หากพูดถึงการ์ตูนอานิเมะญี่ปุ่นสักเรื่องที่ถ่ายทอดความเป็นไปของชีวิตอันเรียบง่าย เป็นไปไม่ได้เลยที่เวลานี้จะไม่พูดถึง Frieren
เพราะอานิเมะจำนวน 28 ตอนเรื่องนี้ได้พร่ำสอนเรื่องราวในชีวิตที่พวกเราต่างต้องพบเจอ ผ่านการเดินทางผจญภัยในโลกเวทมนตร์แฟนตาซีของเหล่าผู้กล้า ที่ดูไกลตัวมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆ ได้อย่างแนบเนียน ไม่รู้สึกเคอะเขินแต่อย่างใด ซึ่งน่าแปลกใจว่าเหตุใดเรื่องราวแฟนตาซีเหนือจินตนาการ ทั้งการไปปราบจอมมาร นักรบผู้แกร่งกล้า คนแคระยอดนักสู้ นักพรตมากวิชา และจอมเวทผู้มีพลังมหาศาล จึงเข้าถึงหัวอกหัวใจคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตในโลกไร้ซึ่งความวิเศษได้อย่างอ่อนโยน
ท่ามกลางกระแสของแอนิเมชันแนว ‘อิเซไก’ ที่บรรดาตัวละครเอกกลับไปเกิดใหม่ในโลกต่างแดนที่เต็มไปด้วยความแฟนตาซี การผจญภัยท่ามกลางสิ่งวิเศษ และการทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่ แอนิเมชันอย่าง Frieren กลับนำเสนอเรื่องราวเดียวกันในรูปแบบการผจญภัยที่แตกต่างออกไป และเข้าถึงผู้คนได้อย่างเรียบง่าย อย่างที่อานิเมะแฟนตาซีเรื่องอื่นๆ ไม่เคยทำมาก่อน จนชวนให้น่าค้นหาว่าสิ่งใดกันคือความเป็นมนุษย์ที่ผู้ชมประทับใจในการผจญภัยของแอนิเมชันเรื่องนี้
เวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราถึงต้องทำให้มีความหมาย
การผจญภัยของ Frieren เริ่มต้นด้วยเรื่องราวการเดินทางของ ‘ฟรีเรน’ นักเวทสาวเผ่าเอลฟ์กับเหล่าผู้กล้า ประกอบไปด้วยวีรบุรุษ ‘ฮิมเมล’, นักบวช ‘ไฮเตอร์’ และนักรบคนแคระ ‘ไอเซ็น’ ที่หากเป็นแอนิเมชันเรื่องอื่นๆ คงจะเล่าด้วยการที่พวกเขาทั้งสี่เริ่มเดินทางไปปราบราชาปีศาจ แต่ Frieren กลับเริ่มต้นเรื่องราวด้วยช่วงเวลาหลังการปราบราชาปีศาจที่สำเร็จลุล่วง และสมาชิกแต่ละคนแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตนเอง ฟรีเรนจึงออกเดินทางเรื่อยเปื่อยค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่มีอยู่ทุกรูปแบบ
ทว่าเมื่อถึงเวลาที่สมาชิกทั้ง 4 คนสัญญาว่าจะกลับมาพบกันอีกครั้ง เพื่อดูฝนดาวตกในรอบ 50 ปีดั่งที่เคยดูด้วยกันเมื่อครั้งปราบราชาปีศาจสำเร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 5 ทศวรรษ เธอได้พบฮิมเมลอีกครั้งในรอบหลายสิบปีในร่างของชายชราและน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
แม้ว่าพวกเขาจะได้ดูฝนดาวตกร่วมกันอีกตามที่สัญญา แต่นั่นเป็นเพียงชั่วขณะสุดท้ายที่ฟรีเรนได้ใช้ร่วมกับฮิมเมล ก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไป ในขณะที่คนมากมายเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของวีรบุรุษผู้นำมาซึ่งความสงบสุข คนที่เสียใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นสหายร่วมการผจญภัยร่วมใช้ชีวิตกว่าทศวรรษอย่างฟรีเรน ทว่าความเสียใจนั้นไม่ได้มาจากการจากไปของเพื่อนคนสำคัญ แต่มาจากความรู้สึกที่ว่า ตลอดการเดินทางร่วมกันมา เธอแทบไม่ได้รู้จักอะไรในตัวเขาเลย
