หลายปีมานี้ แม้เราจะเห็นทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับปัญหาขยะมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์การลดใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก การนำกลับมาใช้ซ้ำ หรือการใช้วัสดุทดแทน แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่ได้ทำให้สถานการณ์ขยะดีขึ้นสักเท่าไร เพราะยังคงมีข่าวสัตว์ป่าและสัตว์ทะเลที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับขยะอยู่เรื่อยๆ
เราได้มีโอกาสไปร่วมงาน ‘MOOBAAN WONDER’ หรือ ‘หมู่บ้านวันเดอร์’ ซึ่งจัดโดยทีม Wonderfruit ด้วยแนวคิดเรื่องความยั่งยืนที่ยึดถือเป็นแกนหลักเหมือนทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งในปีนี้สร้างสรรค์ขึ้นมาในรูปแบบชุมชนขนาดย่อมที่รวบรวมของดีท้องถิ่นของไทย พร้อมให้เราเดินทางไปเปิดประสบการณ์น่าตื่นเต้นจากการผสมผสานภูมิปัญญาไทยกับวัฒนธรรมร่วมสมัย พาใจเราไปสัมผัสศิลปะ วัฒนธรรม และวิถียั่งยืน
นอกจากเราจะได้เฉลิมฉลองสิ้นปีไปกับดนตรี แคมปิ้ง อาหารเครื่องดื่ม ไลฟ์สไตล์มาร์เก็ต และกิจกรรมครอบครัว ยังได้ซึมซับงานศิลปะและอินสตอลเลชันภายในงาน ที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติของฟาร์มและทุ่งดอกไม้ แต่ไฮไลท์ที่เราขอนำกลับมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังคือเวิร์กชอปที่จะชวนทุกคนกลับมาเห็นความงามในธรรมชาติอีกครั้ง
ช่วงต้นปีที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ทำให้เทศกาลดนตรีหลายงานต้องยกเลิกไปซึ่ง Wonderfruit ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้นทางทีมงานก็ได้ปัดฝุ่นโปรเจกต์นี้ใหม่ในคอนเซปต์ ‘MOOBAAN WONDER’ หรือ ‘หมู่บ้านวันเดอร์’ โดยเปิดมุมมองใหม่และค้นหาความน่าสนใจในภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เรามีดีอยู่แล้ว
มาเริ่มกันด้วยเวิร์กชอป ‘Natural Tie Dye’ การทำผ้ามัดย้อม เป็นบูธที่ได้รับความสนใจมากอีกบูธหนึ่งเลย โดยนำวัสดุธรรมชาติที่ให้สีได้มาใช้เป็นสีย้อม เช่น กากมะพร้าวให้สีน้ำตาลอ่อน ขมิ้นให้สีเหลือง เปลือกต้นเค็งให้สีเเดง ในขั้นตอนการทำผ้ามัดย้อมไม่มีความซับซ้อน แต่ต้องอาศัยความพิถีพิถันเเละใจเย็น
เริ่มจากการจับผ้าขาวม้วนให้เป็นเกลียวเเละขมวดปม เอาหนังยางมัดในจุดที่เราไม่ต้องการให้สีเข้าถึงเพื่อให้เกิดเป็นลวดลาย หลังจากนั้นก็เอาผ้าลงไปแช่ในกะละมังสีที่เตรียมไว้ ประมาณ 30 นาที นำขึ้นมาซักน้ำเปล่าและตากให้เเห้งก็เป็นอันเสร็จ จริงๆ เเล้วลวดลายของผ้ามัดย้อมไม่มีรูปเเบบตายตัวเเล้วเเต่ความคิดสร้างสรรค์ของเรา แถมยังได้สัมผัสสีสันจากธรรมชาติที่ปลอดภัยทั้งต่อคนและโลก
ต่อกันด้วยเวิร์กชอป ‘Natural paint making’ ที่หยิบสีสันในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ใบไม้แห้ง และหินต่างๆ มาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยขั้นตอนง่ายๆ แค่นำดอกไม้แห้งมาบดเป็นผง จากนั้นเทลงบนจานและผสมสีด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติอื่นๆ แล้วจึงปาดลงตลับเก็บไว้วาดรูปได้ทุกเมื่อ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทุกวัยสามารถสนุกด้วยกันได้ อีกทั้งเป็นการปลูกฝังเด็กๆ ให้เห็นคุณค่าและความงดงามของธรรมชาติอีกด้วย
เพลิดเพลินกันต่อกับเวิร์กชอป ‘Eco printing workshop’ ที่นำวัสดุธรรมชาติ เช่น ใบไม้รอบๆ งาน มาทำภาพพิมพ์ที่ให้สีสันตามธรรมชาติจากดอกไม้ใบไม้แต่ละชนิด เริ่มจากใช้กระดาษที่ชุบน้ำหมาดๆ มาวางใบไม้ ดอกไม้ ดีไซน์เองได้ตามใจ จากนั้นก็นำไปนึ่งเป็นเวลา 10-15 นาที เพียงเท่านี้ก็ได้ผลงานภาพพิมพ์จากวัสดุธรรมชาติที่สามารถกลับไปลองทำเองที่บ้านได้
