WHAT’S UP
เกม ‘Night Drive : คืนหลอน ซ่อนทาง’ ช่วยเป็นเสียงสู่ความหวังของการรอคอย ผ่านการติดป้ายตามหาคนหายของมูลนิธิกระจกเงาในเกม
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตัวเลขสถิติคนสูญหายยังคงมีอยู่เรื่อยๆ และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี มีหลายครอบครัวที่กำลังรอใครสักคนกลับบ้าน และอีกหลายหน่วยงานที่ร่วมกันประชาสัมพันธ์เพื่อช่วยพาคนกลุ่มนั้นกลับคืนสู่ครอบครัวอย่างปลอดภัย นอกจากความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรพัฒนาเอกชนที่ดำเนินการติดตามคนหายแล้ว ยังต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของภาคประชาชนในการช่วยกันสอดส่องเพื่อนร่วมสังคม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการจุดประกายแสงแห่งความหวังนี้ได้ ‘Night Drive : คืนหลอน ซ่อนทาง’ เกมขับรถยามค่ำคืนที่มาพร้อมภารกิจอันท้าทาย ได้ขอเป็นหนึ่งในการประชาสัมพันธ์ติดตามคนหายเช่นกัน โดยทาง ‘Zebraman555’ ผู้สร้างเกมนี้ชี้แจงว่า หนึ่งในป้ายริมทางที่ผู้เล่นเห็นระหว่างขับรถนั้นคือป้ายตามหาคนหายจริงจากมูลนิธิกระจกเงา ไม่ใช่ป้ายที่ออกแบบจำลองสำหรับเกมเพียงเท่านั้น Zebraman555 เห็นว่าเกมนี้เป็นเกมที่เข้าถึงกลุ่มคนได้มาก และมูลนิธิกระจกเงาเองก็มีเคสคนหายจำนวนมากเช่นกัน เขาจึงใช้ช่องทางนี้เป็นส่วนหนึ่งในการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ และหวังว่าจะมีคนพบเห็นผู้สูญหายในป้ายแล้วแจ้งเบาะแสสำคัญแก่ครอบครัวผู้สูญหายได้ ระหว่างที่กำลังหาทางออกให้ตัวเอง คุณอาจเป็นคนช่วยพาใครกลับบ้านและกลับถูกทางได้ในเวลาเดียวกัน สัมผัสประสบการณ์ขับรถตอนกลางคืนสุดลุ้นระทึกใน Night Drive : คืนหลอน ซ่อนทาง ได้ที่เว็บไซต์ Steam tinyurl.com/an4pz7 Source : Facebook : Zebraman555 | tinyurl.com/2zc3yfp2
‘Loopme’ เทคโนโลยีจากกลุ่มบริษัทนันยางเท็กซ์ไทล์กรุ๊ป ที่นำเศษฝ้ายจากการผลิตมารีไซเคิล ช่วยลดขยะ ส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
การผลิตเส้นด้ายแต่ละครั้ง นอกจากจะได้วัตถุดิบหลักนำไปถักทอเสื้อผ้าแล้ว ระหว่างทางยังเกิดขยะจากเศษด้ายขึ้นอีกด้วย ซึ่งขยะที่ได้มานั้นสามารถนำไปสร้างมูลค่า รวมถึงนำกลับไปทำเสื้อผ้าได้อีกครั้งจากการรีไซเคิล ผ่านกระบวนการย้อนกลับจากการนำเศษด้ายมาเปลี่ยนให้เป็นเส้นใยฝ้ายแทน ทีม Urban Creature ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเส้นด้ายของ ‘กลุ่มบริษัทนันยางเท็กซ์ไทล์’ และทำความรู้จักเทคโนโลยี ‘Loopme’ ที่เป็นการนำเศษผ้าฝ้ายที่เหลือจากกระบวนการผลิตมารีไซเคิล เพื่อนำกลับมาใช้ผลิตเป็นผ้าใหม่อีกครั้ง นับเป็นวิธีการลดขยะจากอุตสาหกรรมสิ่งทอที่เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วย เปลี่ยนขยะให้กลับมาเป็นเส้นใย Loopme เริ่มต้นจากโครงการที่ทางบริษัทสนับสนุนให้พนักงานสร้างสรรค์นวัตกรรมของตนเอง โดย ‘อี๋-พิชัย สุวรรณทอง’ Technical Center Division