ในอนาคตอันแสนไกลนับหมื่นปี เทคโนโลยีเดินทางในอวกาศได้ก้าวล้ำจนมนุษย์อาศัยอยู่กระจัดกระจายทั่วทั้งกาแล็กซี ด้วยการใช้ ‘สไปซ์ เมลานจ์’ (Spice Melange) สารเสพติดที่มีค่ามากที่สุดในจักรวาล เพราะใช้ในการเดินทางในอวกาศได้อย่างปลอดภัย ยืดอายุขัย และช่วยเพิ่มพูนทักษะต่างๆ ทว่าสิ่งนี้กลับมีอยู่แค่ในดาว ‘อาร์ราคิส’ (Arrakis) เพียงดวงเดียวในจักรวาลเท่านั้น
ในขณะที่ดาวโลกสีน้ำเงินของเรากำลังตกอยู่ในวิกฤตโลกเดือด และทุกพื้นที่กำลังกลายเป็นทะเลทรายจนมนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ทำให้เราต้องรีบค้นหาดาวเคราะห์ดวงใหม่สำหรับมนุษยชาติด้วยการตามหา ‘สไปซ์’
ชาว Urban Creature ขออาสาเป็นนักเดินทางจากดาวโลก พาทุกคนมาสำรวจดวงดาวอาร์ราคิสอันโด่งดังในจักรวาล ‘Dune’ กัน นอกจากการตามหาสไปซ์แล้ว เรายังควรดูดาวอาร์ราคิสเป็นกรณีศึกษาในกรณีที่โลกทั้งใบได้กลายเป็นทะเลทรายไปแล้วจริงๆ
เทียบท่าจอด ณ ‘อาร์ราคิส’ ดวงดาวที่ร้อนกว่าประเทศไทย
แค่ก้าวเท้าลงมาจากยาน อากาศที่ร้อนระอุกว่า 60 องศาเซลเซียสก็พัดกระแทกหน้าอย่างจัง ที่นี่ร้อนกว่าเมืองไทยของเราเสียอีก มองไปทางไหนก็เห็นแต่เนินทรายสีทองกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ก่อนเราจะก้าวลงเดินบนพื้นทราย ไกด์นำทางของเราได้ยื่นชุด ‘สติลสูท’ (Stillsuit) ให้ เพราะชุดนี้จะรีไซเคิลของเหลวในร่างกายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นของเสีย เหงื่อ ปัสสาวะ หรือแม้แต่ลมหายใจของเรา ให้กลับมาเป็นน้ำใช้ใหม่อีกครั้ง เพื่อป้องกันผู้สวมใส่ไม่ให้ขาดน้ำตายบนความแห้งแล้งของอาร์ราคิส
คืนนี้เราจะนอนกันที่ ‘อาร์ราคีน’ (Arrakeen) เมืองหลวงของดาวอาร์ราคิส ก่อนที่จะออกไปตามล่าสไปซ์ในวันรุ่งขึ้น เมืองอาร์ราคีนมีพระราชวังตั้งอยู่กลางเมือง ล้อมรอบด้วยภูเขาหินเพื่อป้องกันหนอนยักษ์ทะเลทราย สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เช่น Ziggurat โบราณ, อาคาร Brutalism ช่วงสงครามเย็นในโซเวียต และได้ออกแบบหน้าต่างกับประตูให้เล็กกว่าปกติเพื่อป้องกันฝุ่นทรายและลมร้อน แต่ส่วนใหญ่แล้วในช่วงเวลากลางวันชาวบ้านมักอาศัยอยู่ใต้ดินเพื่อหลบหนีความร้อน
ผืนทรายแห่งความอันตรายที่แสนล้ำค่า
“น้ำคือสิ่งล้ำค่ายิ่งกว่าทองในทะเลทราย แต่สไปซ์กลับล้ำค่าเสียยิ่งกว่าน้ำ และทุกคนพร้อมเสี่ยงชีวิตเพื่อจะเอามันมา” ไกด์บอกกับเราสั้นๆ ก่อนขึ้นยานบินไปยังใจกลางทะเลทรายเพื่อเก็บเกี่ยวสไปซ์
เมื่อเครื่องเก็บเกี่ยวสไปซ์ลงจอดกลางทะเลทราย เครื่องจักรขนาดยักษ์ก็เริ่มทำงานเก็บเกี่ยวสไปซ์จำนวนมากจากพื้นทราย แต่แล้วจู่ๆ เสียงสั่นสะเทือนประหลาดจากใต้พื้นก็ค่อยๆ ดังขึ้น เราที่นั่งสังเกตการณ์จากบนยานเห็นหลุมทรายขนาดยักษ์เกิดขึ้น และปรากฏร่างของ ‘ชาไอ-ฮูลูด’ (Shai-Hulud) หนอนยักษ์แห่งทะเลทราย ทำให้ทุกคนต้องหนีเอาตัวรอดกันจ้าละหวั่น
