![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2019/07/01-tea-683x1024.jpg)
มาจิบชายามบ่ายสไตล์ผู้ดีอังกฤษกันเถอะ !
หลายคนน่าจะคุ้นๆ หูกันมาบ้างกับคำว่า Afternoon Tea ที่กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่องของชาวอังกฤษเลยก็ว่าได้ เราจึงจะพานั่งไทม์แมชชีน ไปที่ห้วงเวลานั้นคือ ค.ศ. 1660 กลุ่มราชวงศ์และชนชั้นสูงมักนิยมดื่มชากันมาอย่างช้านาน ต้องบอกก่อนว่าการจิบชาของพวกเขาก็ได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งจีนเช่นกัน ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนักหรือไม่ได้ยึดถือธรรมเนียมนั่นเอง
จนมาเข้าช่วงยุคศตวรรษที่ 17 Afternoon Tea เพิ่งจะก่อร่างสร้างตัวขึ้น มีการจิบชายามบ่ายกันจริงจัง โดยคนที่คิดและเริ่มธรรมเนียมนี้คือ ‘แอนนา’ ผู้หญิงสูงศักดิ์ชาวอังกฤษ และเป็นดัสเชสแห่งเบดฟอร์ดในปี 1840 หากพูดแบบบ้านๆ คือ บ้านของแอนนานั้นจะกินและเสิร์ฟมื้อเย็นตรงเวลาเป็นประจำคือ 2 ทุ่ม ก่อนจะถึงเวลานั้นเป็นใครท้องไม่ร้องเพราะความหิวบ้าง?
แอนนาก็เช่นกัน ท้องเธอมักจะร้องช่วงเวลา 4 โมงเย็น เธอจึงมักบอกให้แม่บ้านเอาของว่างขึ้นมาเสิร์ฟถึงห้อง ซึ่งในถาดจะมีทั้ง ชา ขนมปัง เนย และแซนด์วิชที่มีไส้ประกบอยู่ตรงกลาง ตอนนั้นเขาเรียกกันว่า Earl of sandwich และขนมเค้กต่างๆ อีกทั้งแอนนามักจะชอบชวนเพื่อนๆ มาจิบชานั่งคุยกันในเวลานี้เสมอ ทำให้วัฒนธรรมจิบชายามบ่ายแพร่หลายไปอย่างรวดเร็วในหมู่ของผู้หญิงอังกฤษชั้นสูง รวมไปถึงการแต่งตัวไปเยือนบ้านเพื่อนๆ ในช่วงบ่ายก็มีเอกลักษณ์ โดยหญิงเหล่านั้นจะแต่งชุดเดรสยาว พร้อมถุงมือ และหมวกเก๋ๆ นอกจากมื้อบ่ายกรุบกริบแล้ว นี่แค่รองท้องเท่านั้นเอง ต้องหอบเอาความหิวไปทุ่มไว้ที่มื้อเย็นกันดีกว่า
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2019/07/02-chef-683x1024.jpg)
Harrods หอบกลิ่นอายดินเนอร์สไตล์อังกฤษมาไว้กลางเมือง
นอกจากการจิบชายามบ่ายแล้ว การดินเนอร์ของชาวอังกฤษก็น่าหลงใหลไม่ใช่น้อย ทำให้แฮร์รอด ยกร้านอาหารจากประเทศอังกฤษมาตั้งไว้ที่ไทย ซึ่งได้เชฟอย่าง Nicolas Bourel มาสร้างสรรค์เมนูให้ถูกปาก และถูกอกถูกใจผู้ที่ได้มาลิ้มลอง ในฉบับที่เราไม่ต้องบินลัดฟ้าไปถึงลอนดอน ก็ได้สัมผัสมื้อค่ำกับอาหาร Western Food สไตล์ British นอกจากความคิดสร้างสรรค์ที่เชฟมีแล้ว ยังใส่ความพิถีพิถันตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบยันขั้นตอนการปรุง แค่เห็นหน้าเชฟพร้อมคอนเซปต์ ทำเอาเราเริ่มจับช้อนส้อม ตั้งตารอกับเมนูแรกกันแล้ว เริ่มกันที่เมนูเรียกน้ำย่อย หรือ Appetizer กันก่อนเลย
