ถ้าหากจะพูดถึง Dream Destination ของคนที่ชอบธรรมชาติ หลายๆ คนน่าจะนึกถึงไอซ์แลนด์กับการขับรถรอบเกาะไปล่าแสงเหนือ หรือโร้ดทริปที่นิวซีแลนด์ไปดู Mount Cook แต่เราอยู่อังกฤษ ยังไม่มีโอกาสได้ไปไอซ์แลนด์หรือนิวซีแลนด์ก็เลยจะพามาใช้วีซ่านักเรียนอังกฤษให้คุ้ม แล้วไปโร้ดทริปชมธรรมชาติสวยๆ ที่ Isle of Skye หรือเกาะสกาย ทางตอนเหนือของสก็อตแลนด์กัน
ต้องบอกก่อนว่าทริปนี้เราเดินทางกันในช่วงหน้าหนาวช่วงปลายเดือนธันวาคม ซึ่งที่นี่จะมีเวลากลางวันแค่ 6-7 ชั่วโมงเท่านั้น! ก็อาจจะเป็นทริปที่มีความชะโงกและก็ต้องทำเวลากันนิดนึง แต่บอกเลยว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะธรรมชาติของที่นี่ก็สวยไม่แพ้ที่ไหน และมักจะเป็นอีกหนึ่งจุกหมายปลายทางของคนที่มาโร้ดทริปกันที่ Highland ซึ่งหมายถึงพื้นที่ครึ่งบนของสก็อตแลนด์ โดยเรานั่งรถไฟจากลอนดอนมาลงเอดินบะระ เมืองหลวงของสก็อตแลนด์ แล้วขับรถจากเอดินบะระขึ้นมาเรื่อยๆ ผ่านทะเลสาบและปราสาทจากยุคกลางต่างๆ แถมระหว่างทางยังมีวิวสวยๆ ของ Glencoe หุบเขาสีทองที่เป็นโลเคชั่นถ่ายทำ Skyfall กันด้วย (ไว้เดี๋ยวจะมาพาเที่ยวกันครั้งหน้า) ก่อนจะเลยข้ามมายัง Isle of Skye ที่หมายของเราในครั้งนี้
Isle of Skye หรือเกาะ Skye เป็นเกาะเล็กๆ ทางตอนเหนือของสก็อตแลนด์ ที่สามารถขับรถข้ามสะพานมาหรือจะเอารถขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามมาก็ได้ วันที่เรามาเกิดมีพายุเข้าลมแรงมาก เลยอดข้ามฝั่งด้วยเรือเฟอร์รี่
แต่สิ่งที่จำได้ตั้งแต่ข้ามฝั่งมาคือธรรมชาติที่เวิ้งว้าง ดูเงียบเหงาแต่สวยงามอย่างบอกไม่ถูก มีวิวทะเล ภูเขาและแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้ามาทักทายเรา
นาทีนั้นอยากเปิดกระจกรถไปสัมผัสธรรมชาติมาก แต่เราต้องไม่ลืมว่าพายุเข้า มี Gust of Wind คือลมที่พัดกระหน่ำแบบที่เราไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต เป็นลมลูกใหญ่ที่สามรถพัดเราให้ปลิวไปเลยได้จริงๆ เราเลยต้องอยู่ชมธรรมชาติอยู่เงียบๆ บนรถแทนไปก่อน
บนเกาะ SKYE มีตัวเมืองเล็กจิ๋วที่มีชื่อว่า Portree พวกโรงแรม ร้านอาหารต่างๆ ก็จะมากระจุกกันอยู่ตรงนี้ ซึ่งก็จะมีความน่ารักของบ้านสีๆ และเรือลำเล็กๆ ที่จอดอยู่หน้าอ่าว เสียดายที่ช่วงเราไปฝนตก เลยอดถ่ายรูปมาฝากกัน ถ้าออกมาจาก Portree แล้วบ้านแต่ละหลังก็จะอยู่ห่างกันพอสมควร เรียกได้ว่าอยู่แบบตัวใครตัวมันเลย เรากับเพื่อนออกมาพักนอกตัวเมืองที่ B&B ของครอบครัวคนที่นั่นเพื่อสัมผัสกับธรรมชาติที่แท้จริง ระหว่างทางก็จะเจอแกะและวัว Highland สีน้ำตาลที่มีขนยาวปรกหน้าปรกตามาทักทายกันตามทาง