ชาไอ-ฮูลูด ได้รับการยกย่องจากชนพื้นเมืองว่าเป็น ‘พระเจ้า’ และเป็น ‘ผู้เฒ่าแห่งทะเลทราย’ มันจะคอยกลืนกินทุกสิ่งที่ส่งเสียงเป็นจังหวะอยู่บนพื้นทราย ทำให้การเก็บเกี่ยวสไปซ์เป็นเรื่องอันตราย และยิ่งทำให้ทะเลทรายผืนนี้น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม แต่แน่นอนว่ามนุษย์ที่เต็มไปด้วยความโลภย่อมยอมส่งคนไปตายเพื่อแลกกับผงสไปซ์เพียงน้อยนิดก็ยังดี
คงไม่ต่างจากสงครามแย่งชิงน้ำมันบนโลก ที่ทุกคนต่างนำชีวิตคนตัวเล็กไปทิ้งเพื่อแลกกับทรัพยากรของคนตัวใหญ่
แอบซุ่มส่องวิถีชีวิตท้องถิ่นของ ‘ชาวเฟรเมน’
เมื่อทุกคนต่างหนีตายกันไปคนละทิศคนละทาง ยานของเรากับไกด์ดันตกไปติดอยู่บนภูเขาหินลูกหนึ่ง ระหว่างที่กำลังขอความช่วยเหลือจากยานอีกลำ เรากับไกด์ดันไปเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งออกมาจากภูเขาหิน และยิงยานลำนั้นร่วงลงต่อหน้าต่อตา นั่นคือ ‘ชาวเฟรเมน’ (Fremen)
จากที่กล่าวไปข้างต้นว่าดาวอาร์ราคิสอุดมไปด้วยสไปซ์ ทำให้อดีตผู้ปกครองดาวดวงนี้มากว่า 80 ปีอย่าง ‘ตระกูลฮาร์คอนเนน’ (Harkonnen) ที่ร่ำรวยจากการค้าสไปซ์ ได้เปลี่ยนผืนทรายแห่งอาร์ราคิสให้กลายเป็นพื้นที่ความขัดแย้งในการแย่งชิงสไปซ์ของชาวเฟรเมน
อย่างที่เรารู้กันว่าชาวเฟรเมนไม่ค่อยต้อนรับคนแปลกหน้าเสียเท่าไหร่ ยิ่งถ้าเป็นคนนอกอาจถูกฆ่าเอาง่ายๆ ฉะนั้นการแอบซุ่มดูพวกเขาจากที่ไกลๆ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการเข้าไปผูกมิตร
ชาวเฟรเมนอาศัยอยู่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า ‘ซีตช์’ (Sietch) มักจะอยู่ตามภูเขาหรือโขดหินขนาดใหญ่ คล้ายถ้ำที่มนุษย์สร้าง โดยภายในซีตช์จะมีเมืองขนาดเล็กที่มีผู้คนมากมายอาศัยอยู่ และอุโมงค์ที่เชื่อมต่อถึงกันได้ ซึ่งซีตช์เหล่านี้มีอยู่ทั่วดาวอาร์ราคิส โดยมีหัวหน้าผู้ปกครองแต่ละซีตช์เรียกว่า ‘ไนอีบ’ (Naib) ที่ได้รับตำแหน่งมาจากการท้าทายผู้นำคนเก่า และทุกซีตช์จะมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงไนอีบเท่านั้นที่รู้ ซึ่งกักเก็บน้ำไว้ในปริมาณมหาศาลจากการเสียชีวิตของชาวเฟรเมน
“แต่ทะเลทรายแห่งนี้มันแห้งแล้งเกินกว่ามนุษย์จะอยู่ได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมมีเพียงชาวเฟรเมนที่อาศัยอยู่ได้ล่ะ” เราถามไกด์ นั่นเพราะชาวเฟรเมนสามารถเรียนรู้และอยู่ร่วมกับผืนทรายแสนอันตรายนี้ได้ ผ่านประเพณีและธรรมเนียมต่างๆ เช่น ท่าทางการเดินที่คล้ายการเต้นระบำไปบนทรายเพื่อไม่ให้หนอนยักษ์โผล่ออกมา การเก็บน้ำมาจากศพของศัตรู และพวกเขาจะไม่ยอมเสียน้ำตาให้คนตายหรือความเสียใจทุกประเภท เพราะน้ำมีค่ามากที่สุดในแดนทุรกันดารแห่งนี้
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีธรรมเนียมแปลกๆ อยู่เหมือนกัน เช่น ห้ามไม่ให้ใครที่ไม่ใช่ชาวเฟรเมนเห็นมีด ‘คริสไนฟ์’ (Crysknife) ของตน ไม่เช่นนั้นคนนอกเหล่านั้นจะต้องตายด้วยสิ่งนี้ และหากมีดคริสไนฟ์ถูกชักออกจากฝักเมื่อไหร่ จะไม่สามารถเก็บเข้าฝักได้หากมันยังไม่เปื้อนเลือด ฟังดูแล้วก็คล้ายๆ ‘กระบี่ข้าต้องได้ดื่มเลือด’ เหมือนกับหนังกำลังภายในจีน ฉะนั้นอย่าเผลอไปมองมีดของชาวเฟรเมนเข้าล่ะ
คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว เราเลยจำใจต้องอยู่ค้างคืนบนโขดหินกลางทะเลทราย โดยอาศัย ‘สติลเต็นท์’ (Stilltent) เต็นท์พกพาที่ชาวเฟรเมนใช้อาศัยเวลาอยู่กลางทะเลทราย โดยสติลเต็นท์สามารถกักเก็บและรวบรวมความชื้นภายในเต็นท์ได้ เช่นเดียวกับกับดักลมที่คอยดักจับความชื้นในอากาศเพื่อรวมเป็นน้ำในยามกลางคืน
ความหวังจอมปลอมและความเชื่อที่อยู่เหนือทุกสิ่ง
หลังจากได้รับความช่วยเหลือในเช้าวันต่อมา ด้วยความสงสัยเราจึงอยากศึกษาเรื่องของชาวเฟรเมนมากขึ้นกว่าเดิมในห้องสมุด และนั่นทำให้เรารู้ว่าชาวเฟรเมนเป็นชนพื้นเมืองที่คลั่งศาสนาและยึดมั่นในประเพณีความเชื่ออย่างถึงที่สุด แม้น้ำเป็นสิ่งล้ำค่าในทะเลทราย แต่พวกเขาจะไม่แตะต้องน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เก็บไว้ในซีตช์ต่อให้จะหิวกระหายแค่ไหนก็ตาม หรือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อย่างอินทผลัมที่ต้องใช้น้ำสำหรับคน 100 ชีวิตในการดูแล แต่พวกเขาเลือกที่จะใช้น้ำเหล่านั้นกับต้นไม้มากกว่าให้คนได้ดื่มกิน ด้วยเหตุผลของ ‘ความศักดิ์สิทธิ์’ และ ‘ความฝันอันเก่าแก่’ ที่จะเปลี่ยนดาวดวงนี้ให้กลับมาเขียวชอุ่มอีกครั้ง
ฟังดูคล้ายโลกของเราเหมือนกันนะ ที่ความเชื่ออยู่เหนือความเป็นมนุษย์
ที่น่าสนใจคือ ความเชื่อเหล่านี้เกิดจากเหล่า ‘เบเนเจสเซริต’ (Bene Gesserit) กลุ่มสตรีพลังจิตผู้คอยชักใยบงการผู้มีอำนาจจากเงามืด ได้ส่งเหล่าแม่มดไปปลูกฝังความเชื่อ คำทำนาย เรื่องเหนือธรรมชาติต่างๆ และสร้างความหวังเกี่ยวกับการมาของ ‘เมสสิยาห์’ (Messiah) องค์ศาสดาผู้นำพาชาวเฟรเมนไปสู่โลกใหม่
แม้จะมีกลุ่มที่ไม่เชื่ออยู่บ้าง แต่ชาวเฟรเมนส่วนใหญ่ก็ยังคงเชื่อมั่นในคำทำนายและเฝ้ารอคอยการมาถึงของ ‘ลีซาน อัล-ไกอีบ’ (Lisan al Gaib) สุรเสียงจากนอกโลก และ ‘มาห์ดี’ (Mahdi) ผู้นำทางสู่สรวงสวรรค์ ที่จะมาเป็นผู้ปลดปล่อยและนำพาชาวเฟรเมนสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้ง ด้วยการนำความชุ่มชื้นกลับมาสู่ดวงดาวอันแห้งแล้งนี้
ความเชื่อและความหวังจอมปลอมมักถูกสร้างเพื่อควบคุมคนหมู่มากที่กำลังอ่อนแอให้ทำตามสิ่งที่ผู้มีอำนาจต้องการ คล้ายกับโลกที่ผู้คนตาดำๆ มักถูกปลุกเร้าให้ลุกขึ้นมาต่อสู้จากความหวังที่คนกลุ่มหนึ่งสร้างขึ้น จนในที่สุดก็กลายเป็นการก่อการร้ายที่อ้างถึง ‘ความศรัทธา’ และ ‘การปลดปล่อย’
ภารกิจของเราสิ้นสุดเพียงตรงนี้ แม้ภารกิจจะล้มเหลวเพราะไม่สามารถนำสไปซ์กลับโลกได้ จากการถูกกีดกันของจักรพรรดิที่ต้องการครอบครองสไปซ์แค่เพียงผู้เดียว แต่เราก็ได้เรียนรู้หลายอย่างจากการเดินทางครั้งนี้
แม้โลกจะกำลังตกอยู่ในวิกฤตและอ่อนแออย่างมาก แต่ถ้าเรานำสไปซ์เข้ามาในตอนนี้ พวกผู้มีอำนาจคงไม่พ้นที่จะใช้สไปซ์เป็นเครื่องมือและสร้างความหวังจอมปลอมให้กับผู้อ่อนแอ เพื่อสร้างศรัทธาที่ทำให้คนกลายเป็นทาสอีกครั้ง ไม่แน่ว่าในอนาคตโลกอาจมีหน้าตาไม่ต่างอะไรจากอาร์ราคิสก็เป็นได้