ห้องสมุดเปิดใหม่ ‘ดาวอังคาร’ เปิดให้ซื้อ และยืม-คืนออนไลน์ ที่ร้านคาเฟ่ชาใจ จ.กำแพงเพชร

‘ห้องสมุด’ เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการปลูกฝังวัฒนธรรมรักการอ่านเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นใคร อายุเท่าไหร่ มีเงินมากหรือน้อย ก็มีสิทธิ์อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน ขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดโอกาสให้นักอยากอ่านได้สำรวจลองอ่านหนังสือแนวใหม่ๆ ไปด้วย แน่นอนว่าหลายจังหวัดในประเทศไทยมีห้องสมุดของภาครัฐคอยให้บริการประชาชน ทว่าอาจจะด้วยภาพลักษณ์ห้องสมุดที่ดูเป็นพื้นที่ปิด หนังสือที่ไม่หลากหลาย หรือกระทั่งบริการการยืม-คืนที่ยุ่งยาก เลยทำให้หลายคนไม่กล้าใช้บริการหรือกระทั่งมองข้ามห้องสมุดไป เราจึงดีใจมากเมื่อเห็น ‘ห้องสมุดดาวอังคาร’ เกิดขึ้นที่จังหวัดกำแพงเพชร ห้องสมุดแห่งนี้เป็นไอเดียของ ‘โอลีฟ’ ที่ต่อยอดจากโปรเจกต์เปิดให้คนทั่วไปยืมหนังสือของเธอในแอ็กเคานต์ทวิตเตอร์ @martianbooks ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะเปิดเป็นร้านหนังสือออนไลน์ แต่ก็ทำเป็นห้องสมุดขึ้นมาก่อน โอลีฟเล่าว่าจากห้องสมุดออนไลน์ที่กลายเป็นห้องสมุดที่มีสถานที่เล็กๆ ให้ผู้คนมาเลือกสรรหนังสือบนชั้น และนั่งอ่านจริงๆ ได้นั้น เพราะเธอได้รับความร่วมมือจากเจ้าของร้านคาเฟ่ ‘ชาใจ’  “พอดีเราเพิ่งได้งานที่บริษัทสถาปนิกที่มีออฟฟิศอยู่ข้างบนร้านกาแฟ แล้วเห็นว่ามีห้องว่างๆ ที่เจ้าของเขาไม่ได้ใช้ เลยไปขอวางหนังสือ โชคดีที่ตัวเจ้าของร้านเองก็เคยทำโครงการรับบริจาคหนังสือเพื่อรับส่วนลดขนม-เครื่องดื่มอยู่แล้ว เลยเป็นไปอย่างราบรื่น” ด้วยความที่อยู่กำแพงเพชรมาตั้งแต่เด็ก ทำให้โอลีฟสังเกตเห็นว่าที่นี่มีห้องสมุดและร้านหนังสือค่อนข้างน้อย ในบรรดาร้านหนังสืออิสระที่มีก็เป็นร้านหนังสือเน้นจำหน่ายแบบเรียนซะส่วนใหญ่ เพราะเหตุนี้จึงทำให้หนังสือกว่าหลายร้อยเล่มในห้องสมุดดาวอังคารเน้นหนักไปทางวรรณกรรม โดยแบ่งออกเป็นหมวดย่อยๆ ได้แก่ หนังสือทำมือของนักเขียนอิสระ วรรณกรรมไทย วรรณกรรมแปล วรรณกรรมเยาวชน และกราฟิกโนเวล ส่วนสารคดีจะยังมีไม่มากนัก  ส่วนระบบการยืม-คืนของห้องสมุดแห่งนี้ไม่มีกฎเกณฑ์ใดเป็นพิเศษ ไม่แม้แต่ต้องเสียค่ามัดจำหรือค่ายืมหนังสือด้วยซ้ำ แต่จะมีเป็นบัญชีสำหรับให้บริจาคบริการค่าส่งหนังสือตามความสมัครใจ  “พี่ร้านกาแฟบอกว่าพอเอาหนังสือมาลง และทำคอนเทนต์เกี่ยวกับส่วนห้องสมุดเยอะๆ ก็มีน้องๆ จากราชภัฏฯ เดินถือหนังสือมาอ่านในร้าน หรือแค่เราเห็นคนนั่งในโซนห้องสมุด […]

สนทนา เลือกซื้อ แลกหนังสือมือสอง ใน theCOMMONS: USED Book Fest 23 ก.ค. ที่ The Commons Thonglor