Manager ‘หนึ่ง-ภัคพงศ์ ท้าวเพชร’ Technical Center Department Manager และทีม Technical Center ได้ร่วมกันคิดค้นเทคโนโลยีนี้ขึ้นมาจากการเห็น Yarn Waste หรือเศษด้ายที่เกิดจากการผลิตเส้นด้าย ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า จะทำอย่างไรให้ของเหลือทิ้งเหล่านี้กลับมาเป็นเส้นใยฝ้ายเพื่อนำไปใช้ใหม่ได้ ในเส้นทางการผลิตเส้นด้าย วัตถุดิบที่ใช้คือฝ้ายดิบที่จะผ่านกระบวนการปั่นด้ายประมาณ 8 – 13 ขั้นตอน กว่าจะได้เป็นเส้นด้ายที่ส่งต่อไปยังกระบวนการทอผ้าต่อไป ซึ่งในกระบวนการทำเส้นด้ายที่มีความซับซ้อนแบบนี้ย่อมตามมาด้วยการเกิดของเสียจากกระบวนการผลิตอยู่แล้ว เหตุผลเพราะกว่าจะได้ด้ายแต่ละหลอดที่จะนำไปใช้งานจริงนั้น ต้องผ่านกระบวนการตัดต่อจากเทคโนโลยีที่ใช้ตรวจสอบคุณภาพเส้นด้ายในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งหากเจอส่วนของเส้นด้ายที่ไม่ได้คุณภาพก็จะตัดส่วนเหล่านั้นออก เพื่อให้ได้เส้นด้ายคุณภาพดีที่สุด และแม้ว่าในการตัดทิ้งแต่ละครั้งจะได้เศษด้ายความยาวเพียงหนึ่งคืบ ทว่าเมื่อรวมกันก็ทำให้เกิดเป็นขยะปริมาณมหาศาล […]
ศิลป่า Khao Yai Art Forest แกลเลอรีศิลปะกลางพื้นที่สีเขียวไร้พรมแดน ที่ซึ่ง ผู้คน/ศิลปะ/ธรรมชาติ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
จะเป็นยังไงถ้าเราได้เดินดูงานศิลปะในแกลเลอรีที่ปราศจากสถาปนิกในการออกแบบ แต่เป็นพื้นที่ที่ถูกสร้างสรรค์อย่างอิสระโดยธรรมชาติ หากพูดถึงสุนทรียศาสตร์ ‘ศิลปะและธรรมชาติ’ คงเป็นความงามที่ปรากฏให้เราเห็นอยู่บ่อยๆ และ ‘ศิลป่า เขาใหญ่’ Khao Yai Art Forest คือสถานที่ที่ผนวกสิ่งเหล่านี้ ผ่านการจัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยจากศิลปินระดับโลกและศิลปินไทยในพื้นที่ป่าและธรรมชาติ พื้นที่นี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของ ‘มาริษา เจียรวนนท์’ ที่อยากสนับสนุนและผลักดันศิลปินให้ได้สร้างผลงานท่ามกลางธรรมชาติ และสร้างประสบการณ์รอบด้านให้ผู้มาเยือน ที่นี่จึงเป็นมากกว่าแกลเลอรีจัดงานศิลปะ เพราะยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิด พร้อมให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติ ปัจจุบันทาง Khao Yai Art Forest จัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยจากทั้งศิลปินไทยและศิลปินระดับโลกจำนวน 7 ชิ้น ได้แก่ 1) Maman โดย หลุยส์ บูร์ชัวส์ : ประติมากรรมแมงมุมบรอนซ์ขนาดยักษ์ หลายคนอาจคุ้นตาจากการจัดแสดงประติมากรรมชิ้นนี้ที่ Louisiana Museum of Modern Art ประเทศเดนมาร์ก แต่ตอนนี้ขาทั้งแปดได้เดินมาหาเราที่เขาใหญ่แล้ว ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพสีเขียว ครั้งแรกที่งานชิ้นนี้จัดแสดงกลางแจ้ง 2) Khao Yai Fog Forest, Fog Landscape […]
ธีสิสจิงเกิลรถไฟฟ้า ‘RailTones’ ใช้เสียงดนตรีบอกจุดเด่นของย่าน ผู้โดยสารรู้ว่าสถานีต่อไปคือที่ไหน
