Dubrovnik Game of Thrones - Urban Creature

“เราเชื่อว่าการเดินทางเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ทุกครั้งที่ก้าวแรกของการเดินทางเริ่มต้นขึ้น
ก็เหมือนกับโลกใบใหม่ของเรากำลังเกิดขึ้นเช่นกัน”

เราชื่อ ‘วี’ อาศัยและทำงานอยู่ที่มิลาน ประเทศอิตาลีมาประมาณ 3 ปีแล้ว ชอบออกไปนู่นไปนี่ เสพงานศิลป์ ชมเมืองที่มีสถาปัตยกรรมสวยๆ ซึ่งจุดหมายที่เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักครั้งนี้ เกิดจากแรงบันดาลใจหลังได้ดูซีรีส์ ‘Game of Thrones’ แบบมาราธอน เรียกว่าอินมากๆ และพอดีกับหน้าร้อนของที่นี่มีวันหยุดยาว ที่ให้ทุกคนออกไปพักผ่อนหย่อนใจกันถึง 1 อาทิตย์เต็ม ทำให้เรากับเพื่อนๆ อีก 3 คน ไม่รีรอที่จะแพ็กกระเป๋า หอบเอาแรงบันดาลใจออกเดินทางไปยังเมือง ‘ดูบรอฟนิก’ ประเทศโครเอเชีย อันเป็นที่ตั้งของสถานที่ถ่ายทำนครหลวง King’s Landing

‘ดูบรอฟนิก (Dubrovnik)’ หรือที่รู้จักด้วยสมญานาม ‘ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก’ หรือ ‘The Pearl of the Adriatic’ ซึ่งที่นี่เป็นเมืองท่า เจริญรุ่งเรืองทางด้านการค้าในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมานานนับพันปี แถมได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกแห่งหนึ่งของยูเนสโกด้วย ซึ่งการเดินทางมาเยือนดูบรอฟนิกถือว่าสะดวกสบายมาก เพราะมีสนามบินนานาชาติตั้งอยู่ที่นี่ แต่สำหรับใครที่อยากชิลๆ ซึมซับบรรยากาศของทะเลเอเดรียติก ก็สามารถเดินทางด้วยเรือยอช์ตหรือเรือเฟอร์รี จากท่าเรือเมือง ‘บารี (Bari)’ ประเทศอิตาลี มายังท่าเรือเมืองดูบรอฟนิกได้เลย แต่ด้วยความรีบร้อนของเราและผองเพื่อน จึงเลือกเดินทางด้วยเครื่องบินจากอิตาลีแทน และทันทีที่ได้เห็นเมืองดูบรอฟนิกในมุมสูง ผ่านกระจกเครื่องบินที่กำลังแล่นลงจอด เพลงของซีรีส์ก็ดังขึ้นมาในหัวทันทีเลยล่ะ

พวกเราเดินทางด้วยรถบัสจากสนามบินมาลงที่กลางเมือง เพื่อเอาสัมภาระไปเก็บเข้าที่พัก และด้วยความที่ภูมิประเทศของดูบรอฟนิกเป็นภูเขา เราจึงจำเป็นต้องเดินลัดเลาะเขาไต่กำแพงเมืองขึ้นไปยังโรงแรม แต่ก็ไม่ลืมที่จะชมความงามของเมือง แวะถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพเมืองดูบรอฟนิกในมุมยอดฮิต ซึ่งกว่าจะถึงโรงแรมก็ต้องปีนบันไดหลายขั้น พร้อมหอบกระเป๋าฝ่าไอแดดที่แผดเผา แต่พอได้เห็นเมืองจากมุมสวยๆ ก็แทบจะลืมความร้อนและความเหนื่อยล้าไปเลย บรรยากาศรอบข้างของเมืองดูบรอฟนิกเต็มไปด้วยบ้านเรือนละลานตา หลังคากระเบื้องสีส้มผสมเข้ากับกำแพงบ้านที่ถูกสร้างด้วยหิน ซึ่งสถาปัตยกรรมของเมืองชี้ให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของเมืองในสมัยก่อน เพราะนอกจากจะมีกำแพงเมืองที่สูงตระหง่านโอบล้อมรอบเมืองแล้ว ยังมีการสร้างพระราชวัง โบสถ์ วิหาร รวมถึงจัตุรัสต่างๆ ในตัวเมืองอีกด้วย

ทันทีที่เก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เราเดินเลาะมาเรื่อยๆ จนถึงอีกมุมยอดฮิตบริเวณทางเข้าเมือง ก็จะพบกำแพงหินสูงตั้งตระหง่านที่โอบล้อมไปด้วยน้ำทะเลสีคราม จนเข้ามาถึงด้านในของเมืองเก่า (Old Town) ทำให้เราได้พบกับความงดงามของหินอ่อนขัดเงา เมื่อกระทบกับแสงแดดเป็นภาพที่พวกเราประทับใจมากๆ และอย่างที่รู้กันว่าดูบรอฟนิกเป็นสถานที่ถ่ายทำของนครหลวง King’s Landing ศูนย์กลางแห่งอาณาจักรทั้ง 7 ในซีรีส์ Game of Thrones และด้วยความนิยมของซีรีส์ ทำให้ทางโครเอเชียจัดทำแผนที่ไกด์สำหรับนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจมาตามรอยซีรีส์ Game of Thrones โดยเฉพาะเลยล่ะ


