City in Focus ครั้งนี้จะพาไปแถบทวีปอเมริกาเหนือกันบ้างกับประเทศเม็กซิโก ท่ามกลางภูมิประเทศที่หลากหลายทั้งภูเขา ทะเล ทะเลทราย ไปจนถึงการเจริญเติบโตของการท่องเที่ยว และสถานที่นั้นคือ ‘Loreto Bay’ ชุมชนที่พยายามขับเคลื่อนแนวคิดในการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน
ด้วยการเริ่มหันมาทดลองใช้พลังงานหมุนเวียน ฟื้นฟู และรักษาสภาพแวดล้อมโดยรอบพื้นที่ให้ไม่ถูกทำลายจากการท่องเที่ยว และหันกลับมาให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ รวมถึงวิถีชีวิตดั้งเดิมของผู้คนในพื้นที่ด้วย เรื่องราวของชุมชนนี้จะเป็นอย่างไรไปตามไปดูกัน

| Focusing on Loreto Bay Village
‘Loreto Bay Village’ คือชุมชนต้นแบบของการอยู่อาศัยที่ผู้คนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งตั้งอยู่บริวเวณอ่าวโรเรโต (Loreto Bay) บนพื้นที่ 8,000 เอเคอร์ ท่ามกลางความเจริญเติบโตของการท่องเที่ยวและรีสอร์ทมากมาย เดิมอ่าวแห่งนี้เคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงมาก่อน และยังเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่ที่สวยงามและมีสัตว์ป่าที่อุดมสมบูรณ์มากๆ ด้วย และนั่นจริงเป็นเหตุผลที่ต่อมาเมื่อความเจริญเกิดขึ้น ก็มักตามมาด้วยผู้คนและธุรกิจมากมาย แต่อาจต้องแลกมาด้วยสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย ผู้คนท้องถื่นที่ต้องอพยพ และร่องรอยของประวัติศาสตร์อาจหายไปจนอาจไม่หลงเหลือให้คนรุ่นต่อไปอีกแล้ว
นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดที่จะพัฒนาชุมชนด้วยผลลัพธ์ที่ว่า “เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจะไม่ขัดแย้งกัน” ด้วยความร่วมมือของคนในชุมชน ภาครัฐ และเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ด้วยการนำเรื่องของพลังงานหมุนเวียนมาใช้ ลดการสร้างขยะ และมลพิษต่างๆ ไปจนถึงสร้างโอกาสให้คนในท้องถิ่นมีรายได้ นอกจากนั้นยังตั้งกฏสำหรับผู้ประกอบการที่สร้างที่พักอาศัยในพื้นที่ ต้องคืนกำไรจากการขายแต่ละครั้งผ่านการบริจาคให้กับมูลนิธิ ‘Loreto Bay’ เพื่อนำเอาเงินก้อนนี้กลับไปพัฒนาชุมชนโดยรอบ

| Focusing on Green Architecture
นอกจากแนวคิดและความร่วมมือจากทุกฝ่ายแล้ว การออกแบบเมืองก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน สำหรับชุมชน ‘Loreto Bay’ มีแนวคิดที่ว่าชุมชนควรได้รับการออกแบบอย่างไม่ใช่เพื่อรถยนต์ แต่ควรทำเพื่อคน และไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการออกแบบนี้ควรมุ่งมั่นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเรา หรือที่เรียกกันว่า Green Architecture นั่นเอง โดยแนวคิดนี้มาจากสถาปนิกที่ชื่อว่า ‘Ayrie Cunliffe’ ซึ่งจะสังเกตได้จากดีไซน์ของตัวบ้านแต่ละหลังที่มีรายละเอียดคล้ายกัน
เช่น ผนังของตัวอาคารทำมาจากโฟมรีไซเคิลผสมกับคอนกรีต รวมถึงการสร้างหน้าต่างขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ในจำนวนที่มากกว่าปกติ ซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญในการปรับอุณภูมิทั้งภายนอกและภายในได้ถึง 60% เพราะเมื่ออากาศในที่อยู่อาศัยนั้นอยู่สบาย ปริมาณการใช้เครื่องปรับอากาศก็จะน้อยลง
หรือแม้แต่พื้นที่สาธารณะส่วนตัวยังถูกออกแบบให้หลากหลาย และมีฟังก์ชันการใช้งานที่แตกต่าง โดยในชุมชน ‘Loreto Bay’ แห่งนี้ ด้านบนของตัวอาคารจะถูกเปลี่ยนในเป็นพื้นที่พักผ่อน เพื่อให้ได้รับมุมมองจากธรรมชาติ และอากาศที่ถ่ายเทสะดวก และยิ่งไปกว่านั้นสีที่ใช้ทาตัวอาคารยังมาจากเม็ดสี ซึ่งทำโดยแร่ธาตุออร์แกนิกที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย แถมยังมีการปรับผังเมืองให้พื้นที่กับคนเดินถนนมากกว่าใช้รถยนต์ เพราะการที่ผู้คนหันมาใช้การเดินมากขึ้น มลพิษที่เกิดจากการใช้รถยนต์ก็จะน้อยลงไปด้วย ซึ่งในทุกกระบวนการออกแบบมีส่วนช่วยให้การดำเนินชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป ทั้งยังส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

