เรียนรู้สิ่งแวดล้อมในเมืองผ่านงาน ดีค้าบ เฟสติวัล - Urban Creature

เวลาได้ยินเรื่องสิ่งแวดล้อม เรามักมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว เพราะคาร์บอนไดออกไซด์เอย ไหนจะก๊าซเรือนกระจกเอย มนุษย์ตัวเล็กๆ ในเมืองจะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนโลกที่กว้างใหญ่ได้กันนะ

แต่บ้านปูไม่ได้คิดเช่นนั้น เพราะตลอด 20 ปีที่ผ่านมา บ้านปูร่วมกับคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดโครงการค่ายเยาวชนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เพาเวอร์กรีน หรือ Power Green Camp ภายใต้แนวคิด ‘วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม-เรียนรู้สู่การปฏิบัติ’ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมให้เด็กๆ ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาและดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อค่ายนี้กันมาบ้าง เพราะเป็นโครงการที่จัดมาตั้งแต่ปี 2549 และในสองทศวรรษที่ผ่านมานี้ ค่ายเพาเวอร์กรีนได้พัฒนาผู้นำเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 1,200 คนแล้ว

เพื่อเฉลิมฉลอง 20 ปีของโครงการเพาเวอร์กรีน บ้านปูได้จัดงาน ‘ดีค้าบ เฟสติวัล’ (Decarb Festival) โดยเปิดพื้นที่ให้เยาวชนเพาเวอร์กรีนตั้งแต่รุ่นที่ 1 ถึงรุ่นปัจจุบันมาร่วมแสดงพลังผ่านกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เวิร์กช็อปรักษ์โลกจากเยาวชนเพาเวอร์กรีน รวมทั้งมีเวทีทอล์กจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม เยาวชนค่ายเพาเวอร์กรีน และอินฟลูเอนเซอร์สายกรีน นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมช่วยโลก ทั้งแบตเตอรี่ที่สามารถกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ไว้ใช้งานในบ้าน เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle: UAV) และห้องทดลองโมเดลจำลองพลังงานทดแทนในสวน

ถ้าอยากรู้ว่าทำไมโครงการนี้ถึงดำเนินการมายาวนานถึง 20 ปี ตามคอลัมน์ One Day With… ไปสำรวจงานดีค้าบหนึ่งวันเต็มๆ กัน!

เชื่อมโยงภารกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ : รัฐ-การศึกษา-เอกชน

banpu บ้านปู ดีค้าบ เฟสติวัล พลังงาน ค่ายเพาเวอร์กรีน รักษ์โลก ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม

เมื่อพูดถึงภารกิจด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของไทย ประเทศเรา มีกองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หรือกรมลดโลกร้อนที่มีอำนาจหน้าที่ในการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในการลดก๊าซเรือนกระจก การประเมินการปล่อย และกักเก็บก๊าซเรือนกระจก โดย ‘ศิวัช แก้วเจริญ’ ผู้อำนวยการกองดังกล่าวได้เข้าร่วมเสวนาในงานนี้ และพูดถึงภารกิจลดคาร์บอนของประเทศไทยว่า กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเดิมคือกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งเริ่มต้นจากกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) กำหนดแผนให้ทั้งโลกต้องตื่นตัว

ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว ขยายพื้นที่สีเขียวและเพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อลดอุณหภูมิและดูดซับคาร์บอน ควบคู่กับแผนลดก๊าซเรือนกระจกที่ตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอน 30–40% ภายในปี 2030 และเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 ด้วยแผนปฏิบัติการที่ทุกภาคส่วนมีเป้าหมายและทิศทางร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการปรับตัวต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง

อย่างไรก็ตาม ภารกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำไม่อาจขับเคลื่อนโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในส่วนของภาคการศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยมหิดลมีการศึกษาการใช้เทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ๆ เพื่อช่วยลดคาร์บอนและอุณหภูมิของโลก