เอาหล่ะ เกริ่นกันมาเยอะแล้ว มาลองดูสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจกันบ้าง ที่แรกที่เราจะพาไปคือ The Fairy Pools เป็นน้ำตกสีเขียวอมฟ้าอันเลื่องชื่อของที่นี่ อยากจะบอกว่าน้ำที่นี่ใสและสีสวยมากๆ แต่การจะไปให้ถึงจุดพีคของน้ำตกนั้นต้องเดินเท้าเข้าไปเป็นระทางกว่า 2.4 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ซึ่งเราไม่อยากยอมรับว่าจริงๆ แล้วเราเดินไปไม่ถึงเพราะวันนั้นลมแรงมากแล้วก็ฝนตกด้วย เลยเก็บภาพมาได้นิดหน่อย แต่ระหว่างทางก็มีลำธารและน้ำตกเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอดทางนะ แค่มาเดินดูลำธารก็คุ้มแล้วแหละ
ส่วนใครที่อยากดูน้ำตกแต่ไม่อยากเดินต้องมาที่นี่เลย Mealt Falls และ Kilt Rock แลนด์มาร์กสำคัญของเกาะนี้ Mealt Falls เป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่ทะเลโดยเราสามารถจอดรถและมาเดินดูที่จุดชมวิวได้เลย ส่วน Kilt Rock เป็นหน้าผาหินที่เป็นแท่งๆ ที่อยู่ใกล้ๆ น้ำตก ดูแล้วเหมือน Kilt หรือกระโปรงพลีทของชาวสก็อตเลยกลายเป็นที่มาของชื่อหน้าผาหินเหล่านี้
ใกล้ๆ กันมีอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญสำหรับนักปีนป่าย Old Man of Storr เป็นภูเขาที่มีแท่งหินตั้งตระหง่านอยู่ด้านบน ถือเป็นแลนด์มาร์กที่ดังที่สุดบนเกาะนี้เลยก็ว่าได้
ใครที่อยากจะขึ้นไปดูแท่งหิน Old Man เนี่ยต้องเดินขึ้นเขาไปเกือบๆ 4 กิโลเมตร น่าจะกินเวลาเป็นชั่วโมง ส่วนทัวร์ชะโงกอย่างเราขอเชยชมจากข้างล่างแล้วกัน คิดว่าไม่อึดพอที่จะเดินขึ้นไปแน่ๆ
นอกจาก Old Man of Storr แล้ว ที่นี่ยังมีเนินเขาเล็กๆ ที่เราสามารถขับรถขึ้นไปได้ชื่อว่า Quiraing จากลานจอดรถเราจะเห็นวิวทะเลและภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาสลับไปมาของที่นี่ แล้วก็จะมีหน้าผาหินรูปร่างแปลกประหลาดให้เราถ่ายรูปกัน ส่วนใครเป็นสายแลนด์ขั้นสุดก็ออกมาเดินเทรกกิ้งปีนป่ายไปตามทางกันได้เลยเพราะมีระยะทางให้เดินสำรวจไกลเกือบ 7 กิโลเมตร แต่เราได้ยินข่าวมาว่าวิวจากที่นี่สวยมากนะ สายแลนด์สเคปคนไหนที่อึดพอห้ามพลาดที่นี่เลยแหละ
นอกจากภูเขาและน้ำตกแล้ว จริงๆ บนเกาะนี้ยังไม่ที่เที่ยวและจุดชมวิวอื่นๆ อีก ทั้งปราสาท Dunvegan Castle และ Neist Point Lighthouse ส่วนช่วงหน้าร้อนก็ยังสามารถมาล่องเรือดูแมวน้ำที่ Loch Coruisk ได้อีกด้วย ถึงจะเป็นแค่เกาะเล็กๆ แต่อัดแน่นด้วยคุณภาพจริงๆ ส่วนใครอยากเที่ยวแบบชิลล์ๆ ไม่ชะโงกมาก ลองมาฤดูใบไม้ผลิหรือหน้าร้อน เราว่าน่าจะสวยไปอีกแบบ แล้วคราวหน้าเราจะพาเที่ยว Highland ของสก็อตแลนด์กัน รับรองถูกใจสายธรรมชาติอีกแน่นอน