สุดสัปดาห์นี้เหล่านักอ่านไม่ต้องกลัวเหงา เพราะมีกิจกรรมให้ไปร่วมสนุกกันหลากหลายงาน ไม่ว่าจะเป็นอีเวนต์หนังสือลดราคาที่ ‘นายอินทร์สนามอ่านเล่น’ หรืองานหนังสือพร้อมชนแก้ว ‘BOOKS & BEERS’ ที่จัดยาวตั้งแต่วันที่ 22 – 31 กรกฎาคม ก็ยังมีอีกหนึ่งงานอย่าง theCOMMONS: USED Book Fest ตลาดหนังสือมือสองที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนไปกัน นอกจากบูทจำหน่ายหนังสือมือสองแล้ว งานนี้ยังได้พบกับคนหนังสือและเหล่าครีเอเตอร์ เช่น กิตติพล สรัคคานนท์ นักเขียนและเจ้าของร้านหนังสือ Books & Belongings, อุทิศ เหมะมูล นักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์ 2552, ปริวัฒน์ อนันตชินะ ศิลปินอิสระ, วีร์ วีรพร กราฟิกดีไซเนอร์, นภษร ศรีวิลาศ เจ้าของเพจน้องนอนในห้องลองเสื้อ และ เบนซ์ ธนชาติ ผู้กำกับ ช่างภาพ และนักเขียน ภายในงานยังมีกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเวิร์กช็อปทำที่คั่นหนังสือด้วยเทคนิคโอริกามิ, ปกหนังสืองานคราฟต์, หุ่นมือ DIY และเสวนาเรื่อง ‘ประสบการณ์มือสอง’ กับร้านหนังสือมือสอง […]

เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทน คือคนฟัง ‘ไอฟาย (I’m Fine)’ เพลงที่เติมรสชาติความเจ็บปวดของวัยรุ่น

“จะยอมเป็นควายให้เธอ ยอมเป็นคนที่มีเขา ยอมเป็นแค่เงาเขา เวลาเธอนั้นเหงา” ใครเคยตกอยู่ในสถานการณ์ตามเนื้อเพลงบ้าง ยกมือขึ้น! สถานการณ์ที่ตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่รู้อยู่เต็มอกว่าโดนหลอกซ้ำๆ เจ็บมากี่ครั้ง ก็ไม่รู้จักจำ ยอมลดคุณค่าของตัวเอง เพื่อคนที่รัก ขอเพียงยังอยู่ข้างกัน หวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะหันกลับมารักกันบ้างก็พอแล้ว ก็ชีวิตวัยรุ่นมีครั้งเดียว มีความรักทั้งที ก็ต้องมีให้สุดไปเลย เจ็บปวดแบบจำยอม ยอมเจ็บแบบซ้ำๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาหลอก รสชาติของความรักที่ทำให้เรายอมเป็น ‘ไอฟาย’ จึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ เชื่อว่าเหล่าวัยรุ่นที่เคยผ่านเหตุการณ์ประมาณนี้มา จะต้องอินไปกับเพลงใหม่ของ 5 หนุ่มวง Fool Step Band ภายใต้สังกัด genie records ที่เข้าวงการจากการประกวดในเวที Hotwave Music Awards 2018 อย่างเพลง ‘ไอฟาย (I’m Fine)’ แน่นอน ไอฟาย (I’m Fine) เป็นเพลงที่ถ่ายทอดรสชาติของความโง่ ที่ถึงแม้จะรู้ว่าเขามีใครอีกคน แต่ก็ยังยอมจะโดนหลอกกับความสัมพันธ์นี้อยู่ เพียงหวังว่าสักวันเขาจะหันมารักเราบ้างก็เท่านั้น ผ่านดนตรีแนว Modern Pop Rock แบบสนุกๆ […]

Extraordinary Attorney Woo ซีรีส์ทนายออทิสติกคนแรกของเกาหลีใต้ ที่ใช้ความสามารถไขคดี จนคว้าใจคนทั่วโลก

