ระหว่างการประชุมด้านสภาพภูมิอากาศครั้งสำคัญหรือ COP26 ในเมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกแห่งสหประชาชาติ (WMO) ได้เปิดเผยว่า ล่าสุด ‘ก๊าซเรือนกระจก’ หรือระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลก ได้ทุบสถิติสูงสุดในรอบ 3 – 5 ล้านปี
โดยทาง WMO เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2015 ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลกพุ่งสูงถึงระดับ 400 ส่วนต่อล้านส่วน หลังจากนั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาโดยตลอด จนกระทั่งปีนี้ระดับดังกล่าวมีมากถึง 413.2 ส่วนต่อล้านส่วน ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่ายุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม (ระหว่างปี 1850 – 1900) ถึง 149%
WMO แสดงความกังวลอย่างมาก เพราะระดับก๊าซเรือนกระจกเพิ่มสูงขึ้น ทั้งๆ ที่ในปี 2020 ที่โลกเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 การล็อกดาวน์และมาตรการต่างๆ ส่งผลให้ทั่วโลกปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 5.6%
แต่ทาง WMO ก็ได้อธิบายว่า สัดส่วนที่ลดลงเมื่อปีที่แล้วเทียบไม่ได้กับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากกิจกรรมของมนุษย์ อย่างเช่น การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การทำปศุสัตว์เชิงอุตสาหกรรม และการตัดไม้ทำลายป่า
WMO จึงเตือนว่า อุณหภูมิของโลกจะร้อนขึ้นไปอีกจนทะลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ใน ‘ข้อตกลงปารีส’ (Paris Agreement) ที่พยายามรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 – 2 องศาเซลเซียส ของอุณหภูมิโลกในช่วงยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมด้านผลการวิเคราะห์ของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ชี้ว่า อุณหภูมิของโลกกำลังร้อนขึ้นและจะแตะ 2.7 องศาเซลเซียส ซึ่งจะตามมาด้วยผลกระทบทำลายล้างอย่างมหาศาล
เพื่อป้องกันผลกระทบครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ ทาง WMO จึงแนะนำว่าโลกจำเป็นต้องทบทวนระบบขนส่ง ระบบพลังงาน ระบบอุตสาหกรรมใหม่อีกครั้ง และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจะต้องทำได้ทั้งในแง่งบประมาณและในเชิงเทคนิค เพราะตอนนี้โลกไม่มีเวลาเหลือแล้ว
Sources :
BBC | t.ly/bKF1
Reuters | t.ly/wT4f
Writer
