ความสัมพันธ์แม่ลูก การเมือง และอำนาจปิตาธิปไตย ที่ยังคอยย้ำเตือนอยู่ในช่วงเวลาของ ‘อย่ากลับบ้าน’

*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์* เพื่อไม่ให้เป็นการเสียอรรถรสสำหรับคนที่อยากรับชม ‘อย่ากลับบ้าน’ ซีรีส์ออริจินัลสัญชาติไทยเรื่องล่าสุดของ Netflix คงต้องเรียนให้ผู้ที่เข้ามาอ่านบทความไปชมซีรีส์เรื่องนี้ก่อนโดยไม่ต้องรับรู้ข้อมูลใดๆ ยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดีที่สุด เพราะว่ากันตามตรง อย่ากลับบ้าน เป็นซีรีส์ที่เล่นกับความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเรื่องราวลึกลับที่เก็บงำซ่อนเอาไว้เป็นไม้เด็ด ซึ่งหากรับรู้เรื่องราวมากเกินไป ความตั้งใจที่ตัวซีรีส์พยายามจะสร้างความรู้สึกคาดไม่ถึงแก่ผู้ชมก็อาจหายไปโดยพลัน แต่หากต้องเล่าเรื่องย่อให้คนที่อยากรู้จริงๆ เนื้อเรื่องคร่าวๆ ของ อย่ากลับบ้าน นั้นเล่าถึง ‘วารี’ (นุ่น วรนุช) หญิงสาวผู้มีใบหน้าฟกช้ำและคราบน้ำตากำลังเดินทางหอบลูกสาววัย 5 ขวบชื่อ ‘มิน’ (เจแปน พลอยปภัส) เดินทางกลับสู่บ้านเก่าของครอบครัว ณ อำเภอตะกั่วป่าที่เธอเติบโตในวัยเด็ก บ้านหลังนี้มีชื่อว่า ‘บ้านจารึกอนันต์ 2475’ เป็นบ้านเก่าทรงยุโรปกลางป่าที่เก็บซ่อนความลึกลับพิศวงของอดีตเอาไว้ และยังเชื่อมโยงไปถึงเหตุผลที่แม่ลูกทั้งสองเดินทางหนีบางสิ่งบางอย่างมาสู่สถานที่แห่งนี้ ที่ซึ่งนำไปสู่เหตุผลและความหมายของคำว่า ‘อย่ากลับบ้าน’ หลังจากนี้จะเป็นการพูดถึงเนื้อหาที่จะเปิดเผยเรื่องราวสำคัญในซีรีส์ อย่ากลับบ้าน แล้ว ด้วยวิธีการเล่าท่าทีล่อหลอกผู้ชมให้เชื่อไปในทางหนึ่ง ในที่นี้คือหลอกให้หลงเชื่อว่านี่คือซีรีส์แนว ‘สยองขวัญ’ ว่าด้วยผีวิญญาณร้ายที่สิงสถิตอยู่ในบ้านร้างและหลอกหลอนตัวละครสองแม่ลูก หลังจากหลอกตีหัวคนดูเข้าบ้านได้ด้วยแนวทางที่เหมาะสมแก่การเป็นซีรีส์ฉายในคืนวันฮาโลวีน จากนั้นเรื่องราวจะพาคนดูหัวหมุนตีลังกาด้วยความสงสัย ก่อนพลิกผันเฉลยตัวตนที่แท้จริงว่าเป็นแนว ‘ไซไฟ’ ในภายหลัง เป็นการเล่นกับความคาดหวังสงสัยใคร่รู้ของคนดูอย่างน่าตื่นเต้น หากแต่สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้มีเพียงลูกเล่นที่เล่นกับการคาดเดาของคนดูเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความหมายซุกซ่อนอยู่ในเอเลเมนต์ต่างๆ ที่สะท้อนประเด็นสังคมได้อย่างน่าค้นหา ค่านิยมของสังคมที่วนลูปและไม่เคยหายไป การผันตัวเองจากความคาดหวังว่าจะได้ชมซีรีส์สยองขวัญแนวผีๆ ไปสู่การเป็นซีรีส์แนวไซไฟย้อนเวลาของ […]

ชำแหละความงามในอุดมคติที่กำหนดโดยทุนนิยม บิวตี้สแตนดาร์ด และชายเป็นใหญ่ผ่าน THE SUBSTANCE

เทศกาลหนังเมืองคานส์ (Cannes Film Festival) ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่เรียกความสนใจจากคอหนังมาต่อเนื่องทุกปี บรรดาภาพยนตร์ที่ปรากฏชื่อในเทศกาลนี้ล้วนแล้วแต่ได้รับการพูดถึงไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ยิ่งภาพยนตร์เรื่องไหนได้รับรางวัลจากเทศกาลนี้ จะกลายเป็นเครื่องการันตีคุณภาพของหนังระดับแปะ A must ว่าพลาดไม่ได้เด็ดขาด ซึ่งคานส์ขึ้นชื่อในเรื่องความเป็นศิลปะเป็นอย่างมาก พูดง่ายๆ ว่าหลายคนอาจบอกว่าหนังคานส์เป็น ‘หนังอาร์ต ดูยาก ดูไม่รู้เรื่อง’ ยกตัวอย่าง ภาพยนตร์ฝีมือคนไทยอย่าง Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives (2010) หรือ ลุงบุญมีระลึกชาติ ของ เจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล แต่หลายครั้งก็เป็นหนังที่ทุกคนชื่นชมไปในทางเดียวกันอย่าง Parasite (2019) ของ บงจุนโฮ ซึ่งในปีนี้แม้ผู้ชนะรางวัลใหญ่ของงาน Palme d’Or จะเป็นภาพยนตร์เรื่อง Anora (2024) (ซึ่งชาวไทยจะได้ชมกันในเร็วๆ นี้) ของ Sean Baker เจ้าของผลงาน The Florida Project (2017) แต่หนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงลือลั่นฮือฮาบอกต่อกันมาถึงความแปลก […]

