สวนสาธารณะชื่อดังแห่งนิวยอร์ก กำลังเปิดห้องปฏิบัติการเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในการต่อสู้กับความเสื่อมโทรมของป่าในเมือง
หลังจากที่เฮอริเคนไอดาพัดเข้าสู่สหรัฐอเมริกาเมื่อปีที่ผ่านมาจนมีปริมาณน้ำฝน 3.5 นิ้ว และสูงเป็นประวัติการณ์ใน Central Park จนเอ่อท่วมร้านอาหาร Boathouse ที่มีชื่อเสียง และสร้างความเสียหายให้ต้นไม้กว่า 50 ต้น Norman Selby สมาชิกของ Central Park Conservancy องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ดูแลสวนสาธารณะแห่งนี้ ก็รู้ทันทีว่าถึงเวลาต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง
วิธีแก้ปัญหาของเขาคือการจัดตั้ง Central Park Climate Lab ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลเรื่องสัตว์ป่า พืชพรรณ และดินนับหลายสิบปีที่ Central Park Conservancy ให้เป็นประโยชน์ในอีกทางหนึ่ง เขาจึงบริจาคเงินส่วนหนึ่งเพื่อเป็นจุดเริ่มต้น และเดินหน้าระดมทุนต่อเนื่อง ซึ่งต้องการเงินราว 4 – 5 ล้านดอลลาร์ เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายของห้องทดลองในอีก 3 ปีข้างหน้า
ห้องปฏิบัติการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างแพลตฟอร์มสำหรับแบ่งปันข้อมูลที่จะช่วยปกป้องพื้นที่สีเขียวให้กับสวนสาธารณะในเมืองต่างๆ ทั่วโลก และยังใช้เครื่องมือที่ช่วยในการระบุตำแหน่งในการเลือกฟื้นฟูสภาพป่า และแนะนำวิธีการปลูกพืชให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้เมืองต่างๆ ทั่วโลก สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงที่สุด และช่วยลดความร้อนในพื้นที่สวน
“โครงการนี้อาจจะช่วยเป็นตัวอย่างที่ดีในการแสดงให้โลกเห็น และข้อสรุปที่เราได้มาจะสามารถถ่ายทอดออกไปนอกอเมริกาได้” Mark Bradford หัวหน้านักวิจัยของห้องปฏิบัติการและศาสตราจารย์ด้านดินและระบบนิเวศวิทยาของ Yale School of the Environment กล่าวถึงความหวังของโปรเจกต์นี้
ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปีที่ผ่านมา ทำให้ Central Park ต้องกำจัดต้นไม้ที่เสียหาย 36 ต้น ตัดต้นไม้ 86 ต้น และดำเนินการตรวจสอบสุขภาพต้นไม้อีก 357 ต้น ซึ่งหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้เข้ามาใช้บริการสวนสาธารณะก็เพิ่มสูงขึ้นจนแตะที่ 40 ล้านคนต่อปี ทำให้ภารกิจในการดูแลรักษาพืชพรรณมีความท้าทายมากขึ้นตามไปด้วย
ป่าในเมืองแบบ Central Park มีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ เพราะพื้นที่ป่าเหล่านี้บรรจุต้นไม้ราว 1 ใน 4 ของเมือง ซึ่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จำนวน 69 เปอร์เซ็นต์ของนิวยอร์กทีเดียว