ด้วยความที่เป็นเอลฟ์มีอายุยืนยาวหลายพันปี วันเวลาจึงเป็นอะไรที่แทบจะไม่มีความหมายสำหรับฟรีเรน ช่วงเวลาหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี ผ่านไปราวชั่วพริบตา การใช้ชีวิตอย่างเอื่อยเฉื่อยแบบไม่สนใจเวลา ทำให้เธอหลงลืมความเป็นมนุษย์ผู้มีช่วงชีวิตที่แสนสั้น จนไม่ได้จดจำช่วงเวลาที่ผ่านมาร่วมกันอย่างมีความหมาย
ความเป็นเอลฟ์ในตัวฟรีเรน ว่ากันตามตรงไม่ต่างจากมนุษย์สักเท่าไหร่ เมื่อวัยเยาว์เราต่างรู้สึกว่าอยากเติบโต อยากก้าวผ่านช่วงวัยเหล่านี้ให้พ้นๆ ไปเหลือเกิน แต่เมื่อเติบโตจนได้ลิ้มรสชาติของการเป็นผู้ใหญ่ เราทั้งหลายล้วนแล้วแต่ถวิลหาห้วงเวลาและสิ่งต่างๆ ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว (Nostalgia) จนความทรงจำเหล่านั้นกลายเป็นช่วงเวลาอันหอมหวานเมื่อได้กลับไปนึกถึง
สิ่งที่ฟรีเรนต้องการนั้นไม่แตกต่างกัน เธอต้องการจะย้อนกลับไปสู่ห้วงเวลาที่ได้เดินทางกับสหายเหล่าผู้กล้าอีกครั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้สึกของช่วงเวลาที่หล่นหายไป และสัมผัสความรู้สึกเดิมๆ ที่เธอไม่ได้ใส่ใจอีกครั้ง แต่เช่นนั้นเอง หากมัวแต่หวนคิดถึงวันวานในอดีตก็จะทำให้หลงลืมวันเวลาในปัจจุบันไปอีกครา
สิ่งนี้คือสิ่งที่ย่นระยะความต่างของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ในโลกแฟนตาซีและชีวิตของมนุษย์ในโลกแห่งความจริง เพราะแม้ไม่ได้มีชีวิตอันยืนยาวเฉกเช่นฟรีเรน แต่มนุษย์เราก็กลับหลงลืมเวลาและให้ความสำคัญต่อเวลาที่ไม่เท่ากันเช่นกัน ในขณะที่ฟรีเรนท่องไปในดินแดนต่างๆ ศึกษาเวทมนตร์ได้ด้วยเวลาที่แทบไม่มีจุดสิ้นสุด มนุษย์เรานั้นก็ใช้เวลาไปอย่างฟุ่มเฟือย จากการทำงานบ้าง จากภาระหน้าที่ จากไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งแน่นอนว่าล้วนแล้วแต่ต้องเคยทำให้ใครบางคนหล่นหายไปในกาลเวลากันอย่างเลี่ยงมิได้ เช่นคนที่ก้มหน้าก้มตาทำงาน กว่าจะรู้ตัว คนในครอบครัว พ่อแม่ ลูกหลาน ก็อายุร่วงโรยไปอย่างรวดเร็ว หรือกระทั่งคนที่มีความฝันแต่ปล่อยเวลาไหลผ่านไป ไม่ยอมลงมือทำ
ทุกห้วงเวลาล้วนไม่คอยใคร แต่ระหว่างทางก็สำคัญไม่แพ้กัน
คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันประสบปัญหาไม่ต่างจากฟรีเรน แม้ว่าจะไม่ได้มีชีวิตยืนยาวเช่นเอลฟ์ก็ตาม เพราะหลายคนไม่สามารถเพ่งพินิจอยู่กับชั่วขณะโมงยามที่กำลังเกิดขึ้นได้นัก ด้วยความรวดเร็วของโลกโซเชียลที่ทำให้เราเข้าถึงทุกอย่างได้ง่ายดายเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการมีสมาธิจดจ่อกับการดูหนังที่ต้องมีโทรศัพท์มือถือมาขัดจังหวะ การไปคอนเสิร์ตที่จดจ่ออยู่กับการถ่ายสตอรีจนบางครั้งไม่มีความทรงจำเหล่านั้นอยู่เลย เหลือเพียงแค่ภาพถ่ายและคลิปวิดีโอ
ในโลกของฟรีเรนนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือมาเป็นสิ่งเร้าให้หลงลืมการใช้ชีวิตอยู่กับชั่วขณะปัจจุบัน แต่การมีชีวิตอันยืนยาวนานแสนนานนั้นก็ทำให้เธอแทบไม่ได้ใส่ใจวินาทีเล็กๆ น้อยๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งไม่ค่อยต่างจากสิ่งที่โลกสมัยใหม่กำลังมอบให้แก่มนุษย์ที่มีชีวิตอันแสนสั้นเสียอย่างนั้น
แอนิเมชัน Frieren นั้นดำเนินเรื่องด้วยการนำเสนอสิ่งต่างๆ อย่างราบเรียบ เหตุการณ์ที่ค่อยๆ ผ่านไปทีละเล็กทีละน้อย และหลายสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้อยู่ในสิ่งสลักสำคัญของเนื้อเรื่อง ซึ่งคนดูหลายคนอาจจะรู้สึกว่า “ให้ดูไปทำไม จะเข้าเรื่องเมื่อไหร่ จะสนุกกี่โมง ไหนฉากตื่นตาๆ แฟนตาซี” แต่การนำเสนอชีวิตประจำวันอันธรรมดาในโลกแฟนตาซีเช่นนี้คล้ายคลึงกับการดูหนัง Slice of Life ที่โดดเด่นในการนำเสนอภาพชีวิตอันธรรมดาสามัญในแต่ละวันของคนธรรมดาอย่างเราๆ
ยกตัวอย่าง ผลงานของผู้กำกับ Yasujirō Ozu ที่นำเสนอเรื่องราวชีวิตประจำวันอันราบเรียบทั่วไปที่ทุกคนต่างพบเจอ ซึ่งเห็นเด่นชัดในภาพยนตร์อย่าง Tokyo Story (1953) ที่นำเสนอภาพของความสัมพันธ์ภายในครอบครัวระหว่างพ่อแม่ในวัยชราและลูกๆ ที่กำลังเติบโตสู่วัยทำงานที่ขับเคลื่อนสังคมญี่ปุ่น สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปของสังคมญี่ปุ่นในช่วงสร้างชาติ รวมไปถึงช่วงวัยที่เปลี่ยนแปลงกันไป ทำให้ความเป็นครอบครัวค่อยๆ เหินห่างกันไปทุกที โดยผู้ชมมีหน้าที่ค่อยๆ จับจ้องช่วงเปลี่ยนผ่านอย่างน่าใจหายไปทีละเล็กทีละน้อย
หรืองานของผู้กำกับชื่อดัง Hirokazu Kore-eda ที่ก็ได้รับอิทธิพลมาจากโอสุเช่นกัน ซึ่งหลายคนอาจจะรู้จักเขาจากภาพยนตร์เรื่อง Nobody Knows (2004), Shoplifters (2018) หรือ Monster (2023) เมื่อปีที่ผ่านมา แต่หนังที่สะท้อนความเป็น Slice of Life ที่สุด เห็นจะเป็น Still Walking (2008) ที่ฉายภาพเรื่องราวช่วงเวลาที่ครอบครัวกลับมาเจอกันในวันครบรอบวันตายของลูกชายคนโต การกลับมาพบกันในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันที่หนังนำเสนอนั้น เมื่อสิ่งต่างๆ ดำเนินไปเฉกเช่นชีวิตประจำวันที่เราๆ ต่างใช้กัน มันกลับสะท้อนภาพของความสัมพันธ์ ความเป็นมนุษย์ และความเป็นไปของโลกขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ กลายเป็นหนังอันเรียบง่ายธรรมดาโดยไม่มีจุดมุ่งหมายหรือสิ่งยิ่งใหญ่อะไรเกิดขึ้น แต่กลับเต็มไปด้วยสารแห่งชีวิตที่ซ่อนไว้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ภาพยนตร์อีกเรื่องที่ผู้ชมสามารถค้นหาความงดงามของความปกติธรรมดาได้ผ่านการจับจ้องช่วงเวลานั้นๆ คือหนังเรื่องล่าสุดของ Wim Wenders อย่าง Perfect Days (2023) ที่ก็ใช้วิธีการจับจ้องอยู่กับชั่วขณะโมงยามของพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำและผู้คนที่เขาพบเจอ