“เวลาได้ยินชื่อสถานี คนไทยอาจจะพอเดาได้ว่าชื่อนี้มีที่มาจากอะไร แต่ต่างชาติเขาจะได้ยินแค่ชื่อผ่านๆ ไป แต่ไม่รู้เลยว่าสามย่านคืออะไร อิสรภาพมีชื่อมาจากอะไร” RailTones เป็นโปรเจกต์ธีสิสจบการศึกษาของ ‘รักษ์ ศิวรักษ์’ นิสิตชั้นปีที่ 4 สาขาการออกแบบนิเทศศิลป์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CommDe) ที่ตั้งใจออกแบบจิงเกิลเพลงสำหรับรถไฟฟ้า MRT แต่ละสถานีให้มีความแตกต่างและดึงอัตลักษณ์ของย่านนั้นๆ ออกมา จากญี่ปุ่นสู่จิงเกิลไทย รักษ์เล่าให้เราฟังว่า เขาได้แรงบันดาลใจในการทำเรื่องนี้จากการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น และสังเกตว่าสถานีรถไฟฟ้าแต่ละสถานีจะมีเพลงของตนเอง ซึ่งหลังจากหาข้อมูลเพิ่มเติม รักษ์ยังพบว่าเพลงเหล่านั้นประพันธ์โดยมือคีย์บอร์ดวงคาสิโอเปีย ผู้เป็นศิลปินคนโปรดของเขา ประกอบกับตัวรักษ์มีความสนใจเรื่องเพลงและเล่นคีย์บอร์ดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงอยากนำทั้งหมดนี้มาผสมผสานเป็นงานจบปีการศึกษาของตนเอง แต่ความแตกต่างสำคัญระหว่างจิงเกิลของสถานีรถไฟฟ้าญี่ปุ่นและโปรเจกต์ที่รักษ์ตั้งใจทำคือ จุดประสงค์ในการใช้งาน เนื่องจากของญี่ปุ่นเป็นการใช้เพลงความยาว 7 วินาทีที่เท่ากับเวลาก่อนประตูรถไฟฟ้าจะปิด เพื่อเป็นการเตือนให้ประเทศที่มีผู้คนใช้รถสาธารณะหนาแน่นสูงได้รู้ตัวและไม่วิ่งฝ่าเข้าไป รวมถึงจังหวะและทำนองเพลงยังต้องแต่งให้ผู้ได้ยินเกิดความรู้สึกสว่าง สดใส เพื่อลดอัตราการฆ่าตัวตายในสถานีที่เป็นปัญหาใหญ่ของแดนปลาดิบนั่นเอง เสริมจุดเด่นของย่านด้วยจิงเกิล ในขณะที่ประเทศไทยนั้นมีบริบทที่ต่างออกไป จากข้อมูลที่รักษ์ได้สืบค้นและวิเคราะห์พบว่า ไทยให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวซึ่งสร้างรายได้ให้ประเทศสูง การสร้างจิงเกิลโดยเน้นแหล่งท่องเที่ยวหรือจุดเด่นของย่านละแวกสถานีนั้นดูจะเหมาะสมมากกว่า ซึ่งความคิดนี้ก็สอดคล้องกับ MRT หรือรถไฟฟ้าใต้ดินของไทย ที่ตกแต่งบางสถานีให้เป็นธีมตามย่านหรือสถานที่สำคัญบริเวณนั้นๆ เช่น สถานีสามยอดที่มีตึกด้านนอกสถานีเป็นโทนเดียวกันกับตึกโดยรอบ สถานีสนามไชยที่ตกแต่งภายในอาคารด้วยสถาปัตยกรรมไทยโบราณสอดคล้องกับวัดและวังโดยรอบ รักษ์จึงแบ่งประเภทของสถานีรถไฟฟ้า MRT ออกเป็นสามกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มย่านการค้า […]
‘A Week at the Knees’ ประติมากรรมซุ้มอิฐในสวนที่ลอนดอน ดูเหมือนผนังบ้านกำลังนั่งชันเข่าพักผ่อน
‘Alex Chinneck’ ศิลปินชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงด้านการสร้างผลงานศิลปะที่มักสร้างความประหลาดใจให้กับผู้พบเห็น ไม่ว่าจะเป็น ‘From the Knees of my Nose to the Belly of my Toes’ (2013) ผลงานที่ดูราวกับว่าผนังหน้าบ้านเลื่อนลงมาอยู่ด้านล่าง หรือ ‘Take my Lightning but Don’t Steal my Thunder’ (2014) อาคารที่ยังคงตั้งอยู่ได้แม้ว่าเสาที่ยึดอยู่นั้นจะลอยฟ้าก็ตาม และผลงานล่าสุดที่เป็นส่วนหนึ่งของงาน Clerkenwell Design Week 2025 ที่จัตุรัส