‘Extraordinary Attorney Woo (อูยองอู ทนายอัจฉริยะ)’ คือซีรีส์เกาหลีใต้มาแรงที่ทะยานสู่อันดับ 1 ของ Netflix หมวดรายการทีวีภาษาต่างประเทศทั่วโลก ควบคู่กับความนิยมซีรีส์เรื่องนี้ในเกาหลีใต้ที่เพิ่มขึ้นไม่แพ้กัน จากอีพีแรกที่มีเรตติง 0.948% ก็ก้าวกระโดดเป็น 9.569% ในอีพี 6 ที่ออกอากาศไปเมื่อวันที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา และแน่นอนว่าตอนนี้ความสามารถในการไขคดีและท่าทีที่น่ารักของทนายอูยองอูก็กำลังสร้างความฟีเวอร์ในประเทศไทยด้วย  ซีรีส์เกาหลีที่เป็นกระแสปากต่อปากเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวของ ‘อูยองอู’ ทนายวัย 27 ปีผู้เกิดมาพร้อมกับภาวะออทิสติกสเปกตรัม แต่ด้วยไอคิวที่สูงถึง 164 ทำให้มีความสามารถในการอ่านและจดจำประมวลกฎหมายได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ทั้งยังสำเร็จการศึกษาด้วยคะแนนสูงสุดจากมหาวิทยาลัยกฎหมายแห่งชาติโซล ทำให้เธอได้เข้าทำงานในบริษัททนายความชั้นนำของประเทศ  ถึงจะเป็นทนายที่เก่งกาจแค่ไหน แต่เมื่อมีภาวะเป็นออทิสติกที่คนส่วนใหญ่ในสังคมยังไม่ยอมรับ อูยองอูจึงถูกปรามาสจากเพื่อนร่วมงาน เพราะพฤติกรรมเวลาเข้าสังคมในแบบที่เธอแสดงออกนั้นต่างจากคนทั่วไป ยกตัวอย่าง ประโยค “ชื่อของฉันไม่ว่าจะอ่านตามตรง หรืออ่านกลับด้านก็เป็นอูยองอู” ที่เป็นสโลแกนประจำตัวของเธอเวลาแนะนำตัวเอง การที่ไม่มองหน้าหรือสบตาใครเวลาพูด มีความไวต่อผิวสัมผัสและเสียงมากๆ แถมยังงุ่มง่ามซุ่มซ่าม พูดจาตะกุกตะกัก มีท่าทีไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เข้าใจการแสดงอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น นี่ยังไม่นับรวมที่เธอมีแพสชันอันแรงกล้าในความชื่นชอบ ‘วาฬ’ แบบที่จดจำได้ทุกสายพันธุ์ จนบางครั้งการเมาท์มอยเรื่องวาฬๆ ของเธอทำให้คนรอบตัวเหม็นเบื่ออยู่เสมอ  […]

Thai Theatre Showcase งานซัปพอร์ตศิลปินไทยในอเมริกา 23 – 24 ก.ค. 65 ที่นครนิวยอร์ก

‘คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก’ น่าจะเป็นประโยคที่เราได้ยินบ่อยๆ เวลาที่มีคนไทยคว้ารางวัลอะไรสักอย่างในระดับโลก หรือคิดค้นทำบางสิ่งบางอย่างที่ยังไม่เคยมีคนชาติไหนทำได้มาก่อน แต่จะดีแค่ไหนถ้าคนไทยร่วมด้วยช่วยกันผลักดันให้คนไทยเก่งๆ ที่เรามองว่าไม่แพ้ชาติใดในโลกนั้น มีพื้นที่ในการแสดงความสามารถของตัวเอง ในบรรดาประเทศที่คนไทยย้ายไปอาศัยอยู่และทำงานมากที่สุด หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นดินแดนที่เปิดกว้างอย่างประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะเล็งเห็นว่ามีคนทำงานสายสร้างสรรค์ในประเทศนี้จำนวนไม่น้อย ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่น (Thai Theatre Foundation) จึงร่วมมือกับพันธมิตรจัดงาน ‘Thai Theatre Showcase : โชว์เคส โชว์ของ’ เพื่อเปิดพื้นที่ให้ศิลปินละครเวทีไทยในสหรัฐอเมริกาได้โชว์ของแบบจัดใหญ่จัดเต็ม จุดประสงค์ของงานนี้คือ ต้องการเปิดโอกาสให้ศิลปินมีพื้นที่แสดงศักยภาพและถ่ายทอดเรื่องราวผ่านงานศิลปะ ว่าความรู้สึกและประสบการณ์ของพวกเขาในฐานะศิลปินเชื้อสายไทยที่ทำงานอยู่ในวงการละครเวทีนิวยอร์กเป็นอย่างไร นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็น เชื่อมต่อเครือข่าย และสร้างการรับรู้ว่ายังมีศิลปินไทยเก่งๆ อีกมากมายที่กำลังสร้างสรรค์ผลงานอยู่ต่างแดน  ผู้ร่วมงาน ‘Thai Theatre Showcase : โชว์เคส โชว์ของ’ จะได้ร่วมพูดคุยในช่วง Panel Talk และฟังประสบการณ์จริงจากศิลปินหลากหลายแขนง ทั้งนักออกแบบ ผู้กำกับละครเวที นักเขียนบทละคร และนักแสดง ยกตัวอย่าง ปัน-ปัญชรีย์ สังข์แก้ว หนึ่งในผู้ร่วมออกแบบ Construction Design ในงาน Met Gala 2022, นานา […]