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2019/07/03-scallop-1024x682.jpg)
Spicy Scallop and Mash
เปิดด้วยจานแรก สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือหอยเชลล์ตัวใหญ่มาก มันคือ Spicy Scallop and Mash ที่นำหอยเชลล์มาย่างให้มีกลิ่นหอม เสร็จแล้วราดด้วยซอส เมื่อกระทบลิ้นครั้งแรกจะมีความเผ็ดเล็กน้อย เพราะซอสที่นำมาราดนั้นได้จากพริกแห้งผัดกับเนย ทำให้มีความหอมเพิ่มขึ้นอบอวนไปทั่วทั้งปาก อีกทั้งเสิร์ฟพร้อมมันบดเนื้อเนียนละเอียด ตอนแรกคิดว่าเหมือนมันบดทั่วไปแต่จานนี้นุ่ม ละมุน เสมือนกินครีม อย่างไรอย่างนั้น
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2019/07/04-sausage-1024x682.jpg)
Bager and Mash
รูปทรงไม่ได้แปลกตาอะไรมาก แต่เนื้อในของ ‘ไส้กรอกหมู’ ถูกอัดแน่นไปด้วยสมุนไพร เครื่องเทศ และพริกไทยหลากหลาย และที่พิเศษกว่านั้นคือไม่มีส่วนผสมของกลูเตนอีกด้วย จะกินแต่ไส้กรอกอย่างเดียวคงจะไม่คล่องคอ เชฟได้ทำการราดซอสหอมใหญ่ ที่ถูกผสมรวมมากับเบอร์รี่และมันบด ที่เนื้อเนียนละเอียดเช่นเดิม แต่ครั้งนี้มันบดจะมีกลิ่นหอมจากน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิลอ่อนๆ รวมๆ คือไม่เลี่ยนอย่างแน่นอน เวลากินต้องกัดไส้กรอกและเสริมด้วยมันบด สำหรับคนที่ไม่ชอบสมุนไพร กลัวว่าจะขมหรือมีกลิ่นแรง บอกได้คำเดียวว่าไม่ต้องกังวล เพราะไส้กรอกชิ้นนี้ถูกคลุกเคล้ากันมาอย่างพอดีและลงตัว
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2019/07/05-soup-683x1024.jpg)
Truffle Cappuccino
กินมาถึงจานนี้ยอมรับว่าเริ่มอิ่มเล็กน้อย ได้ยินมาแว่วๆ ว่ากว่าจะถึงเมนูหลักต้องผ่านอีกสองจานไปก่อน ไม่เป็นไรเพื่อการได้สัมผัสถึงความเป็นผู้ดีอังกฤษยามค่ำคืน เราจึงต้องสู้ และชิมให้ครบทุกรสชาติที่เชฟได้ลงมือทำ ถ้วยนี้เป็นเมนูซุปกันบ้าง ‘ซุปครีมเห็ด’ ใครที่ชอบเห็ดทรัฟเฟิลไม่ควรพลาด เพราะจะได้กลิ่นจากน้ำมันเห็ดอย่างละมุน ใครที่เคยกินซุปเห็ดที่จางๆ มา หากได้ชิมจะรับรสถึงความเข้มข้น และเนื้อเห็ดที่มีกลิ่มหอมในแบบตัวเอง บนหน้าซุปเป็นฟองนมที่ใช้การตีด้วยไอน้ำจนเกิดความหอมหวาน กินกับซุปได้และไม่รู้สึกเลี่ยน เพราะมีขนมปังกรอบไว้ตัดเลี่ยนนั่นเอง
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2019/07/06-salad-683x1024.jpg)
Diver Scallops & Mango Salad