‘ผศ. ดร.อิทธิโชติ จักรไพวงศ์’ รองอธิการบดีฝ่ายกายภาพและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า ทางมหาวิทยาลัยมหิดลมีเป้าหมาย ภายในปี 2050 จะต้องลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์ จึงเกิดเป็นการทำงานร่วมกันที่ภาครัฐต้องเตรียม พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ส่วนภาคการศึกษาก็ต้องเตรียมบุคลากร เครื่องมือ และข้อมูลให้พร้อม เพื่อให้ความรู้กับนิสิต นักศึกษา รวมทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน

จะลดคาร์บอนได้ อาจต้อง ‘ไม่สะดวก’

banpu บ้านปู ดีค้าบ เฟสติวัล พลังงาน ค่ายเพาเวอร์กรีน รักษ์โลก ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม

ผศ. ดร.อิทธิโชติ เล่าเพิ่มในประเด็นการลดคาร์บอนว่า การที่ประเทศจะลดคาร์บอนได้นั้นต้องเกิดจากอะไรที่ ‘Inconvenient’ หรือไม่สะดวกแน่นอน

ยกตัวอย่าง การลดใช้ไฟฟ้าในมหาวิทยาลัยนั้นเป็นเรื่องยากมาก การจัดการจะทำแค่ปิดไฟเมื่อไม่ใช้ หรือปิดแอร์หลังออกจากห้องไม่ได้แล้ว แต่ควรเพิ่มไปถึงช่วงเวลากลางวันที่ต้องปิดแอร์หนึ่งชั่วโมงเพื่อลดการใช้พลังงาน อย่างจริงจังด้วย ซึ่งก็จะกระทบต่อวิถีชีวิตหรือความปกติที่คุ้นชินกัน รวมถึงในฐานะสถาบันการศึกษา การส่งต่อองค์ความรู้และบอกเล่าสถานการณ์สิ่งแวดล้อมปัจจุบันให้คนในวงกว้าง ตระหนักรู้นับเป็นเรื่องสำคัญมากเช่นกัน และในบางบริบท อาจจำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเชิงลึกและข้อเท็จจริงมากกว่าการเล่าเรื่องราวในรูปแบบเดิม เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ผศ. ดร.อิทธิโชติ อธิบาย

banpu บ้านปู ดีค้าบ เฟสติวัล พลังงาน ค่ายเพาเวอร์กรีน รักษ์โลก ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม

‘สินนท์ ว่องกุศลกิจ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เล่ามุมมองเป้าหมายการลดคาร์บอนของภาคเอกชนว่า บริษัทบ้านปูได้ตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ผ่านการลดคาร์บอน ลงทุนในโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Sequestration : CCUS) การฟื้นฟูป่าไม้ในพื้นที่รอบเหมืองที่อินโดนีเซีย และการนำเอา AI และเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพและลดคาร์บอนในการดำเนินธุรกิจ

เขามองว่า ภาคเอกชนต้องเป็นคนเริ่มต้นสร้างสมดุลระหว่างไฟฟ้าสีเขียว ความเสถียรของไฟฟ้าและราคาไฟฟ้า

“ปัจจุบันบ้านปูกำลังเดินหน้าลงทุนในโครงการพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งการก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มแห่งใหม่ในประเทศจีน และการขยายธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) ในประเทศญี่ปุ่น พร้อมกันนี้ เรายังศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต เช่น พลังงานไฮโดรเจนและพลังงานนิวเคลียร์ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในระยะยาว ในขณะเดียวกัน เรายังคงมุ่งมั่นในการลดการปล่อยคาร์บอนในธุรกิจหลักอย่างธุรกิจเหมืองและก๊าซธรรมชาติ ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม บ้านปูเชื่อว่าการมีแหล่งพลังงานที่หลากหลายและสมดุล คือกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานควบคู่ไปกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน” สินนท์กล่าว

banpu บ้านปู ดีค้าบ เฟสติวัล พลังงาน ค่ายเพาเวอร์กรีน รักษ์โลก ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม

ขยับออกจากภายในประเทศไปพูดคุยถึงเหล่าเพื่อนบ้านในอาเซียนกันบ้าง ว่าแต่ละประเทศมีความคล้ายหรือความต่างกันอย่างไร และประเทศไทยอยู่ตำแหน่งไหนในกระดานเรื่องสิ่งแวดล้อมของภูมิภาค