Charterhouse ก็ยังคงสร้างความสนใจให้ผู้พบเห็นกับ ‘A Week at the Knees’ ซุ้มอิฐความสูง 5.5 เมตร ยาว 13.5 เมตร ที่มีลักษณะคล้ายผนังบ้านที่ประกอบไปด้วยประตูและหน้าต่าง มีท่าทางเหมือนกำลังนั่งชันเข่า เมื่อนำไปตั้งไว้ในสวนสาธารณะจึงอาจเปรียบได้ว่าเป็นตัวแทนของคนที่เข้ามานั่งพักผ่อนอยู่ในสวนแห่งนี้ก็ได้ ถึงแม้ว่าผลงานนี้จะดูเหมือนใช้วัสดุน้ำหนักเบา สามารถโค้งงอได้ตามต้องการ แต่ความจริงแล้วซุ้มนี้ใช้อิฐถึง 7,000 […]
Tokyo Tatemono Mitsutera Building ตึกที่รวมวัดกับโรงแรมไว้ในที่เดียว ผสมผสานความเก่าและใหม่เข้าด้วยกันแบบ Win-Win
จะเป็นอย่างไรถ้าวัดและโรงแรมตั้งอยู่ในที่เดียวกัน แบบชนิดที่ว่าแม้แต่ทางเข้าก็ยังเป็นทางเดียวกัน ‘Tokyo Tatemono Mitsutera Building’ คืออาคารใจกลางเมืองโอซากา ตัวอย่างการอนุรักษ์ศาสนสถานโบราณเดิมด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างโดยรอบจนเป็นวัดสไตล์เมือง เพื่อโอบรับผู้มาเยือนที่มีหลากหลายกลุ่ม แม้มองจากภายนอก Tokyo Tatemono Mitsutera Building จะเป็นตึกหน้าตาโมเดิร์นทั่วๆ ไป แต่เมื่อมองเข้าไปจะพบว่ามีวิหารหลักเก่าแก่ของ ‘วัดมิสึเทระ’ (Mitsutera Temple) ซึ่งเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์มากกว่า 1,300 ปี ซึ่งได้รับการเคารพนับถือและเป็นส่วนหนึ่งของเมืองซ่อนตัวอยู่ จากเหตุการณ์ระเบิดเมืองโอซากาในปี 1945 ทำให้ทั้งผู้คนและสิ่งก่อสร้างในเมืองได้รับผลกระทบและความเสียหายเป็นวงกว้าง โชคดีที่ตัววิหารหลักของวัดไม่ได้รับความเสียหายอะไรมาก จึงมีการตัดสินใจสร้างตึกที่ภายในประกอบด้วยร้านค้าต่างๆ และโรงแรม Candeo Hotels ครอบวิหารไว้ ขณะเดียวกัน ด้วยความที่คอนเซปต์ของโรงแรมคือ ‘Gleaming Brightly’ โถงทางเข้าหลักจึงตกแต่งด้วยงานแล็กเกอร์เคลือบเงาและแผ่นทอง สะท้อนถึงความสง่างาม สว่างไสว ทำให้ตัวตึกสมัยใหม่กลมกลืนไปกับสถาปัตยกรรมเดิมของตัววัด ภายในตึกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ วัด โรงแรม และร้านค้า ผ่านการออกแบบชั้น 1 – 3 ด้วยโครงสร้าง Atrium เป็นห้องโถงใหญ่ที่รองรับผู้คน […]
จากถนนของรถยนต์สู่เส้นทางจักรยาน เมืองซูริก สวิตเซอร์แลนด์ เปิดทางสัญจรใหม่ อุโมงค์ใต้ทางรถไฟเพื่อชาวสองล้อโดยเฉพาะ
ในขณะที่การเดินทางด้วยจักรยานในกรุงเทพฯ ยังอยู่ในจุดลุ่มๆ ดอนๆ แต่ที่เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ออกแรงปั่นไปถึงระดับโครงสร้าง เปิดเส้นทางสัญจรอุโมงค์ใหม่ใต้สถานีรถไฟหลักให้จักรยานและพาหนะสองล้อพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะแล้ว อุโมงค์ที่ว่านี้เชื่อมระหว่างถนนสองสายที่อยู่กันคนละเขต ซึ่งจริงๆ เดิมทีเส้นทางนี้ได้รับการวางแผนไว้เป็นเส้นทางจราจรของรถยนต์ แต่ได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นเส้นทางสัญจรแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยอุโมงค์นี้มีความยาว 440 เมตร และกว้างสูงสุดถึง 6 เมตร