เมื่อย้อนกลับมาดูการเดินทางของฟรีเรน ที่ค่อยๆ ท่องเที่ยวแวะเวียนไปกับสิ่งต่างๆ หยุดจับจ้องเหตุการณ์ในชั่วขณะ และออกย่ำก้าวออกไปโดยไม่เร่งรีบ กลายเป็นการนำเสนอที่ขัดกับความต้องการของยุคสมัยที่ทุกอย่างเคลื่อนไปด้วยความเร็ว การนำเสนอทุกอย่างควรจะจบภายในไม่กี่นาที และแอนิเมชันหลายเรื่องก็เข้าสู่การต่อสู้เลยทันทีในทุกๆ ตอน แต่ฟรีเรนกลับทำให้เห็นว่ามนุษย์เรานั้นไม่ใช่แบบนั้น แม้ว่าจะมีชั่วโมงชีวิตอันแสนสั้น แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เราได้ประสบพบเจอล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้คนที่เราได้พบพาน ผู้คนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นการพบกันได้เพียงหนเดียวเท่านั้น ครั้งต่อไปอาจจะไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
แม้ว่าตัวเธอจะเป็นเอลฟ์ที่อยู่ยืนยาวมาหลายพันปี จนรู้สึกว่าสามารถรีบเร่งเดินทางไปทำภารกิจให้จบๆ โดยเร็วได้เช่นกัน แต่การตระหนักถึงความสำคัญในการใช้เวลาไปกับชั่ววินาทีนั้นๆ ก็เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยเข้าใจมาก่อน และก็ได้ร่วมสัมผัสไปพร้อมๆ กับผู้ชม เมื่อได้เห็นตัวฮิมเมลที่เลือกเข้าไปช่วยเหลือทุกคนโดยไม่สนใจว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยมากเพียงใด ขอแค่ได้ช่วยทุกคนที่เขาพบเจอเป็นพอ นั่นทำให้เห็นว่าชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องของการไปถึงเป้าหมาย แต่เป็นการเก็บเกี่ยวสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางร่วมกันเสียมากกว่า
ทุกสิ่งล้วนแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ไม่ว่าใครก็ต้านทานไม่ได้
ตลอดการเดินทางต่อสู้ของฟรีเรนกับปีศาจมากมาย ล้วนแล้วแต่แสดงถึงความไม่จีรังของสิ่งต่างๆ ในการเดินทาง หนแรกเธอได้เดินทางร่วมกับสมาชิกผู้กล้า ฝ่าฟันกับเหล่าปีศาจที่แกร่งกล้ามากมาย กว่าจะใช้เวลาปราบพวกมันลงได้ก็นานโข
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เกิดเป็นการเดินทางครั้งใหม่เพื่อตามหาความรู้สึกที่หล่นหายไปในครั้งแรก แม้ว่าจะเดินทางด้วยเป้าหมายเดียวกัน เส้นทางหนทางแบบเดิม แต่กลับไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิมได้อีกแล้ว บรรดาสมาชิกผู้กล้าไม่สามารถมาร่วมการเดินทางกับเธอได้อีก จนต้องมีลูกศิษย์คนรุ่นใหม่และผู้ร่วมเดินทางหน้าใหม่เข้ามาแทนที่ ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางนั้นก็เปลี่ยนไป แม้จะพยายามทำให้ทุกสิ่งคล้ายกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น แต่แน่นอนว่าไม่สามารถใช้ใครคนอื่นมาทดแทนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นไปแล้วได้อีก ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้งจึงกลายเป็นสิ่งใหม่ไปโดยปริยาย
แม้แต่เวทมนตร์ที่เคยแข็งแกร่งเมื่อหลายปีก่อน เมื่อเวลาผ่านพ้นไปกลับไม่มีความหมายอันใดอีกต่อไป เหล่าปีศาจที่เคยต่อกรได้อย่างยากลำบากกลับกลายเป็นผู้ที่ฝีมือธรรมดาสามัญไปในปัจจุบัน ทั้งนี้ ด้วยเวลาที่ผ่านพ้น ผู้คนเริ่มที่จะศึกษาสิ่งต่างๆ มากขึ้น ในขณะที่บรรดาปีศาจยังคงทระนงตนในวิชาเวทมนตร์ของตัวเอง เสมือนทักษะฝีมือที่เมื่อเวลาผ่านไป หากไม่พัฒนาตามให้ทันโลก ก็อาจถูก Disrupt และกลายเป็นทักษะที่ใช้งานไม่ได้ไปในที่สุด