ศิวัชเล่าว่า ในฐานะภาครัฐต้องยอมรับว่าเรายังช้ากว่าประเทศอื่น แต่ได้หารือกันแล้วว่า เราควรกำหนดเป้าหมายแบบไหน เพราะถ้าประกาศเป้าหมายไปแล้วต้องทำให้ได้ ตอนนี้จึงตั้ง Net Zero ที่ปี 2065 ซึ่งช้ากว่าพม่าที่ตั้งไว้ในปี 2045 เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย ปี 2050 และอินโดนีเซียที่ปี 2060

ความยากคือ กิจกรรมที่นอกเหนือจากพลังงาน เช่น ภาคเกษตร ปศุสัตว์ ​การปลูกข้าว จะได้รับผลกระทบเยอะ ซึ่งภาครัฐต้องมองให้รอบด้านทั้งเป้าหมายการลดคาร์บอนและเรื่องเศรษฐกิจร่วมกัน ไป ถ้าลดคาร์บอนแบบเฉียบพลันทันทีแต่กลับกระทบต่อราคา ทำให้สินค้าส่งออกไม่ได้ ก็ไม่เป็นเรื่องดีเช่นกัน

เขาเล่าเสริมว่า ความจริงถ้าได้เงินสนับสนุนจากต่างประเทศก็อาจช่วยเร่งให้กระบวนการเร็วขึ้นได้ ซึ่งหากมีเป้าหมายใหม่ก็จะประกาศใหม่ได้เรื่อยๆ เช่น ถ้าได้รับการสนับสนุน เป้าหมายที่วางไว้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเร็วขึ้น 15 ปี เป็นปี 2050

ศึกษาโมเดลลดคาร์บอนจากต่างประเทศ

banpu บ้านปู ดีค้าบ เฟสติวัล พลังงาน ค่ายเพาเวอร์กรีน รักษ์โลก ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม

สินนท์เล่าถึงโมเดลประเทศอื่นๆ อย่างอเมริกา ยุโรป หรือจีน ที่เอาจริงเอาจังกับประเด็นนี้ เช่น ใน EU มี Carbon Tax ที่สูงมาก ส่วนจีนที่มีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะทำอย่างไรให้มีพลังงานใช้เพียงพอและเสถียร เขาจึงทำถ่านหินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงระบบแบตเตอรี่จากพลังงานสะอาด

ทั้งสามภาคส่วนได้ร่วมกันฝากถึงเยาวชนสั้นๆ โดยภาคการศึกษาอยากให้ทุกคนรู้ถึงบทบาทของตนเอง ภาพรวมของโลก ตั้งคำถามว่าใช้ทรัพยากรโลกเกินกว่าค่าเฉลี่ยหรือยัง ถ้าองค์กรใช้มากเกินไป จะเปลี่ยนจากตัวเราและองค์กรของเราได้อย่างไร

ส่วนภาครัฐมองว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ไขแล้วเห็นผลในทันที CO₂ ที่ถูกปล่อยออกไปจะไม่สลายตัวอย่างรวดเร็ว หากแต่จะคงอยู่ในชั้นบรรยากาศและส่งผลกระทบต่อภูมิอากาศของโลกในระยะยาว โดยมีอายุเฉลี่ยตั้งแต่หลายสิบปีไปจนถึงหลายร้อยปี นั่นหมายความว่า การตัดสินใจในวันนี้จะส่งผลต่อสภาพแวดล้อมของโลกอีกหลายชั่วอายุคน อนาคตของโลกจึงขึ้นอยู่กับความร่วมมือของคนรุ่นใหม่ในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง

ด้านบ้านปูเชื่อมั่นว่า ความเปลี่ยนแปลงสามารถเริ่มต้นได้จากแต่ละบุคคล โดยเฉพาะในเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อม ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เห็นพัฒนาการด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรม และยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของเยาวชนและคนรุ่นใหม่ ที่จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืนต่อไป

