สำหรับชาวเยอรมันกิจกรรมบนภูเขาเป็นหนึ่งในกิจกรรมยอดนิยมประจำวันอาทิตย์ วันที่ทุกอย่างปิดทำการ เพราะเป็นวันพักผ่อนตามความเชื่อทางศาสนาจนเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมาย โดยเฉพาะในรัฐบาวาเรียที่ขึ้นชื่อเรื่องความเคร่ง วันอาทิตย์ในเมืองจึงเงียบสงบมากๆ ผู้คนทุกเพศทุกวัยล้วนมุ่งหน้าสู่ธรรมชาติ
ไม่ว่าจะเป็นป่าหรือภูเขาที่อยู่ไม่ไกลมากจากเมือง สามารถนั่งรถสาธารณะไปได้ เพียงราวๆ 1-3 ชั่วโมงก็ถึงที่หมาย มีกิจกรรมมากมายให้เลือกสรรตลอดปี ไม่ว่าจะเป็นขี่จักรยาน เดินเล่น จิบเบียร์กินข้าวในกระท่อมเล็กๆ หรือกิจกรรมที่ทำได้เฉพาะในฤดูหนาว อย่างการเล่นสกีและสโนว์บอร์ด เพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายอย่างแท้จริง
การเดินเขาเป็นกิจกรรมกลางแจ้งที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ถึงขั้นมีสมาคมที่ดูแลเส้นทางต่างๆ และกระท่อมตามหุบเขาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 19 เรียกได้ว่าเกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับรถไฟในเยอรมนีเลย เส้นทางที่นี่จึงมีความปลอดภัย เพราะได้รับการดูแลและปรับปรุงมาตลอด อย่างในรูปนี้เราเพิ่งไปมาไม่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สียังสดใหม่เหมือนเพิ่งทาไม่นานมานี้เอง
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนสามารถไปทำกิจกรรมบนเขาได้อย่างสะดวก เพราะมีการเดินทางที่สะดวกสบายและราคาย่อมเยา ในรัฐบาวาเรียมี Bayern Ticket (บาเยิร์นทิกเก็ต) ราคาเริ่มต้นที่ 25 ยูโรต่อวันสำหรับการเดินทางคนเดียว (ประมาณ 875 บาท) สามารถขึ้นรถไฟธรรมดา แทรม และรถบัสได้ไปจนถึงสถานีแรกนอกรัฐ แต่ความดีงามยิ่งกว่าของตั๋วนี้ คือถ้าเดินทางหลายคนจะถูกลง โดยถูกสุดอยู่ที่ 5 คน ประมาณ 11 ยูโรต่อคนต่อวัน แต่มีข้อจำกัดคือต้องเดินทางด้วยกันตลอด
ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับการไปเดินเขาหรือการไปเที่ยวเมืองเล็กเมืองน้อยในรัฐนี้ด้วยกัน และการเดินทางด้วยรถสาธารณะไปยังภูเขาก็ไม่ใช่เรื่องลำบาก ตามจุดหมายปลายทาง (หรือจุดเริ่มต้นเดิน) ที่รถไฟเข้าไม่ถึง ก็มักจะมีรถบัสต่อ อาจจะต้องใช้เวลารอนานหน่อยในเส้นทางที่คนน้อย แต่ก็เรียกได้ว่าแทบทุกที่ในประเทศนี้มีรถสาธารณะเข้าถึง
และสิ่งที่น่าประทับใจคือความน่ารักและเป็นมิตรของผู้คน การทักทายคนแปลกหน้าเป็นเรื่องปกติมากบนเขา เวลามีคนเดินสวนมาหรือเดินแซงไป เราจะได้รับคำทักทายพร้อมรอยยิ้มเสมอ คำที่พบเจอได้บ่อยๆ คือ ‘Servus’ (แซวุส) เป็นคำทักทายท้องถิ่นในรัฐบาวาเรีย Hallo (ฮาโหล่) ที่เป็นคำทักทายในเยอรมนี และ Danke (ดั๊งเค่อะ) แปลว่าขอบคุณ เวลาที่เราหลบทางให้
เรามักจะเปรียบการเดินเขาของคนที่นี่เหมือนการเดินห้างฯ ของคนไทย เพราะมีความเหมือนกันในหลายแง่มุม เช่น ถ้าไปวันธรรมดาก็จะคนน้อยหน่อย วันหยุดก็คนเยอะหน่อย และเป็นกิจกรรมที่ทำได้ทั้งกับเพื่อนฝูงและครอบครัว เราเจอตั้งแต่เด็กน้อยอ้อแอ้อยู่บนหลังคุณพ่อคุณแม่ไปจนถึงคุณตาคุณยายบนเขาเลยแหละ และการที่คนที่นี่เริ่มเดินกันตั้งแต่เด็ก ทำให้คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเราเดินกันเก่งมากๆ