เช่นเดียวกับยุคสมัยปัจจุบันที่เราต่างกลัวการมาถึงของเทคโนโลยีต่างๆ ว่าจะมาทำงานแทนที่ตัวเราหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นความหวาดกลัวที่ทุกคนพยายามจะหลีกหนี แต่มันก็เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่าไม่มีใครสามารถต้านทานสายธารแห่งกาลเวลาและความเปลี่ยนแปลงไปได้
ผู้คนล้วนต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สิ่งที่ผ่านพ้นเข้ามานั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่จะมาแย่งหน้าที่เราซะทีเดียว แต่อาจจะเป็นเครื่องมือให้สามารถพัฒนาตนเองได้ในอีกแง่หนึ่ง เช่นเดียวกับบรรดาความเชื่อหรือสิ่งที่ผู้คนในอดีตต่างเชื่อมั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อเวลาผ่านไปความเชื่อเหล่านั้นย่อมไม่สามารถต้านทานกระแสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกสมัยใหม่ได้ สิ่งต่างๆ ในอดีตมากมายอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเที่ยงแท้ และผู้คนรุ่นก่อนๆ จึงอาจจะต้องผลัดเปลี่ยนความต้องการของตนเอง และมอบการขับเคลื่อนความเป็นไปของโลกให้กับคนรุ่นถัดไป
เช่นเดียวกับสมาชิกผู้กล้าอย่างไฮเตอร์ แม้จะใช้ชีวิตเสเพลสนุกสนานอย่างเต็มที่ ต่อให้ตนเป็นพระแต่ก็มิได้ประพฤติตนอยู่ในระเบียบแต่อย่างใด เมื่อถึงวัยที่เริ่มแก่ชรา การพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งสุดท้ายอย่างการรับดูแลเด็กสาวสูญเสียพ่อแม่ไปอย่างเฟรุน และฝากฝังเธอไว้กับฟรีเรนเพื่อสืบทอดการเดินทางสู่คนรุ่นถัดไป ก็ดูเป็นสิ่งที่ฟรีเรนเองแทบไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้กับเพื่อนคนนี้ของเธอ
รวมไปถึงไอเซ็น ที่แม้ว่าสังขารจะยังดูเดินเหินผจญภัยได้มากกว่าสมาชิกคนอื่นๆ แต่เขาเองก็ไม่สามารถบ้าบิ่นได้เช่นเดิมอีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการฝากความกล้าไว้ในตัวเด็กหนุ่มอย่างสตาร์ค ผู้เคยหลีกหนีจากความกลัวของตนเอง แต่เมื่อความกล้าจากคนรุ่นก่อนที่ก็ล้วนแล้วแต่มีความกลัวเช่นกันถูกถ่ายทอดส่งต่อมา ความเชื่อมั่นจากคนรุ่นก่อนนี้เองที่ทำให้คนรุ่นถัดไปกล้าที่จะลุกขึ้นยืนหยัดได้ในที่สุด
เพียงช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกับใครสักคน ก็เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตสมบูรณ์
แม้ว่าทุกเรื่องราวการผจญภัยนั้นจะมีความสำคัญอยู่ที่เป้าหมายที่ต้องทำให้ลุล่วง แต่หลังจบการผจญภัยไป สิ่งเหล่านั้นกลับทำให้ฟรีเรนได้รู้สึกถึงความสำคัญของช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกับใครสักคนอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน คล้ายคลึงกับเวลาที่เราออกไปท่องเที่ยวแล้วมีความเศร้าหลังจากการเดินทางจบ (Post Vacation Blues)