อร่อยได้มือไม่ต้องเปื้อน! จีนผลิตไอศกรีมทนความร้อน ไม่ละลาย แม้อยู่ในอุณหภูมิ 31 องศาฯ

การกินไอศกรีมแบบไม่ต้องเลอะมือ ถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับชาวเมืองร้อนอย่างประเทศไทยเหลือเกิน เพราะแค่จะหยิบเอาไอศกรีมที่ซื้อออกจากถุง ไอความร้อนจากทุกสารทิศก็ถาโถมเข้ามาจนละลายเลอะมือไปหมด โชคร้ายหน่อยก็หยดเลอะขากันไปตามๆ กัน แต่ปัญหาไอศกรีมละลายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศเราเท่านั้น แต่ไม่ว่าประเทศไหนๆ หรือแม้แต่ประเทศจีนที่ฤดูหนาวก็หนาวจนติดลบ ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน เพราะปัญหาที่มาคู่กับขนมหวานแช่แข็งนี้  Zhong Xue Gao บริษัทผลิตไอศกรีมยักษ์ใหญ่สุดหรูระดับพรีเมียมของประเทศจีน ที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘Hermès of Ice Cream’ ต้องกระโดดลงมาดึงส่วนแบ่งทางตลาดและความสนใจของสาธารณะ ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ไอศกรีมราคา 10 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 360 บาท ที่มีจุดเด่นคือ ‘ละลายช้า’  ละลายช้าชนิดที่ว่ามีชาวเน็ตในเวย์ปั๋ว (Weibo) นำไอศกรีมดังกล่าวไปวางไว้ในอุณหภูมิที่สูงถึง 31 องศาเซลเซียสนานถึง 1 ชั่วโมงแต่เจ้าไอศกรีมตัวนี้ก็ยัง ‘ไม่ละลาย’ สร้างความฮือฮาจนกลายเป็นไวรัลมีผู้เข้าชมคลิปวิดีโอกว่า 500 ล้านครั้ง จนชาวเน็ตจีนออกมาตั้งคำถามถึงความปลอดภัยในการบริโภคไอศกรีมดังกล่าว ร้อนถึงบริษัท Zhong Xue Gao ที่ต้องออกมาแถลงด้วยบัญชีโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการว่า ผลิตภัณฑ์ของตนปฏิบัติตามแนวทางคุณภาพอาหารของจีนในมาตรฐานระดับสูง ด้านส่วนผสมหลักที่ทำให้ไอศกรีมละลายช้าก็คือ ‘คาร์ราจีแนน’ (Carrageenan) สารสกัดจากสาหร่ายทะเลที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในไอศกรีมและเครื่องดื่มประเภทเย็นทั่วไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสามารถมั่นใจในความปลอดภัยระหว่างการกินได้เลย Sources :DesignTAXI | […]

Notre Dame’s New Landscape โปรเจกต์ออกแบบพื้นที่นอกมหาวิหารนอเทรอดาม ที่เต็มไปด้วยต้นไม้และฟังก์ชันเพื่อคนเมือง