ถึงแม้ว่าตัวเมืองจริงๆ อาจไม่ได้สวย อลังการ และชวนฝันเทียบเท่าที่เราเห็นในจอทุกประการ เพราะบางส่วนในซีรีส์มีการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกแต้มแต่งตัวเมืองขึ้นมาเพิ่มหลายอย่าง แต่ถึงอย่างนั้น ดูบรอฟนิกก็ยังคงสวยงามและมีมนตร์เสน่ห์ในแบบของมันเอง ในส่วนของพระราชวังเก่าอย่างพระราชวังเรกเตอร์ (Rector’s Palace) และพระราชวังสปอนซา (Sponza Palace) ก็เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานทั้งสไตล์กอทิก เรเนซองส์ และบาโรก สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 15 คล้ายกับเมืองเวนิส เพราะในอดีตมีการติดต่อค้าขายทางทะเลกับเมืองท่าอย่างเวนิส ในอิตาลี ทำให้สถาปัตยกรรมของทั้งสองเมืองมีความคล้ายคลึงกัน

การเดินเล่นในเมืองเก่าให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในยุคเก่า เราเดินผ่านบันไดหินสูงที่เป็นทางขึ้นโบสถ์เซนต์อิกเนเชียส (Saint Ignatius Church) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำฉาก ‘Cersei’s Walk of Shame’ ในซีซัน 5 แต่เสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพไว้เพราะนักท่องเที่ยวเยอะจนแทบไม่เห็นบันไดกันเลยทีเดียว และไฮไลต์อีกหนึ่งอย่างที่พลาดไม่ได้ก็คือการขึ้นไปเก็บภาพมุมสูงของเมืองบนหอระฆัง ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องปีนบันไดกันอีกรอบ แต่สายถึกอย่างเราก็ไม่วายที่จะหันมาสบตา และพยักหน้าพร้อมกัน ก่อนตัดสินใจนั่งพักยาวๆ ถ่ายรูปบันไดไว้เป็นที่ระลึก พร้อมสัญญาว่าจะกลับมาใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม (แอบกระซิบว่าถ้าเดินทางมาเที่ยวในช่วงที่ Game of Thrones กำลังออกอากาศอยู่ล่ะก็ อาจได้พบเห็นเหล่าทหารในชุดนักรบโรมัน และขบวนพาเหรดที่ออกมาสร้างสีสันให้นักท่องเที่ยวด้วยนะ)

พอหายเหนื่อยจากการเดินแล้ว เราก็ไม่พลาดไฮไลต์ที่เป็นสุดยอดของดูบรอฟนิก นั่นคือการล่องเรือชมกำแพงเมืองเก่า ถึงแม้อุณหภูมิจะเกือบ 40 องศาฯ ก็ไม่ทำให้ความตั้งใจของเราลดลง เมื่อล่องเรือออกมาเราก็ได้เห็นภาพกำแพงหินแกร่งทอดยาวลัดเลาะไปตามแนวภูเขาชายฝั่ง พร้อมป้อมปราการโบการ์ฟอร์ต (Bokar Fort) ที่ตั้งอยู่บนภูเขาหิน ซึ่งถูกใช้เป็นฉากหลังของกำแพงเมือง King’s Landing และภูเขาเป็นพื้นหลัง จนจินตนาการได้เลยว่าตัวเองเป็นข้าศึกที่กำลังจะเข้าตีเมือง


ถ้าพูดถึงในทางประวัติศาสตร์ กำแพงหินนี้มีความสำคัญมาก เพราะกำแพงเป็นแนวป้องกันข้าศึกทั้งจากทางทะเลและพื้นดิน มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งนอกเหนือจากกำแพงที่แข็งแกร่งแล้ว ยังมีหอคอยทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยม และป้อมปราการจำนวนมากแทรกตัวอยู่ ทำให้กำแพงหินนี้สามารถป้องกันศัตรูที่จะเข้ามารุกรานได้เป็นอย่างดี เดินมาจนเหนื่อยก็ถึงเวลาพักผ่อนหย่อนใจยามเย็น เราและเพื่อนทิ้งตัวนั่งเล่นกันริมชายฝั่ง มองคุณลุงที่กำลังนั่งตกปลาอย่างสบายใจ พร้อมกับน้องแมวเจ้าถิ่นที่แอบมาให้กำลังใจอยู่ห่างๆ เป็นภาพความสุขที่ชุ่มฉ่ำหัวใจมากจริงๆ


สำหรับใครที่เป็นแฟนตัวยงของซีรีส์ Game of Thrones เมืองดูบรอฟนิกก็เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่ควรค่าแก่การมาเยือน และจินตนาการว่าตัวเองคือหนึ่งในประชาชนของ King’s Landing แบบฟินๆ แถมยังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมอันล้ำค่าระดับโลก ที่ยังรอให้มาสัมผัสด้วยตาของคุณเอง


Sources :
Kings Landing Dubrovnik | bit.ly/3R7Q3yF
The Whole World Is A Playground | bit.ly/2Eas8eB 
2baht | bit.ly/3AFzrJ7

Writer

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.