ค่ายเพาเวอร์กรีน สร้างพลังเยาวชนด้วยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม

banpu บ้านปู ดีค้าบ เฟสติวัล พลังงาน ค่ายเพาเวอร์กรีน รักษ์โลก ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม

หลังจากเต็มอิ่มกับองค์ความรู้และความร่วมมือของทั้งสามภาคส่วน รัฐ-เอกชน-การศึกษา งานดีค้าบ เฟสติวัล ยังมีอีกเวทีเสวนาที่น่าสนใจเกี่ยวกับค่ายเพาเวอร์กรีน ที่ชวน ‘รัฐพล สุคันธี’ ผู้อำนวยการสายอาวุโส-สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ‘รศ. ดร.นพพล อรุณรัตน์’ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ‘หมอเน๋ง’ หรือ ‘ศรัณย์ นราประเสริฐกุล’ สัตวแพทย์และนักแสดงผู้มีแพสชันด้านสิ่งแวดล้อม ‘ว่าที่ร้อยตรีอัครพันธ์ ทวีศักดิ์’ ตัวแทนศิษย์เก่าเยาวชนค่ายเพาเวอร์กรีน รุ่นที่ 12 และ ‘สิริราช ยานะ’ ตัวแทนศิษย์เก่าเยาวชนค่ายเพาเวอร์กรีน รุ่นที่ 17 มาพูดคุยกัน

เริ่มต้นอุ่นเครื่องเวทีนี้ด้วยการพูดคุยสั้นๆ ถึงสาเหตุที่ค่ายนี้ยังส่งต่อความรู้ผ่านการปฏิบัติมากว่าสองทศวรรษ

“ที่ค่ายเพาเวอร์กรีนอยู่มาได้นานเพราะมีจุดเด่นคือ การทำค่ายสิ่งแวดล้อมโดยเอาวิทยาศาสตร์เป็นตัวตั้ง เน้นการเรียนรู้สู่การปฏิบัติ ลงมือทำ ลงภาคสนาม สำรวจพื้นที่จริงทุกๆ ปี และเลือกประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับเทรนด์ของเยาวชนในช่วงนั้น” รัฐพลอธิบาย

banpu บ้านปู ดีค้าบ เฟสติวัล พลังงาน ค่ายเพาเวอร์กรีน รักษ์โลก ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ค่ายเพาเวอร์กรีนไม่เคยหยุดนิ่ง และเพิ่มความเข้มข้น ส่งเสริมความรู้ให้เยาวชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ก็มีน้องๆ สมัครเข้ามากว่า 500 คน ก่อนคัดเหลือ 50 คน
โดยน้องๆ ในค่ายต่างเป็นแกนนำเยาวชนในจังหวัดหรือแกนนำเยาวชนของโรงเรียน ที่หลังจบค่ายไปแล้วก็นำความรู้ไปส่งต่อในจังหวัดหรือโรงเรียนตัวเอง จนปัจจุบันมีแกนนำเยาวชนกว่า 1,200 คน

จากนั้นรัฐพลย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นว่า จากความสำเร็จตลอด 20 ปีมานี้ อะไรเป็นจุดแรกเริ่มที่บ้านปูตัดสินใจจับมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล สร้างสรรค์ค่ายดีๆ แบบนี้ขึ้นมา

ผู้อำนวยการสายอาวุโส-สื่อสารองค์กรบ้านปูเล่าว่า มหิดลเป็นพาร์ตเนอร์ที่สำคัญ เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่ให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน และเป็นคณะสิ่งแวดล้อมคณะแรกของประเทศไทยด้วย การร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ที่ถูกต้องจึงนำมาสู่ความสำเร็จกว่าสองทศวรรษในวันนี้

ส่วนคีย์หลักที่ยึดมั่นในวันที่เริ่มสร้างค่ายนี้ขึ้นมาคือ ไม่อยากให้เด็กๆ เรียนรู้แต่ทฤษฎีเรื่องโลก เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ยังอยากให้พวกเขาได้ลงมือปฏิบัติ ค้นหาแนวทางแก้ไขใหม่ๆ ให้กับโลกของเรา

ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่มีแต่การพัฒนา

banpu บ้านปู ดีค้าบ เฟสติวัล พลังงาน ค่ายเพาเวอร์กรีน รักษ์โลก ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม

ด้าน รศ. ดร.นพพล เล่าว่า ตลอดยี่สิบปีมานี้ เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงของค่ายมาโดยตลอด และเป็นการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“เยาวชนจากเมื่อก่อนถึงปัจจุบันมีความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมต่างกัน เมื่อก่อนเด็กๆ จะมองเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นรอง สนใจเรื่องอื่นมากกว่า อย่างเศรษฐกิจหรือสุขภาพเป็นหลัก แต่กลับกัน เด็กยุคนี้ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมาก แล้วยังเชื่อมโยงกับประเด็นอื่นๆ ด้วย เช่น สิ่งแวดล้อมคู่สุขภาพ สิ่งแวดล้อมกับเศรษฐกิจ” รองคณบดีฝ่ายวิจัยฯ คณะสิ่งแวดล้อมฯ มหาวิทยาลัยมหิดลเล่า

ความน่าสนใจของค่ายนี้คือ การพูดคุยกับเด็กตรงๆ มากกว่ากิจกรรมอื่นๆ และได้รับรู้ว่าคนรุ่นใหม่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมลึกกว่าเมื่อก่อนมาก หลายคนสนใจเรื่อง SDGs ประเด็น Carbon Footprint หรือ Net Zero พร้อมกับความเชื่อว่า เมื่อสิ่งแวดล้อมพังลง ต่อให้มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้

ด้านหมอเน๋งที่ได้รับฉายาว่าเป็นรุ่นพี่แก๊งเพาเวอร์กรีน เสริมประเด็นนี้ว่า เด็กรุ่นใหม่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้นจริงๆ ดูได้จากเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัวแบบการพกกระติกน้ำกันมากขึ้น สมัยนี้แทบไม่มีใครใช้แก้วพลาสติกแล้ว

banpu บ้านปู ดีค้าบ เฟสติวัล พลังงาน ค่ายเพาเวอร์กรีน รักษ์โลก ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม

ต่อมาจึงกลายเป็นบทสนทนากับหมอเน๋งต่อว่า อะไรเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม

“อาชีพหลักเป็นสัตวแพทย์ แต่เรามีงานอดิเรกคือชอบถ่ายรูปสัตว์ในธรรมชาติ คนไทยทั่วไปไม่ค่อยได้เห็นว่าสิ่งแวดล้อมมีอะไรมากกว่าที่เราคิด เราถือเป็นหนึ่งในระบบนิเวศของสิ่งนี้ ถ้ามีคนดูแลบ้านแค่คนเดียว บ้านก็สกปรกอยู่ดี เลยอยากให้ร่วมมือกันสร้างการตระหนักรู้ว่าเราควรรักษาสิ่งแวดล้อมหรือบ้านของเราไว้นะ” หมอเน๋งเล่า

นอกจากสิ่งที่อยากส่งต่อหรือเล่าให้คนได้รับรู้มากขึ้น หมอเน๋งยังบอกว่า เขาเป็นฝ่ายได้รับอะไรมากมายกลับมาเช่นกัน ทั้งความรู้ ไอเดียจากแต่ละโปรเจกต์เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังได้เรียนรู้คู่กับชุมชน ทำให้ชุมชนยั่งยืน ส่งเสริมการอนุรักษ์ แถมยังสร้างงานสร้างอาชีพอีกด้วย

จุดประกายความสนใจค่ายเพาเวอร์กรีน

banpu บ้านปู ดีค้าบ เฟสติวัล พลังงาน ค่ายเพาเวอร์กรีน รักษ์โลก ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม

หลังจากฟังเสียงของผู้จัดและคนที่สอดส่องค่ายแล้ว ก็ถึงเวลาที่เหล่าศิษย์เก่าเพาเวอร์กรีนจะเล่าเรื่องราวและความทรงจำของเขากับค่าย บ้าง โดย ไอซ์-ว่าที่ร้อยตรีอัครพันธ์ ทวีศักดิ์ เพาเวอร์กรีน รุ่นที่ 12 เล่าว่า หลังจบจากค่ายนี้ เขาได้นำความรู้ไปต่อยอดและศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจุดเริ่มต้นที่เข้าค่ายนี้ เพียงเพราะตอนแรกต้องเก็บพอร์ตโฟลิโอเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย แต่กลับกลายเป็นว่า ค่ายนี้ทำให้เขาค้นพบคุณค่าใหม่ๆ ทั้งธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ที่ทำให้มีความสุขและผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงยังได้เจอเพื่อนใหม่ผู้มีใจรักสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน

เช่นเดียวกับ ตี๋-สิริราช ยานะ ตัวแทนศิษย์เก่าเยาวชนค่ายเพาเวอร์กรีน รุ่นที่ 17 ที่ได้รับรางวัลเยาวชนดีเด่น 2567 สาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาเชียงใหม่ เขาเล่าว่า เมื่อสามปีก่อนประเด็นเรื่อง SDGs และ Climate Change ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก พอลองหาข้อมูลก็เจอค่ายนี้และลองสมัครดู เพราะค่ายนี้ไม่ใช่เพียงค่ายสิ่งแวดล้อมธรรมดา แต่ยังเชื่อมโยงกับชุมชน มีทั้งภาคทฤษฎีและการลงมือจริงให้เรียนรู้เยอะ

หลังจากจบค่ายนี้ ตี๋ก็นำประเด็นสิ่งแวดล้อมไปสานต่อที่สภาเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขับเคลื่อนประเด็นรักษ์โลกในเชียงใหม่ต่ออีกด้วย

สมดุลระหว่างวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อม

banpu บ้านปู ดีค้าบ เฟสติวัล พลังงาน ค่ายเพาเวอร์กรีน รักษ์โลก ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม

รศ. ดร.นพพล เล่าถึงเนื้อหาที่ร่วมกันออกแบบระหว่างบ้านปูกับมหาวิทยาลัยมหิดลว่า การสอนต้องรวมระหว่างการเรียนรู้ภาคทฤษฎี ภาครัฐมีนโยบายอย่างไร และชุมชนระดับรากหญ้าเขาลดคาร์บอนกันอย่างไร เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้น้องๆ รวมถึงต้องเปลี่ยนพฤติกรรมที่ยากต่อการตัดสินใจ

“เราจะยอมเสียสละเพื่อสิ่งแวดล้อมไหม เช่น เราจะเก็บป่าเอาไว้หรือตัดทิ้งเพื่อสร้างเขื่อน เราจะขี่มอเตอร์ไซค์หรือเดินไป ความสะดวกสบายของมนุษย์อาจต้องแลกด้วยสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ เราต้องสอนให้เขาเข้าใจว่าการตัดสินใจเหล่านี้ควรทำอย่างไร”

นั่นนำมาสู่การสนทนาเรื่องความพิเศษของปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่ 20 สำหรับค่ายเพาเวอร์กรีน “ปกติจัดค่ายแค่เจ็ดวัน แต่เรามองว่าพอครบยี่สิบปี อยากเอาแนวร่วมศิษย์เก่ามาทำอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง เช่น ให้ร่วมกันออกแบบกิจกรรมเวิร์กช็อปสวนขวด ยาดมสมุนไพรในงานดีค้าบ ได้ลองทำงานเป็นทีม และลงมาทำงานหน้างานจริงในวันนี้ด้วย” รัฐพล ตัวแทนจากบ้านปูบอก

banpu บ้านปู ดีค้าบ เฟสติวัล พลังงาน ค่ายเพาเวอร์กรีน รักษ์โลก ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม

ดีค้าบ เฟสติวัล จึงเป็นงานที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้กับสังคม คนที่มาร่วมงานดีค้าบ นอกจากเห็นว่าเยาวชนที่รักสิ่งแวดล้อมทำอะไรบ้างแล้ว ยังได้เห็นมุมมองของการขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำจากทางภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคเอกชน เพราะสิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่หน้าที่ของคนกลุ่มเดียว แต่เป็นเรื่องของเราทุกคน