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2562 เกิดเหตุไฟไหม้มหาวิหารนอเทรอดาม (Notre Dame) ศาสนสถานอายุ 850 ปีในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่สร้างความตกใจและความเสียดายให้คนทั่วโลก เพราะเพลิงที่ลุกไหม้สร้างความเสียหายให้ศาสนสถานอายุหลายศตวรรษแห่งนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากโครงสร้างส่วนใหญ่ทำจากไม้ หลังจากเกิดเหตุ ฝรั่งเศสก็เริ่มแผนซ่อมแซมบูรณะตัวอาคาร ซึ่งคาดว่าอาจต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานถึง 5 ปี ควบคู่ไปกับการเปิดประกวดแข่งขันด้านการออกแบบเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมหรือบริเวณโดยรอบมหาวิหารขึ้นมาใหม่ โดยเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2565 คณะกรรมการได้ประกาศรางวัลผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่งคือ โปรเจกต์การออกแบบที่พัฒนาโดยภูมิสถาปนิก Bas Smets, บริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมและผังเมือง GRAU และบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านมรดกทางสถาปัตยกรรม Neufville-Gayet  การออกแบบพื้นที่โดยรอบมหาวิหารนอเทรอดามของทีมนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อเชื่อมโยงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ กับแม่น้ำแซนที่โอบล้อมมหาวิหารให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น จัตุรัสที่อยู่หน้ามหาวิหารถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่เปิดโล่ง ช่วยให้ด้านหน้าของอาคารสูงเด่นเป็นสง่ากว่าเดิม และเพิ่มต้นไม้สีเขียวขจีที่รายล้อมอาคารและให้ร่มเงาแก่พื้นที่นั่งเล่น  ส่วนบริเวณด้านหลังของมหาวิหารจะถูกรวมเข้ากับสวนที่อยู่ติดกัน เปลี่ยนเป็นสวนสาธารณะริมแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ทอดยาว 400 เมตร และจะมีการปลูกต้นไม้ใหม่เพิ่มถึง 131 ต้น กลายเป็นพื้นที่สีเขียวที่เหมาะแก่การเดินเล่นหรือนั่งพักผ่อนหย่อนใจเป็นที่สุด นอกจากนี้ ผู้ออกแบบยังติดตั้งระบบระบายความร้อนให้แก่พื้นด้วยการใช้ม่านน้ำความหนาเพียง 5 มิลลิเมตร ซึ่งจะช่วยลดอุณหภูมิได้หลายองศาฯ อีกทั้งยังทำให้กำแพงโดยรอบมหาวิหารสะท้อนแสงแวววับ และกลายเป็นจุดถ่ายรูปสวยๆ สำหรับนักท่องเที่ยวด้วย อีกหนึ่งการออกแบบที่น่าสนใจคือ การเปลี่ยนลานจอดรถที่อยู่ใต้จัตุรัสด้านหน้ามหาวิหารให้เป็นสถานที่ต้อนรับแขกขนาดใหญ่กว่า […]

อีกครั้งแล้วสินะที่ฉันต้องโยกย้าย เตรียมบอกลา ‘ร้านหนังสือเดินทาง’ ย้ายร้านจากถนนพระสุเมรุ สิ้นปี 65

หากได้มีโอกาสต้องไปทำธุระหรือมีแพลนเดินเที่ยวเล่นแถวถนนพระสุเมรุ เรามักจะแวะเวียนไปร้านหนังสือที่หน้าร้านตกแต่งด้วยโต๊ะเก้าอี้น่ารัก จักรยานเก่าๆ หนึ่งคัน และชั้นวางที่อัดแน่นไปด้วยโปสต์การ์ด เพื่อเข้าไปเลือกหาหนังสือถูกใจสักเล่มก่อนนำกลับบ้าน หรือใช้เวลานั่งทอดหุ่ยอ่านหนังสือบนชั้น 2 ที่เป็นส่วนคาเฟ่ ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึงร้านหนังสือเดินทาง (Passport Bookshop) ของ ‘หนุ่ม-อำนาจ รัตนมณี’ ที่ตั้งอยู่บนถนนสายพระสุเมรุมานานกว่า 16 ปี ฟังดูเป็นเวลาที่ยาวนาน และนักอ่านหลายคนคงมีโอกาสมาเยี่ยมเยียนที่นี่อยู่หลายครั้ง แต่ขณะเดียวกัน อาจมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบว่าร้านหนังสือเดินทาง เคย ‘ย้าย’ ร้านมาแล้วครั้งหนึ่งจากถนนพระอาทิตย์ หลังจากเปิดจำหน่ายหนังสือเป็นเวลา 4 ปี นั่นแปลว่าหากรวมเวลาที่ร้านหนังสือแห่งนี้เปิดให้บริการก็นับได้ 20 ปีพอดิบพอดี แต่ใครจะไปรู้ว่าเวลาที่พอให้เด็กคนหนึ่งเติบโตเป็นหนุ่มสาวจำต้องสิ้นสุดลง เพราะร้านหนังสือเดินทางได้ประกาศว่าจำเป็นต้องย้ายร้านเป็นคราที่สองในสิ้นปีนี้ เนื่องจากอาคารที่ใช้เป็นตัวร้านถูกเวนคืนเพื่อทำสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน นั่นทำให้ทีมงานในร้านต้องเตรียมตัวเก็บข้าวของ เพื่อความพร้อมและสะดวกในการขนย้าย อย่างที่ทราบกันว่าจุดเด่นของร้านหนังสือแห่งนี้คือ การตกแต่งและบรรยากาศที่น่ารัก อบอวลไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น แต่มากไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้ร้านคงอยู่ได้เรื่อยมาคือมิตรภาพของเจ้าของร้านหนังสือและนักอ่านทั้งขาประจำและขาจร จนหลายครั้งก่อให้เกิดความผูกพันขนาดที่มีคนยกให้เป็นหนึ่งในสถานที่แห่งความทรงจำ บ้างก็ส่งของขวัญและหนังสือมาให้เจ้าของร้าน บ้างก็ขอใช้พื้นที่ร้านเป็นสถานที่ในการขอแต่งงานด้วยซ้ำ นี่ยังไม่นับรวมหนังสือหลากหลายประเภทที่อัดแน่นตามชั้นวาง และสิ่งละอันพันละน้อย เช่น โปสต์การ์ด สมุด กระเป๋า งานศิลปะ ฯลฯ ที่เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์สำคัญของร้าน ทำให้ใครที่หลงเข้าไปล้วนไม่ได้กลับออกมาแบบตัวเปล่า […]