แน่นอนว่าวัฒนธรรมนี้ก็ส่งผลมาถึงชาวไทยในเยอรมนีอย่างเราด้วยเช่นกัน ในวันหยุดที่อากาศดี ก็อดไม่ได้ที่จะชวนกันไปสูดอากาศบริสุทธิ์
เรามุ่งหน้าเดินเพื่อเข้าหาธรรมชาติตามยอดเขา หรือกระท่อมบนเขาต่างๆ เพื่อรีเฟรชตัวเอง
แต่มีอยู่ไม่กี่เส้นทางที่ตราตรึงในความทรงจำสำหรับเรา ซึ่งนั่นคือ ‘Brecherspitz’ เป็นยอดเขาใกล้ๆ กับเขา Spitzingsee เราไปกับเพื่อนชาวเยอรมัน 4 คนเมื่อเดือนมีนาคมปี 2019 เป็นช่วงปลายฤดูหนาว ต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศเริ่มอุ่นแล้ว แต่บนภูเขายังมีหิมะปกคลุมแบบที่ยังพอเล่นสกีได้ ถึงนั่นจะไม่ใช่การเดินเขาครั้งแรกในเยอรมนีของเรา แต่เป็นการเดินเขาหิมะครั้งแรกในชีวิต และเป็นเส้นทางหิมะที่ไม่ได้มีการกรุยทางไว้ให้เดิน (ถ้าทำทางไว้จะเดินง่ายกว่ามาก เหมือนหิมะโดนบดอัดให้เรียบแล้ว ลื่นๆ นิดหน่อยแต่ก็เดินได้) ก็เดินดุ่มๆ กันเข้าไปนั่นแหละ
เพื่อนๆ ชาวเยอรมันเดินกันคล่องแคล่วเหมือนเดินเล่นในเมือง แต่สำหรับเราแล้วมันยากมาก ใช้พลังกายและใจเยอะสุดๆ ในการเหยียบลงไปในหิมะแต่ละครั้ง เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะจมลงไปมากน้อยแค่ไหน พอรวมกับความลื่นของหิมะ และแรงโน้มถ่วง หลายๆ ครั้งก็เหมือนจะไถลลงมากกว่าขึ้นไปตามความตั้งใจ แต่จะยากแค่ไหนก็หยุดไม่ได้ เราได้แต่ยกขาขึ้นมาและก้าวต่อไป
และเป็นครั้งแรกที่ได้รู้สึกว่าการเดินเขานี่เป็นการฝึกจิตใจและบ่มเพาะความมุ่งมั่นให้ชีวิต เราได้แต่บอกตัวเองว่าจะทำได้ จะไปถึงยอดเขาได้ เป็นเวลาชั่วโมงครึ่งที่สติและสมาธิทั้งหมดอยู่กับการก้าวเดิน ไม่ได้สนใจเลยว่ามาไกลแค่ไหนแล้วหรืออีกไกลแค่ไหนจะไปถึง มีประโยคหนึงที่แว๊บขึ้นมาในหัว เป็นคติพจน์โรงเรียนสมัยมัธยมฯ ที่เรียกได้ว่าลืมไปแล้ว แต่วันนั้นก็พาเราไปจนถึงยอดเขาได้
“สทฺธาสาธุปติฏฐิตาศรัทธาตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้สำเร็จ”
วันนั้นเราขึ้นมาเพื่อกินข้าวเที่ยงที่เตรียมมาแล้วจึงเดินกลับลงไป ก็ออกจะเหมือนการฝ่าการจราจรและทางเท้าในประเทศไทย เพื่อไปกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนที่ห้างสรรพสินค้าสักแห่งที่ไกลออกไป ทั้ง ๆ ที่ก็มีขายในห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านเหมือนกัน
จริงๆ แล้วตอนที่เพื่อนชวน เพื่อนบอกเราว่าไปเดินเขาและเก็บขยะกัน เราก็นึกว่าเพื่อนล้อเล่น คิดว่าน่าจะเป็นมุกของชาวเยอรมัน แต่ที่ไหนได้ … เขาเก็บขยะกันจริงๆ เรานับถือความรักษ์โลกของคนที่นี่มากๆ เลย
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้การเดินเขาเหมือนการเดินห้างฯ ก็เพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้เช่นกัน ตามเส้นทางยอดนิยมมีคนเดินสวนไปมาตลอดไม่เหงาแน่นอน และก็ไม่ต้องกลัวหลงเข้าป่าเพราะตามเส้นทางจะมีสีแดงป้ายไว้ตามก้อนหินเพื่อบอกว่าเรายังอยู่ในเส้นทางสักเส้นในบริเวณนั้น ตามทางแยกก็มีป้ายบอกทาง มักจะบอกด้วยว่าใช้เวลาอีกเท่าไหร่จึงจะถึงจุดหมายปลายทาง และเส้นทางนี้มีความยากง่ายระดับไหน
ฉะนั้นหากได้มีโอกาสมาเที่ยวที่เยอรมนี ก็อยากชวนมาสูดอากาศบริสุทธ์บนยอดเขาให้เต็มปอดในวันอาทิตย์ที่เงียบสงบ ขอเพียงสภาพร่างกายและจิตใจพร้อม สภาพอากาศดี ลองหาเส้นทางที่พอเหมาะ และอย่าลืมช่วยกันรักษาป่าเขาของทุกคนให้สวยงามเหมือนที่เราได้พบเจอ