จานสุดท้ายสำหรับ Appetizer แล้ว มาสไตล์เฮลท์ตี้กันบ้างกับ ‘สลัดผักสดเสิร์ฟพร้อมหอยเชลล์ U.S’ หอยเชลล์ถูกนำไปเซียร์พอประมาณ ผักและหอยอาจจะดูธรรมดาไป แต่น้ำสลัดนี่สิที่เป็นตัวเต็งของจานนี้ต่างหาก น้ำสลัดบัลซามิก ที่ให้รสเปรี้ยวจากน้ำส้มสายชูที่ผ่านการหมักจากผลไม้ ซึ่งวิธีนี้ทำให้สลัดมีกลิ่นหอมแบบธรรมชาติ และมอบความสดชื่นให้กับคนกินมากกว่าเคย อีกอย่างที่ทำให้จานนี้สดใสขึ้น คือ มะม่วงน้ำดอกไม้ของไทย กินกับสลัดและน้ำสลัดรู้สึกแปลกตาไปอีกแบบ
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2019/07/07-wellington-1024x682.jpg)
เข้าถึงช่วงเวลากินมื้อหนักๆ กันบ้างแล้ว เราเดินทางมาถึง Main Course หรืออาหารจานหลักกันแล้วล่ะ ดังนั้นเราขอเน้นไปที่เมนูเนื้อๆ กันบ้างกับ ‘Beef Wellington’ เป็นเมนูที่ค่อนข้างหากินได้ยากในบ้านเราพอสมควร ซึ่งเชฟใช้เนื้อสันใน ราดด้วยปาเต ฟัวกรา และดักเซล แถมยังมีเห็ดสับละเอียด จากนั้นจะม้วนนำไปห่อในพัฟเพสตรี เข้าเตาอบทั้งชิ้น ทำให้เนื้อมีความละมุนลิ้น ชุ่มฉ่ำน้ำ อีกทั้งเข้ากันดีมากกับซอสไวน์มาเดรา เพื่อให้มีความหวานเล็กน้อยเข้ากับเนื้อสันใน
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2019/07/08-fishnchips-1024x750.jpg)
อีกหนึ่งเมนูหลักที่ได้ลิ้มลองต้องยกให้ ‘Deluxe Fish & Chips’ จานนี้มีสายเลือดจากประเทศอังกฤษโดยตรง เพราะใช้ปลาค็อคแอตแลนติกชุบแป้งไม่ธรรมดา เพราะเป็นแป้งหมักเบียร์จากนั้นนำลงไปทอดจนเหลืองกรอบ และนุ่มใน มีคู่เคียงเป็นมันฝรั่งทอด กับซอส 4 สหาย คือซอสมะเขือเทศ ซอสทาทาร์ ถั่วบด และน้ำส้มสายชูข้าวมอลต์ รสชาติแปลกลิ้นแต่กินกับปลาช่างลงตัว
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2019/07/09-store-1024x750.jpg)
เมนูที่บอกเพื่อนๆ ไปทั้งหมดนั้น ถือว่าแค่เรียกน้ำย่อยเท่านั้น เพราะทาง Harrods ยังรังสรรค์เมนูให้เลือกอีกมากมาย คัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดและรสชาติใกล้เคียงกับที่ลอนดอนเลยล่ะ แถมราคาไม่แรง ใครๆ ก็สามารถสัมผัสทั้งรสชาติของอาหาร และบรรยากาศดินเนอร์ฉบับผู้ดีอังกฤษได้ รู้แบบนี้แล้วไปสัมผัสรสชาติที่สุดจะบรรยายได้ที่ Harrods Paragon ชั้น G สยามพารากอน หรือที่ Harrods The Plantation Rooms ชั้น 2 เซ็นทรัลเอ็มบาสซี และ Harrods Cafe ชั้น G เอ็มควอเทียร์ เอาเป็นว่าหากมีโอกาสได้ไปเดินเล่นแล้ว หลายคนที่อาจเคยมองว่า Harrods เป็นแค่ร้านขนม ต้องลองเดินเข้าไปดูเมนูอาหารมีสไตล์คอนเทมโพรารีออลเดย์ไดนิง ที่รอให้ทุกคนลิ้มลอง…