องค์การนักศึกษาธรรมศาสตร์ประกาศใช้ ‘มอญดูดาว’ เป็นเพลงประจำมหา’ลัย แทนเพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง

เป็นอีกครั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กลายเป็นที่พูดถึงบนโลกโซเชียลมีเดีย หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ทั้งในกรณีของการยกเลิกประกวดดาว-เดือน ยกเลิกระบบโซตัส หรือการอนุญาตให้บัณฑิตที่เข้ารับปริญญาแต่งตัวตามเพศวิถีได้ และในครั้งนี้ องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือ อมธ. ได้ประกาศให้ใช้ ‘เพลงประจำมหาวิทยาลัยทำนองมอญดูดาว’ แทนเพลงประจำมหาวิทยาลัยเดิมอย่าง ‘เพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง’ ในทุกกิจกรรมที่จัดขึ้นโดย อมธ.  ความเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดเกิดขึ้นหลัง อมธ. ทำแบบสำรวจประชามติของประชาคมธรรมศาสตร์ที่ให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของการจัดกิจกรรมมากขึ้น โดยเฉพาะในการเลือกเพลงประจำมหาวิทยาลัยอันเป็นการแสดงออกที่สำคัญถึงอัตลักษณ์ การก่อกำเนิด และการเชิดชูประวัติศาสตร์การต่อสู้ของมหาวิทยาลัย โดยแบบสำรวจครั้งนี้มีเพลงที่เข้ารับการคัดเลือกทั้งหมด 3 เพลง ได้แก่ เพลงประจำมหาวิทยาลัยทำนองมอญดูดาว, เพลงมาร์ช มธก. และเพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง ซึ่งจากจำนวนผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 5,168 คน มีคนที่เลือกเพลงประจำมหาวิทยาลัยทำนองมอญดูดาวกว่า 51.9 เปอร์เซ็นต์  ทำให้ตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา อมธ. เห็นควรประกาศให้ใช้เพลงประจำมหาวิทยาลัยทำนองมอญดูดาวแทนเพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง ในทุกกิจกรรมที่จัดขึ้นโดย อมธ. ตามเจตนารมณ์ของประชาคมธรรมศาสตร์ นับแต่นี้ต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนเพลงประจำมหาวิทยาลัย ไม่ได้หมายความถึงการยกเลิกเพลงเดิมหรือทำให้หายไปถาวร เพราะมีการชี้แจงทางจดหมายจากมหาวิทยาลัยเรื่องการใช้เพลงมหาวิทยาลัย ที่ระบุว่า ​​“เพลงพระราชนิพนธ์ ยูงทอง เป็นเพลงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้คุณค่าและความสำคัญสำหรับงานพิธี พิธีการ และงานที่เป็นทางการของมหาวิทยาลัย และยังคงถือปฏิบัติเช่นนั้นโดยมิได้มีการเปลี่ยนแปลง” […]

ญี่ปุ่นเพิ่มโทษกฎหมายดูหมิ่นติดคุก 1 ปี ปรับสูงสุด 8 หมื่นบาทเพื่อลดปัญหา Cyberbullying