| Focusing on Sustainability
ความยั่งยืนคืออะไร ? อาจเป็นคำถามที่หลายคนคิดหาคำตอบอยู่หลายครั้งเหมือนกัน หากมองในมุมของชุมชน ‘Loreto Bay’ นั้น ความยั่งยืน คือชุมชนที่สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง และการยืนด้วยเองนี้ต้องไม่ทำร้ายผู้คนและสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย โดยภายในชุมชนมีหลากหลายโครงการที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
เช่น การสร้างฟาร์มกังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ทั้งยังเป็นแหล่งพลังงานส่งต่อให้ทั่วบริเวณ ‘Loreto Bay’ และชุมชนรอบนอก โรงกลั่นน้ำทะเลสำหรับการกักเก็บน้ำเพื่อนำมาใช้ในการอุปโภคและบริโภค ทั้งยังมีศูนย์เกษตรกรรมที่ผลิตผักและผลไม้ออร์แกนิกเพื่อให้ผู้คนในท้องถิ่นได้กินของที่ปลอดภัยจากสารเคมี และสามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเองได้ด้วย
หรือแม้แต่ในบริเวณที่พักอาศัยจะมีการติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อน โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ และที่สำคัญสำหรับเมืองท่องเที่ยว คือเรื่องของการจัดการขยะ ชุมชนก็มีการวางแผนจัดการขยะ และลดปริมาณของขยะให้น้อยลงมากที่สุด เพื่อลดจำนวนมลพิษที่เกิดขึ้น ทั้งยังเตรียมพร้อมเรื่องการจัดการระบบนิเวศชายฝั่ง เพื่อให้สิ่งแวดล้อมมีโอกาสได้ฟื้นตัวและชาวประมงท้องถิ่นเองก็สามารถมีวิถีชีวิตปกติได้

| Focusing on Parallel Development
เมื่อความเจริญคลืบคลานเข้ามา การพัฒนาก็เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว บริเวณ ‘Loreto Bay’ กลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวและแหล่งลงทุนมากขึ้นเช่นกันเป็นเวลากว่า 15 ปีที่ผ่านมา การสร้างชุมชนต้นแบบอย่าง ‘Loreto Bay’ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการเจริญเติบโตของธุรกิจ สามารถเดินไปพร้อมๆ กับชุมชนที่ผู้คนท้องถิ่นยังมีวิถีชีวิตของตนเองได้ ทั้งยังมีการสร้างบริษัท Loreto Bay Company ขึ้นมา โดยทำงานร่วมกับมูลนิธิ Loreto Bay เพื่อพัฒนาโปรแกรมการศึกษา ยกระดับทักษะของคนในท้องถิ่นโดยเฉพาะ และลดปัญหาการแย่งงานจากคนนอกพื้นที่ รวมถึงคนในท้องถิ่นเองก็มีศักยภาพที่ดีขึ้นด้วย ซึ่งทำให้คนในท้องถิ่นมีงานทำอย่างมั่นคงกว่า 80%
โดยจากโครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน ‘Loreto Bay’ นั้น นอกจากจะช่วยผู้คนในท้องถิ่นให้มีชีวิตและการเป็นอยู่ที่ดีแล้ว ยังมีส่วนช่วยสิ่งแวดล้อมด้วยชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างน้อยปีละ 140,000 ตัน และการวางผังเมืองที่ลดการใช้รถยนต์สามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 11,400 ตันต่อปี แถมการเริ่มใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ยังช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ 11.4 กิกะวัตต์ต่อปีเลยทีเดียว ซึ่งตัวเลขทั้งหมดนี้ทำให้ชุมชนแห่งนี้ถูกยกย่อง ว่ามีการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือเลยล่ะ
Source : thoughtco.com | https://bit.ly/2B0hW9K
terrain.org | https://bit.ly/2MJJB1l
cnu.org | https://bit.ly/3e2a46g
tsd.ca | https://bit.ly/3hgDAHt
regenerationalliance.com | https://bit.ly/2Uv6NEO