ระดับที่สามารถปั่นจักรยานเคียงข้างกันได้แบบสบายๆ ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องกังวลถึงความปลอดภัย เพราะเส้นทางนี้ไม่อนุญาตให้คนเดินเท้าเข้าใช้ (ด้านบนอุโมงค์มีถนนและทางเท้าเตรียมพร้อมให้อยู่แล้ว) อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้ผู้ที่ขับขี่พาหนะสองล้อพลังงานไฟฟ้าใช้ความเร็วเกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จุดเด่นอีกอย่างคือ พื้นที่จอดจักรยานที่ปลอดภัยขนาด 1,240 คันบริเวณทางเข้าอุโมงค์ พร้อมด้วยไฟส่องสว่าง กล้องวงจรปิด และป้ายบอกทางอย่างชัดเจน มากไปกว่านั้น ภายในอุโมงค์ยังติดตั้งไฟ LED ตลอดเส้นทาง แถมยังใช้ศิลปะมาสร้างสีสันให้ระหว่างทางมีความเฟรนด์ลี น่าใช้งาน และสบายตาสบายใจแก่ผู้ใช้งานทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ตัวอุโมงค์จักรยานนี้เป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจที่จะยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการปั่นจักรยานและส่งเสริมการเดินทางอย่างยั่งยืน หลังจากที่ทางรัฐพัฒนาโครงการมานานกว่าทศวรรษ โดยอุโมงค์จักรยานนี้จะเชื่อมต่อกับเครือข่ายการขนส่งของเมืองอย่างไร้รอยต่อ เพื่อทำให้การเดินทางด้วยจักรยานมีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น สอดคล้องกับความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการสร้างเมืองที่เอื้อต่อการใช้จักรยานและเดินทางอย่างยั่งยืนของซูริกต่อไป Sources :A Piece of Switzerland | tinyurl.com/22at22oaCanadian Cycling Magazine | tinyurl.com/2b8gj8wh
ญี่ปุ่นจำลองระบบป้องกันน้ำท่วมใต้ดินใน ‘Minecraft’ เมื่อเกมเป็นทั้งพื้นที่สร้างสรรค์และการเรียนรู้ ที่พร้อมให้เหล่านักสำรวจเข้าเยี่ยมชม
อย่างที่รู้กันว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เผชิญภัยพิบัติอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องคอยให้ความสำคัญกับการเตรียมแผนรับมือและจัดการกับความเสี่ยงอย่างรอบคอบ หนึ่งในนั้นคือปัญหาน้ำท่วม ทั้งจากฝนตกหนักหรือพายุโหมกระหน่ำ รัฐบาลจึงสร้างระบบระบายน้ำใต้ดินขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นที่รองรับน้ำ และป้อมปราการใต้ดินป้องกันน้ำท่วมเมือง เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจการทำงานของระบบนี้ กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น (MLIT) ได้เปิดตัวแผนที่ Minecraft วิดีโอเกมแนว Sandbox สามมิติ ในการจำลองอุโมงค์ระบายน้ำใต้ดิน หรือ ‘G-Cans’ ซึ่งเป็นระบบควบคุมน้ำท่วมใต้นครโตเกียวที่อลังการที่สุดในโลก จุดประสงค์คือ เพื่อเป็นคอร์สส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องการป้องกันภัยพิบัติ และโปรโมตการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น เนื่องจากมีการเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าศึกษาสถานที่จริงได้ โดยจะมีการใช้แผนที่เกม Minecraft