ญี่ปุ่นเพิ่มโทษกฎหมายดูหมิ่น ติดคุก 1 ปี ปรับสูงสุด 8 หมื่นบาท เพื่อลดปัญหา Cyberbullying Cyberbullying หรือการกลั่นแกล้ง การให้ร้าย การด่าว่า การข่มเหง หรือการรังแกผู้อื่นทางโซเชียลมีเดียต่างๆ น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังประสบ เห็นได้จากข่าวการพุ่งสูงของยอดผู้เสียชีวิตที่เป็นเหยื่อจากการบุลลี่ทางออนไลน์ ในฐานะที่ญี่ปุ่นติดอันดับประเทศที่มีการบุลลี่รุนแรงเป็นอันดับต้นๆ บวกกับการจากไปของ ‘ฮานะ คิมูระ’ (Hana Kimura) นักมวยปล้ำและนักแสดงเรียลลิตี้โชว์ทางเน็ตฟลิกซ์ ที่ถูกโจมตีด้วยการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปลักษณ์ในโลกออนไลน์ เมื่อปี 2563  เหตุการณ์นั้นทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มกฎหมายการ ‘ดูหมิ่น’ ในโลกออนไลน์ให้มีโทษมากขึ้น โดยตัวกฎหมายฉบับใหม่นี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยกำหนดให้ผู้ที่มีความผิดต้องจำคุกสูงสุดถึง 1 ปี และมีโอกาสจ่ายค่าปรับถึงสามแสนเยนหรือคิดเป็นเงินไทย 80,000 บาท ซึ่งขยับเปลี่ยนแปลงจากโทษเดิมที่ผู้กระทำความผิดจะถูกจำคุกไม่เกิน 30 วัน และปรับเพียง 2,600 บาท  ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ให้นิยามของการดูหมิ่นว่าเป็นการดูถูกผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเขาคนนั้น ตรงกันข้ามกับการหมิ่นประมาท ที่เป็นการดูถูกผู้อื่นบนข้อเท็จจริงที่เจาะจงไปยังบุคคลที่สาม เซย์โฮ โช (Seiho Cho) ทนายคดีอาญาในญี่ปุ่นให้ความเห็นต่อผู้สื่อข่าวจาก CNN […]

ชมเครื่องดูดฝุ่นสีทองดูดประชาธิปไตย ในนิทรรศการ ‘ฝ่าละออง’ วันนี้ – 28 ส.ค. 65 ที่ VS Gallery

เมื่อปี 2020 ‘จิรัฏฐ์ ประเสริฐทรัพย์’ นักเขียนเจ้าของผลงานวรรณกรรมวิพากษ์วิจารณ์สังคมและการเมืองได้จัดนิทรรศการศิลปะ ‘คิดถึงคนบนฝ้า (Our Daddy Always Looks Down on Us)’ ที่ชวนคนปีนบันไดขึ้นไปชะโงกมองว่าข้างบนฝ้าเพดานที่คนมองแล้วซาบซึ้งจนน้ำตาไหลมีอะไรอยู่กันแน่ ครั้งนี้เขากลับมาอีกครั้งกับนิทรรศการ ‘ฝ่าละออง (From Dawn Till Dust)’ ที่กล่าวได้ว่าเป็นภาคต่อของความแสบสันนี้  โดยทั้งสองนิทรรศการต่างเป็นชื่อเรื่องสั้นของจิรัฏฐ์ที่จะตีพิมพ์ในชื่อหนังสือ ‘รักในลวง’ ช่วงปลายปี 2565 นี้ ‘ฝ่าละออง’ คือนิทรรศการที่สร้างจากเสี้ยวหนึ่งของเรื่องสั้นในชื่อเดียวกัน กล่าวถึงเจ้าหน้าที่รัฐผู้ขยันและซื่อตรงในหน้าที่ แต่สุดท้ายผลตอบแทนของความจงรักภักดีนั้นกลับกลายเป็นเรื่องราวน่าอดสูและสยองขวัญ นัยของนิทรรศการ คือการเน้นย้ำให้คนดูย้อนกลับมาสำรวจภูมิทัศน์หลายแห่งในกรุงเทพฯ ที่ถูกรัฐพยายามจะเปลี่ยนความหมาย รวมถึงทำลายมัน ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอนุสรณ์สถานที่เชื่อมโยงไปยังคณะราษฎร เช่น ลานพระบรมรูปทรงม้าที่เคยมีหมุดคณะราษฎรวางอยู่ แต่ตอนนี้ถูกล้อมรั้วไปแล้ว หรือวงเวียนหลักสี่ที่เคยเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ แต่ตอนนี้ถูกรื้อทิ้งจนไม่เหลือเค้าเดิม กลายเป็นสถานีรถไฟฟ้า  จิรัฏฐ์บันทึกฟุตเทจเหล่านี้ด้วยการนำเครื่องดูดฝุ่นไปดูดตามสถานที่นั้นๆ และนำมาเล่าซ้อนกับเรื่องสั้น O-Robot ที่ล้อไปกับนิยายเรื่อง 1984 โดย จอร์จ ออร์เวลล์ อีกทีหนึ่ง โดยนำเสนอผ่านโทรทัศน์ 6 จอ ที่ล้อไปกับหลัก 6 […]

