพราที่ก็มีลูกค้าออฟฟิศแวะมาฝากท้องช่วงกลางวันด้วยเหมือนกัน”
นอกจากนี้ พี่กิ๋วยังบอกกับเราว่า ด้วยความที่ร้านในพื้นที่โครงการมีเจ้าของเดียวกัน ทำให้ลูกค้าเลือกที่นั่งได้ตามต้องการโดยไม่จำกัดว่าทานกาแฟจะต้องนั่งฝั่ง GROUND Coffee อย่างเดียวเท่านั้น เพราะก็มีหลายครั้งที่มีคนซื้อกาแฟหรือของหวานมานั่งทานบริเวณระเบียงชั้นสองของฝั่งร้านอาหาร
ไม่เพียงเท่านั้น Hidden Yard ยังเป็น Pet-friendly ที่มี Petniture ให้บริการ และมากไปกว่านั้น เรายังสามารถบอกเชฟให้ปรุงอาหารภายในร้านขึ้นใหม่สำหรับน้องๆ โดยเฉพาะด้วย
“เราอยากให้ทุกคนรู้สึกสบายใจเหมือนทานข้าวที่บ้าน ที่จะได้ความประทับใจทั้งรสชาติอาหาร คุณภาพ และการบริการกลับไปด้วย” พี่กิ๋วกล่าวทิ้งท้าย
COCO PARC คอนโดฯ Freehold เหมาะสำหรับคนเมืองที่อยากมีไลฟ์สไตล์สมบูรณ์แบบ
พอได้มาสัมผัสเสน่ห์ของพระราม 4 แบบนี้ ก็เริ่มคิดว่าการอยู่อาศัยในพื้นที่บริเวณนี้ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะย่านล้อมรอบไปด้วยพื้นที่สีเขียวและความหลากหลายของสเปซที่สร้างแรงบันดาลใจ ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ พื้นที่สำหรับคนทำงาน ร้านอาหารประจำย่าน แกลเลอรีศิลปะ และร้านคราฟต์ช็อกโกแลตที่เปิดโอกาสให้คนที่สนใจอยากเริ่มต้นทำธุรกิจมาพูดคุยกัน
และใครที่อยากมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของย่านนี้ ถนนเส้นพระราม 4 ก็มีโครงการคอนโดมิเนียม ‘COCO PARC’ High-Rise สูง 37 ชั้น ที่อยู่ห่างจาก MRT คลองเตย 0 เมตร ทำให้การเดินทางเชื่อมต่อไปยังย่านเศรษฐกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเส้นสีลม สาทร ตัดผ่านถนนวิทยุ ไปเส้นสุขุมวิท หรือตรงไปยังสามย่านเพื่อทะลุออกไปโซนสยามก็ทำได้ง่ายๆ
มากไปกว่านั้น COCO PARC ยังเป็นคอนโดฯ เพียงแห่งเดียวบนย่านนี้ที่เป็น Freehold ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของอนันดาและโรงแรมดุสิตธานี ที่การันตีความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยด้วยบริการเซอร์วิสระดับ 5 ดาว
โดยบริการที่ว่านั้นคือ ‘Concierge Service’ ที่จะมีบุคลากรจากทางดุสิตฯ มาเป็นผู้ช่วยให้กับลูกบ้าน สำหรับติดต่อใช้บริการหรือจัดการธุระในระหว่างวัน บริการทำความสะอาด แม่บ้านในห้องพัก บริการอาหารในห้องพักจากเชฟแบบตามสั่ง ไปจนถึงบริการจัดเลี้ยง บริการรับเลี้ยงเด็ก และบริการรถลีมูซีนจัดส่ง
นอกเหนือจากความพรีเมียมของเซอร์วิส โครงการนี้ยังตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้วยห้องพักที่มีให้เลือกตั้งแต่ห้องสตูดิโอไปจนถึงห้อง 3 ห้องนอน มาพร้อมกับส่วนกลางที่ครอบคลุมทุกการผ่อนคลาย ตั้งแต่สระว่ายน้ำ ฟิตเนสที่มาพร้อมบริการเทรนเนอร์ส่วนตัว ห้องโยคะสำหรับวันที่อยากออกกำลังกายแบบเบาๆ ห้องสปาแบบส่วนตัวที่มีบุคลากรจากทางดุสิตฯ คอยให้บริการ ไปจนถึง ‘Sky Lounge’ ที่เปิดให้นั่งทำงานพร้อมดื่มด่ำวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
โดย ‘คุณกอล์ฟ-พงศ์อนันต์ สุขเกษม’ CMO (Chief Marketing Officer) จาก Ananda Development ยังเน้นย้ำกับเราว่า โครงการ COCO PARC จะเป็นโครงการที่ส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีที่สุดและสะดวกสบายที่สุดให้กับลูกค้าของโครงการได้อย่างแน่นอน
“เพราะโครงการ COCO PARC ถือเป็น Branded Residence โครงการแรกของอนันดา ที่ร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ระดับโลกอย่างดุสิตธานี อีกทั้งทำเลที่ตั้งยังอยู่ใจกลางปอดของกรุงเทพฯ และ Mega Project ที่มาพร้อมความสะดวกสบายในการเดินทาง
เพราะตัวโครงการอยู่ติดกับ MRT เลย และออกจากโครงการมาก็ถึงทางด่วน”
แค่คิดว่าได้มาอยู่ที่นี่ ได้เป็นคนย่านนี้ ก็รู้สึก JOY ได้ทุกวัน ภายใต้ความเรียบง่ายที่สมบูรณ์แบบกับโครงการ COCO PARC ลงทะเบียนโครงการได้แล้วที่ anan.ly/3CNJGyg