นี้เป็นส่วนหนึ่งในการนำทัวร์ด้วย ไฮไลต์ที่ห้ามพลาดของแผนที่จำลองนี้คือ การพาไปชมแท็งก์น้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งเรียงรายเหมือนเสาวิหาร นอกจากจะทำหน้าที่ยึดค้ำเพดานแล้ว ยังช่วยควบคุมแรงดันไม่ให้น้ำจากใต้ดินลอยขึ้นสู่ผิวดินอีกด้วย อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือห้องควบคุมกลาง ที่เราสามารถควบคุมระบบเปิด-ปิดประตูระบายน้ำได้ด้วยตัวเอง หรือจะลองไปสำรวจพื้นที่ชุมชนโดยรอบที่ได้รับการป้องกันจากป้อมปราการใต้ดินก็ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ทุกคนสามารถรับชมผ่านเกมได้อย่างสมจริง ที่รัฐบาลญี่ปุ่นลงทุนทำขนาดนี้ ก็เพื่อทำให้ประชาชนเห็นระบบ กระบวนการ และผลลัพธ์ที่ได้จากการวางแผนจัดการภัยพิบัติของประเทศ ที่ให้ความสำคัญกับปัญหาต่างๆ รวมถึงกลวิธีในการส่งเสริมความรู้ให้คนในเมือง เพราะนอกจากจะได้ความสนุกจากการเล่นเกมแล้ว ยังได้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภัยพิบัติ แถมได้เยี่ยมชมสถานที่จำลองเสมือนจริงในเวลาเดียวกันอีกด้วย ดาวน์โหลดแผนที่ฟรีผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานแม่น้ำเอโดะกาวะได้ที่ tinyurl.com/577fey5z โดยแผนที่นี้เปิดให้ใช้ได้กับ Minecraft Bedrock เวอร์ชัน 1.21.1 และ Education Edition […]
Balance Bench ม้านั่งกระดกในสวนสาธารณะ แค่นั่งพักก็มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนได้มากขึ้น
‘Balance Bench’ คือการรวมตัวกันระหว่าง ‘ม้านั่งยาว’ และ ‘กระดานกระดก’ ที่เปลี่ยนให้การนั่งม้านั่งใน Garden of Generations สวนสาธารณะในเมืองไอน์เบ็ก ประเทศเยอรมนี สนุกมากขึ้น ผลงานการออกแบบของ ‘Martin Binder’ ศิลปินชาวเบอร์ลิน ที่อยากชวนทุกคนมามีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นผ่านม้านั่งรูปทรงเรียบง่ายที่สร้างขึ้นด้วยโครงเหล็กและไม้โอ๊ก ด้วยกลไกบังคับของการเป็นไม้กระดกทำให้ Balance Bench เป็นม้านั่งความยาว 4.5 เมตร กลายเป็นม้านั่งที่ต้องการผู้นั่งอย่างน้อย 2 คนและรองรับคนได้ถึง 8 คน เพื่อทำให้เกิดการพูดคุยค้นหาความสมดุลในระหว่างการนั่ง Martin Binder ให้คำอธิบายแนวคิดของผลงานชิ้นนี้ว่าเป็น ‘Democracy in Design’ ที่ไม่มีลำดับชั้น ไม่มีศูนย์กลางที่แน่นอน และไม่มีผู้นำ วิธีเดียวที่จะทำให้เกิดการนั่งที่สบายขึ้นได้คือการสื่อสารและการตระหนักรู้ถึงผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน เพื่อค้นหาสมดุลที่เหมาะสม ทำให้ Balance Bench ไม่เพียงแต่เป็นม้านั่งที่ใช้งานได้จริงเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการสนทนาระหว่างกัน เพื่อนำเสนอว่างานศิลปะบนพื้นที่สาธารณะจะส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนและสะท้อนถึงคุณค่าของสังคมได้อย่างไร “คุณไม่สามารถบังคับเจตจำนงของคุณกับม้านั่งได้ เพราะฟิสิกส์ไม่อนุญาตให้เราทำเช่นนั้น เช่นเดียวกับพื้นที่ประชาธิปไตยที่ต้องการการให้และรับ การตระหนักรู้ถึงความต้องการของผู้อื่น และความเต็มใจที่จะปรับตำแหน่งของตนเองเพื่อประโยชน์ร่วมกัน” Martin Binder […]