ไม่พูดไม่ใช่ไม่รู้สึก! บ.ญี่ปุ่นปิ๊งไอเดียทำป้ายบอกพลังกาย พลังใจ ที่เหลืออยู่ ให้พนักงานสื่อสารกันโดยไม่ต้องพูด

ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ต้องเผชิญแรงกดดันและความเครียดจากปัญหารอบตัวอย่างเศรษฐกิจ การเมือง สังคม โรคระบาด รวมไปถึงปัญหารายวันจากที่ทำงานและเรื่องส่วนตัว แต่เพราะบทบาททางสังคมและหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ หลายคนจึงไม่สามารถระบายปัญหาหนักอกหนักใจให้ใครรู้ได้ ทำได้แค่เก็บความรู้สึกที่หนักอึ้งเหล่านั้นไว้กับตัวเอง เพราะเหตุนี้ Onken บริษัทผลิตสิ่งพิมพ์และผลิตภัณฑ์อะคริลิกสัญชาติญี่ปุ่นจึงปิ๊งไอเดียทำ ‘ป้ายบอกระดับพลังงาน’ แจกให้พนักงานในบริษัทใช้ติดเสื้อเพื่อบอกให้คนอื่นรู้ว่าพลังงาน พลังใจ ของพวกเขาในช่วงเวลานั้นๆ เหลืออยู่เท่าไหร่ ทางบริษัทเปิดเผยว่า ขั้นตอนผลิตเจ้าป้ายติดหน้าอกชิ้นนี้ทำได้ง่ายและรวดเร็ว เพียงแค่พิมพ์ข้อความลงบนแผ่นอะคริลิกขนาดใหญ่ จากนั้นก็ใช้เครื่องเลเซอร์ตัดแบ่งให้เป็นป้ายขนาดเล็ก โดยข้อความบนป้ายจะระบุระดับ ‘Hit Point’ หรือหน่วยวัดพลังชีวิตของตัวละครในเกม ที่ถูกนำมาใช้แทนพลังงานที่เหลืออยู่ของคนคนนั้น ป้ายชนิดนี้มีให้เลือกทั้งหมด 3 ระดับ ระดับพลังงานสูงสุดคือสีเขียว (10,000/10,000 พลังชีวิต) รองลงมาคือสีเหลือง (3,899/10,000 พลังชีวิต) ต่ำสุดคือสีแดง (15/10,000 พลังชีวิต) พนักงานสามารถเลือกป้ายมาติดเสื้อตามระดับพลังงานและความรู้สึกในตอนนั้น เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้พนักงานสื่อสารสภาพร่างกายและจิตใจให้คนอื่นรับรู้โดยไม่ต้องเอ่ยคำใดๆ ในทางกลับกัน ป้ายนี้ยังกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงานได้ด้วย เพราะมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาระหว่างเหล่าพนักงานที่ไม่ค่อยมีโอกาสคุยกันเท่าไหร่ พวกเขาอาจถามสารทุกข์สุกดิบกันจากการดูป้ายของอีกฝ่าย ทำให้บรรยากาศในบริษัทสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้น Onken เปิดเผยว่าพนักงานในหลายแผนกชื่นชอบไอเดียและเริ่มติดป้ายระหว่างทำงานกันแล้ว นอกจากนี้ ทางบริษัทยังแชร์รูปป้ายบอกระดับพลังงานลงบนทวิตเตอร์ ซึ่งกระแสตอบรับจากโลกออนไลน์ก็ดีเกินคาด ผู้คนส่วนใหญ่ชื่นชมและสนใจแนวคิดนี้ บางคนแสดงความคิดเห็นว่า ถ้าเอาป้ายบอกสเตตัสแบบนี้ไปใช้ในโรงเรียนหรือในโรงพยาบาลได้ก็คงจะดีไม่น้อย ใครอยากเป็นเจ้าของป้ายบอกระดับพลังงานสุดครีเอทีฟนี้คงต้องรอกันอีกหน่อย เพราะตอนนี้บริษัทอยู่ในขั้นแรกของการผลิตสินค้า คาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายได้ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม […]

1 80 81 82 83 84 150

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.