เรื่องราวอดีตที่แสนหอมหวานยังช่วยให้เธอเห็นคุณค่าของการใส่ใจในการทำความรู้จักกันและกันมากขึ้น แม้ว่าบางเรื่องราวจะเป็นของผู้กล้าวีรบุรุษที่ผู้คนต่างรู้จักนับถือ แต่ก็มีมุมปกติธรรมดาที่จะรู้กันได้จากการใช้เวลาร่วมกันเท่านั้น เช่น ฮิมเมลที่ชอบ ‘หญ้าจันทร์คราม’ ดอกไม้ในบ้านเกิดตนเองที่สาบสูญไปแล้ว แม้ว่าจะมีรูปปั้นตั้งในหมู่บ้านให้ผู้คนระลึกถึงตัวเขาอยู่มากมาย แต่ฟรีเรนกลับเป็นคนเดียวที่รู้ถึงสิ่งนี้ และออกเดินทางตามหามัน นำมาสร้างเวทมนตร์ปลูกหญ้าจันทร์ครามรอบๆ รูปปั้นของเขา และการที่ฮิมเมลชื่นชอบเวทมนตร์เสกดอกไม้ในบรรดาเวทมนตร์ไร้สาระที่เธอเก็บรวบรวมเป็นงานอดิเรก ก็เป็นสิ่งที่เธอจดจำเกี่ยวกับเขาได้ขึ้นใจ
ในทีแรกฟรีเรนไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดของเพื่อนสมาชิกร่วมเดินทางของเธอนัก ขนาดว่าเธอตกใจที่เพื่อนคนอื่นเดาใจและจดจำเมนูอาหารที่เธอชื่นชอบได้ แต่เธอกลับไม่เคยใส่ใจใคร่รู้ถึงความชอบของคนอื่นเลย เมื่อเวลาที่พวกเขาจากไป เธอได้เห็นผู้คนมากมายชื่นชมเรื่องราวความกล้าหาญและสร้างรูปปั้นสรรเสริญพวกเขา แต่เธอกลับเป็นคนเดียวที่อยู่ตรงนั้นและรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขาจริงๆ
ผู้คนมากมายเชื่อว่าฮิมเมลสามารถดึงดาบผู้กล้าในตำนานที่ถูกปักอยู่บนหินออกมาใช้ปราบราชาปีศาจ แต่มีเพียงฟรีเรนที่ยังคงจดจำช่วงเวลานั้นได้ว่าเขาไม่ได้ดึงดาบออกมาแต่อย่างใด และดาบของฮิมเมลนั้นก็เป็นดาบธรรมดาประจำตัวเขามาตลอด สิ่งเหล่านี้ย้ำเตือนว่าทุกสิ่งอันและทุกผู้คนที่ถูกจารึกพูดถึงอาจมีการเสริมเติมแต่งเข้าไป จะมีก็แต่เพียงผู้ที่ได้ใช้เวลาร่วมกันเท่านั้นที่จะเก็บความทรงจำอันทรงคุณค่าของกันและกันไว้ แม้จะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยปานใดก็ตาม
และแม้ว่าการสร้างรูปปั้นจารึกของเหล่าผู้กล้าไว้ในพื้นที่ต่างๆ ที่พวกเขาได้ผ่านไปช่วยเหลือ ในสายตาคนทั่วไปอาจมองว่าเป็นการจารึกถึงความยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้สร้างให้แก่โลกใบนี้ แต่สำหรับตัวฮิมเมล การสร้างรูปปั้นไว้ตามหมู่บ้านต่างๆ ไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญไปกว่าการสร้างอนุสรณ์สถานให้ฟรีเรนได้รำลึกถึงการเดินทางร่วมกันของพวกเขา เพราะเขารู้ดีว่าตนเองจะจากไปก่อนในขณะที่ฟรีเรนจะยังคงมีชีวิตอยู่ยืนยาว รูปปั้นน่าจะเป็นสิ่งเดียวที่คงทนอยู่เคียงข้างเธอได้
ใจความสำคัญของแอนิเมชันเรื่องนี้อาจต้องการพาให้ผู้ชมได้ลองเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อทำความรู้จักกับใครสักคนที่อยู่เคียงข้างในชีวิตเรา และเดินทางร่วมกันไปอย่างไร้จุดหมาย เพราะในชีวิตจริงนั้นเมื่อทำภารกิจยิ่งใหญ่ลุล่วง เรื่องราวหลังจากนั้นจะไม่ได้จบลงแบบในแอนิเมชันเรื่องอื่นๆ แต่การเดินทางยังคงดำเนินต่อไปในชีวิตของเราเสมอ เช่นเดียวกับ Frieren ที่การเดินทางครั้งใหม่นี้เพิ่งจะเป็นแค่เพียงการเริ่มต้นทำความรู้จักชีวิต มากกว่าการจากลากันและกันเพียงเท่านั้น