ช่วงท้ายของการเสวนา หมอเน๋งได้ฝากประเด็นสิ่งแวดล้อมว่า การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราต้องเริ่มจากการรู้ก่อนว่าคาร์บอนอยู่ที่ไหนบ้าง บางทีพอได้ยินคำว่าคาร์บอน คาร์บอนเครดิต เราอาจรู้สึกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเราขนาดนั้น แต่จริงๆ สิ่งเหล่านี้อยู่รอบตัวเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นถุงแกงหรืออาหารที่เรากินทุกวันก็ตาม

เช่นเดียวกับไอซ์ ศิษย์เก่าเพาเวอร์กรีน รุ่นที่ 12 ที่เล่าว่า การเข้าค่ายนี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมได้จริง เพราะผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้เติบโตขึ้นถึงสามด้าน “โตตัว เด็กเป็นผู้ใหญ่ เรียนรู้เนื้อหาจากอาจารย์ที่มีความสามารถ โตหัว ได้รับความรู้ ไม่ใช่แค่ความรู้ในห้องเรียน เพราะได้ลงพื้นที่ชุมชนจริงๆ และโตใจ มีหัวใจผูกพันจากพี่เพื่อนน้องและสิ่งแวดล้อม”

banpu บ้านปู ดีค้าบ เฟสติวัล พลังงาน ค่ายเพาเวอร์กรีน รักษ์โลก ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม

หลังจากนั้นก็เป็นเวลาของการแสดงศักยภาพและแพสชันด้านสิ่งแวดล้อมของตัวแทนเยาวชนศิษย์เก่าค่ายเพาเวอร์กรีนผ่านเวที Power Green Talk ทั้งณภัทร ปรุงศรีปัญญา รุ่นที่ 17 ที่มานำเสนอ “นวัตกรรม Carbon Accounting Platform แพลตฟอร์มสำหรับคำนวนและประเมินการปลดปล่อยคาร์บอนในองค์กร” ต่อด้วย อภิชา ไทยเทวี รุ่นที่ 18 ที่นำเสนอมุมมองเรื่อง “การขนส่งสาธารณะ ทางออกเล็กๆ ของปัญหาใหญ่” ปิดท้ายด้วยว่าที่ร้อยตรีอัครพันธ์ ทวีศักดิ์ รุ่นที่ 12 ที่มานำเสนอประเด็น “การนำเศษขยะและวัสดุเหลือใช้มาสร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับงานด้านวิศวกรรม”

ในช่วงเวลาเดียวกัน ยังมีเวิร์กช็อปสวนขวด พวงกุญแจ และยาดมสมุนไพร ที่เปิดพื้นที่ให้เราลงมือทำกันจริงๆ ซึ่งทั้งน่ารักและถูกใจชาวสายกรีน แถมยังได้เป็นของที่ระลึกกลับบ้านด้วย

ส่งท้ายความสนุกด้วยวงดนตรีและภาพยนตร์

banpu บ้านปู ดีค้าบ เฟสติวัล พลังงาน ค่ายเพาเวอร์กรีน รักษ์โลก ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม

ปิดท้ายวันด้วยความสนุกจากวงดนตรี Banpu Band และ Capybaraband ก่อนการฉายภาพยนตร์ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมในบรรยากาศของอุทยาน 100 ปีฯ ยามค่ำคืน

เพราะสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องช่วยกันดูแลเพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่ และมุ่งสู่เป้าหมายลดคาร์บอนได้ในเวลาอันใกล้ ผ่านความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ เอกชน การศึกษา รวมถึงประชาชนอย่างเราทุกคน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดการปล่อยคาร์บอนให้สำเร็จ

ต้องรอติดตามว่า ในปีถัดๆ ไปของบ้านปูและค่ายเพาเวอร์กรีนจะมีกิจกรรมเพื่อเยาวชนหัวใจสิ่งแวดล้อมในรูปแบบไหนและมีไอเดียเพื่อโลกอะไรนำเสนออีกบ้าง

Writer

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.