‘La Libreria’ ห้องสมุดโปร่งแสงใน Venice Architecture Biennale ถอดออกประกอบ เคลื่อนย้ายได้ สร้างบรรยากาศให้ผู้คนอยากเข้ามาอ่านหนังสือ
ลืมภาพห้องสมุดทึบๆ ที่มีหน้าต่างให้แสงลอดผ่านแค่บางส่วนไปได้เลย เพราะ ‘La Libreria’ คือห้องสมุดที่จะสร้างภาพจำใหม่ เคลื่อนย้ายไปตั้งที่ไหนก็ได้ ขนาดกะทัดรัด แถมรูปแบบของผนังยังเป็นแบบโปร่งแสงใกล้ชิดกับธรรมชาติรอบนอก La Libreria เป็นผลงานของสตูดิโอจากนิวยอร์ก ‘Diller Scofidio + Renfro’ และเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล ‘Venice Architecture Biennale’ ตั้งอยู่ใน ‘Giardini della Biennale’ สวนสาธารณะในเวนิส ที่เป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลศิลปะ Venice Biennale โครงสร้างห้องสมุดนี้ทำขึ้นจาก Structural Transparent Fluorinated Envelope (STFE) สิ่งทอทางสถาปัตยกรรมคุณภาพสูง ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับพื้นที่กว้างด้วยวัสดุที่น้อยที่สุด ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีน้ำหนักเบาและไม่ได้ยึดกับพื้นเอาไว้ แต่ด้วยน้ำหนักของหนังสือที่วางเรียงอยู่บนชั้นตลอดความยาว 24 เมตรของพื้นที่ ทำให้โครงสร้างแห่งนี้มีความมั่นคง รวมไปถึงตัวโครงสร้างเองยังถอดออกเพื่อประกอบขึ้นใหม่ได้ และด้วยความที่ผนังเป็นวัสดุโปร่งแสง จึงเป็นการสร้างประสบการณ์แบบใหม่ให้ผู้ใช้งาน เช่น ในช่วงกลางวันจะทำให้คนที่อยู่ภายใน La Libreria รู้สึกราวกับว่ากำลังอ่านหนังสืออยู่ภายใต้ธรรมชาติและต้นไม้ที่ล้อมรอบอยู่ด้านนอก แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางคืน La Libreria จะทำหน้าที่เสมือนว่าเป็นโคมไฟในสวน ที่จะดึงดูดให้ผู้คนเดินเข้ามาเลือกชมหนังสือภายในห้องสมุด Venice […]
‘Guānghuá Bào LETTER Press by Poontany’ ไปส่องโฆษณาเก่าในหนังสือพิมพ์จีนเจ้าใหญ่ ทำความเข้าใจบริบทของยุคสมัยและกรุงเทพฯ ผ่านการออกแบบ
นอกจากการออกแบบสถาปัตยกรรมหรือชิ้นงานใหญ่ๆ ที่บ่งบอกถึงแนวคิด บริบท และเทรนด์ในยุคนั้นๆ ได้ งานออกแบบชิ้นเล็กๆ ที่อยู่บนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ก็บอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองและสังคมในช่วงเวลาที่ตีพิมพ์ได้เช่นเดียวกัน หลังจากเปิดขายสินค้าของเด็ดของดีในกรุงเทพฯ มาหลายเดือน ห้างซัพสินค้าของคนรักกรุงเทพฯ อย่างเนเบอร์มาร์ท ขอเติมสีสันเปิดลานกิจกรรมไว้ภายในร้านด้วยการชวน ปุณณ์ พจนาเกษม นักออกแบบสื่อสารข้อมูล (Information Designer) ทายาทรุ่นที่ 3 ของหนังสือพิมพ์จีน กวงฮั้วป่อ ผู้ชุบชีวิตสิ่งพิมพ์ของครอบครัวขึ้นมาอีกครั้ง หลังหลับใหลมา 66 ปี ในชื่อ กวงฮั้ว แอนด์ ดอว์น มาจัดนิทรรศการขนาดย่อมของตัวเอง ภายในนิทรรศการนี้ เราจะได้พบกับโฆษณาเก่าในหนังสือพิมพ์จีนเจ้าใหญ่ ใครที่เกิดทันก็น่าจะตื่นเต้นมากๆ กับการได้เห็นเศษเสี้ยวความทรงจำของยุคสมัยนั้นอีกครั้ง ส่วนใครเกิดไม่ทัน แค่ลองสำรวจชิ้นงานก็สนุกแล้ว หลายชิ้นน่ารักจนนึกไม่ถึงเลยว่า นี่คืองานออกแบบที่ใช้โฆษณาในหนังสือพิมพ์จริงหรือนี่ มากไปกว่านั้น ใครที่อินเรื่องเมืองและสังคม ลองหยิบเอาอุปกรณ์แว่นขยายในนิทรรศการมาส่องดูบริบทของยุคสมัยและกรุงเทพฯ ผ่านตัวอักษร ฟอนต์ที่ใช้ วิธีการโฆษณา และภาษาภาพแบบใกล้ๆ ได้เลย เพราะทั้งหมดนี้อยู่ในยุครุ่งเรืองของหนังสือพิมพ์ทรงอิทธิพลในหมู่ชุมชนชาวจีนบางกอกยุคก่อนสงครามเย็น แถมชมนิทรรศการเสร็จแล้วยังอุดหนุนชิ้นงานและแสตมป์สติกเกอร์ตัวอักษร A–Z ที่ปุณณ์ออกแบบและหยิบยืมแรงบันดาลใจจากหน้าหนังสือพิมพ์กวงฮั้วป่อได้อีกด้วย ใครเพิ่งรู้ข่าวแล้วอยากตามไปชมนิทรรศการ Guānghuá Bào LETTER Press […]
Langfang Beifengdao Garbage Transfer Station สถานีขนถ่ายขยะขนาด 2 คันรถ ต้องการลบอคติด้วยภาพลักษณ์ใหม่ที่ยั่งยืน
เมื่อพูดถึงรถขยะและสถานีขยะ มักมาพร้อมภาพจำของความสกปรกและกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลให้คนมีอคติโดยไม่รู้ตัว ‘Langfang Beifengdao Garbage Transfer Station’ คือสถานีขนถ่ายขยะในมณฑลเหอเป่ย ประเทศจีน ที่สตูดิโอออกแบบ ‘Atelier Ingarden’ หยิบเอาพื้นที่มุมเมืองที่ถูกทิ้งร้างหลังการรื้อถอนหมู่บ้านกลับมาใช้งานอีกครั้ง โดยหวังเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อสถานีขนถ่ายขยะ ผ่านการออกแบบที่จะทำให้สถานีแห่งนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์เมืองและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม จากความตั้งใจนี้เกิดเป็นสถานีขนถ่ายขยะขนาด 2 คันรถ ที่ใช้แผ่นไม้ลามิเนตเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้างแทนการใช้สังกะสีแบบเดิมๆ เกิดเป็นรูปลักษณ์ที่ช่วยลดอคติเชิงลบเกี่ยวกับการกำจัดขยะ ทำให้สถานีไม่แปลกแยกออกจากพื้นที่ และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสามารถลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่าสถานีแบบเดิม อีกทั้งยังช่วยให้ลมพัดผ่านได้สะดวกและให้แสงสว่างทางอ้อมภายในอาคารจากการวางตัวไม้ในแนวเฉียง นอกจากนี้ สถานีขนถ่ายขยะ Langfang Beifengdao ยังมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดภายในพื้นที่จำกัด ทำให้สถานีแห่งนี้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ พื้นที่เก็บและขนถ่ายขยะ พื้นที่จอดรถบรรทุกขยะ และพื้นที่จัดเก็บเครื่องมือ บนพื้นที่ที่มีความกว้างเพียง 7.8 เมตรและยาว 12.6 เมตรเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นสถานีขนถ่ายขยะที่ได้รับการออกแบบอย่างใส่ใจ และแสดงให้เห็นว่าการออกแบบมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในเมือง ทั้งในแง่ของการใช้งานและความสวยงาม อีกทั้งยังเปลี่ยนมุมมองของคนที่มีต่อสถานีขนถ่ายขยะด้วย Sources : ArchDaily | t.ly/_LSL6 UNI | t.ly/eKkKa