เอาใจสายแฟชันแต่มีใจรักโลกด้วยเวิร์กชอป ‘Savestudio’ ที่เริ่มต้นด้วยการมองเห็นปัญหาขยะล้นโลกที่เกิดจาก fast fashion จนเกิดเป็นความคิดต่อยอดเศษผ้าหรือวัสดุเหลือทิ้งจากอุตสหกรรมสิ่งทอ นำกลับมา upcycling เป็นเสื้อผ้าชิ้นใหม่ที่ไม่เหมือนใครและที่สำคัญมีชิ้นเดียวในโลก ซึ่งเราสามารถครีเอตลายเสื้อและวัสดุเองได้ จากนั้นก็รอรับเสื้อสุดเก๋กลับไปใส่ที่บ้านได้เลย นอกจากจะชิคแบบเกินต้านยังช่วยโลกได้อีกด้วย
‘ความยั่งยืน’ คือแนวคิดหลักที่ทาง Wonderfruit ให้ความสำคัญมาตลอดตั้งเเต่ปีเเรกที่จัดงาน อย่างงานศิลปะและอินสตอลเลชันต่างๆ ภายในงานก็ล้วนบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความยั่งยืน อีกทั้งวัสดุก่อสร้างชิ้นงานต่างๆ ยังมาจากท้องถิ่นหรือเป็นวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนนำวัสดุเก่าที่เหลือใช้จากวันเดอร์ฟรุ๊ตปีก่อนๆ มาใช้ซ้ำ และดัดแปลงให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสร้างสรรค์งานหมู่บ้านวันเดอร์
นอกจากนี้ Wonderfruit ยังตั้งเป้าหมายในการลดขยะต้นทางให้เหลือส่งไปทิ้งที่หลุมฝังกลบให้น้อยที่สุด (zero landfill) รวมถึงข้อปฏิบัติต่างๆ ในงานที่ต้องการให้ทุกคนได้เรียนรู้และหันมาใส่ใจสิ่งเเวดล้อมให้มากขึ้น ถ้าเราสังเกตรอบๆ งานจะมีถังขยะที่เเยกเป็นหมวดหมู่ให้ทุกคนได้เเยกขยะก่อนทิ้งทุกครั้ง และงานนี้ยังสนับสนุนให้คนลดใช้วัสดุที่ทำจากพลาสติกอีกด้วย โดยให้ทุกคนพกกระบอกน้ำหรือเเก้วน้ำของตัวเองเข้ามาภายในงาน หรือหากใครไม่ได้เอามาทางงานก็ได้เตรียมเเก้วกระดาษเอาไว้ให้ ซึ่งภาชนะที่ทางงานนำมาใช้ทุกอย่างใช้เวลาในการย่อยสลาย 180 วัน
อีกแนวคิดหนึ่งที่เราชื่นชอบคือหมู่บ้านวันเดอร์ต้อนรับทั้งเด็กและครอบครัว ในปีนี้ทางงานได้เน้นกิจกรรมกลางแจ้งมากขึ้นและได้เพิ่มกิจกรรมที่ครอบครัวสามารถทำร่วมกันได้ โดยมีเวิร์กชอปมากมายกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ให้เด็กได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ พร้อมกับได้เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเวิร์กชอปศิลปะจากสีธรรมชาติ ทำปุ๋ยอินทรีย์ เพาะพันธุ์พืช ทำอาหารไปจนถึงประดิษฐ์งานฝีมือจากวัสดุเหลือใช้
สำหรับใครที่ยังไม่ได้ไป หมู่บ้านวันเดอร์ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่จะเกิดขึ้นในช่วง 5 สุดสัปดาห์ของการจัดงาน เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่สามารถมาเฉลิมฉลองกันในช่วงปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้า โดยจัดขึ้นในเดือนธันวาคม 2563 วันที่ 4-6, 11-13, 25-27 และเดือนมกราคม 2564 วันที่ 8-10 และ 15-17
บัตรเข้างานประเภทรายวัน เริ่มต้นที่ 690 บาท สำหรับบัตรวันศุกร์ ส่วนบัตรวันเสาร์ หรือ วันอาทิตย์ ราคา 1,290 บาท นอกจากนี้ยังมีบัตรประเภทสุดสัปดาห์ (ศุกร์-อาทิตย์) 2,190 บาท และบัตรประเภท Full Season ในราคา 5,800 บาท ที่สามารถใช้เข้างานได้ตลอดทั้งเฟสติวัล โดยสามารถเข้างานได้ตั้งแต่เวลา ศุกร์ 15:00-04:00 น. เสาร์ 15:00-05:00 น. และอาทิตย์ 15:00-22:00 น.
ส่วนลดสำหรับแฟนเพจ Urban Creature เพียงใช้ Code ส่วนลด : MOOBAANURBAN จะได้รับส่วนลด 15% สำหรับการซื้อตั๋วแบบออนไลน์ (ใช้ได้เฉพาะตั๋วประเภทสุดสัปดาห์) สามารถใช้ Code ส่วนลด ได้จนถึง 24 ธันวาคม 2563 นี้เท่านั้น