เจาะเวลาหาอดีตที่ถูกลบเลือน อนาคตที่ไร้หนทาง และความหวังที่จะก้าวต่อไป ในหนังไซไฟไทย ‘Taklee Genesis ตาคลี เจเนซิส’

การเดินทางข้ามเวลา ไคจู ไดโนเสาร์ โลกอนาคต ความไซไฟทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาดูเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยปรากฏบนประวัติศาสตร์หนังไทย และน้อยครั้งมากที่จะประสบความสำเร็จในด้านคำวิจารณ์และรายได้ หลายครั้งที่คนทำหนังไทยริอ่านท้าทายขนบ ทะเยอทะยานจินตนาการถึงสิ่งเหล่านี้ แต่สุดท้ายล้วนแล้วแต่ออกมาเป็นภาพที่เกินฝันชาวไทยเสมอ และต้องเจอข้อครหามากมายรอบด้านจนต้องละทิ้งความฝันนี้ไปในที่สุด ทั้งที่หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไซไฟเชื้อสายไทยนั้นก็ไม่ได้มีให้พบเห็นบ่อยมากอยู่แล้ว นับตั้งแต่ ‘มันมากับความมืด’ (2514), ‘ขอชื่อ สุธี สามสี่ชาติ’ (2532), ‘กาเหว่าที่บางเพลง’ (2537), ‘สลิธ โปรเจกต์ล่า’ (2566) มาจนถึง ‘Uranus 2324’ (2567) แต่ดูเหมือนความฝันในการพยายามเนรมิตไซไฟแบบไทยๆ จะยังไม่หมดลงแต่อย่างใด ผู้กำกับ ‘มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล’ ที่แม้จะเพิ่งผ่านผลงานที่มีความเป็นไซไฟผสมอยู่อย่าง ‘มอนโด รัก | โพสต์ | ลบ | ลืม’ (2566) มาไม่นาน ก็ขอสานต่อความกล้าที่จะท้าทายผู้ชมชาวไทยด้วยผลงานไซไฟเต็มรูปแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนใน ‘Taklee Genesis’ ซึ่งถือว่าเป็นวาระสำคัญของประวัติศาสตร์หนังไทย ที่จะมีทั้งผู้กำกับไทย และค่ายหนังอย่าง ‘เนรมิตรหนัง ฟิล์ม’ ร่วมด้วยสตูดิโอระดับโลกอย่าง ‘Warner Bros.’ ที่กล้าบ้าบิ่นกันขนาดนี้ […]

ปอกเปลือกความเหลื่อมล้ำดั่งหนามทิ่มแทง และความยุติธรรมที่ไม่มีวันออกผลใน วิมานหนาม (The Paradise of Thorns)

‘วิมานหนาม (The Paradise of Thorns)’ ผลงานล่าสุดจากค่าย GDH ร่วมกับ ‘ใจ สตูดิโอ’ ผ่านการกำกับของ ‘บอส-นฤเบศ กูโน’ (ซีรีส์แปลรักฉันด้วยใจเธอ) ด้วยเรื่องราวที่แปลกใหม่แตกต่างจากสิ่งที่ค่ายหนังอารมณ์ดีของไทยเคยทำมา พร้อมการแสดงของศิลปินที่พลิกบทบาทมาสู่การเป็นนักแสดงอย่าง ‘เจฟ ซาเตอร์’ และ ‘อิงฟ้า’ นักร้องและนางงามที่สลัดบทบาทมารับบทใหม่ในแบบที่ผู้ชมไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งหมดนี้คงทำให้หลายคนรู้สึกอยากดูวิมานหนามขึ้นมาทันที แต่อีกความน่าสนใจสุดๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ความต้องการนำเสนอประเด็นสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นานนี้ ด้วยการมองเห็นถึงปัญหาของช่องโหว่ทางกฎหมายมากมายที่ทำให้เกิดความทุกข์ยากแก่ผู้คนชายขอบที่ไม่ได้เป็นที่สนใจในสังคม ประเด็นหนึ่งที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือ สิทธิตามกฎหมายของคู่รัก LGBTQ+ ที่ทำให้หลายคนพลาดโอกาสในการมีชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นไปอย่างน่าเสียดาย สิ่งเหล่านี้ถูกนำเสนอผ่านเรื่องราวของ ‘ทองคำ’ (เจฟ ซาเตอร์) และ ‘เสกสรร’ (เต้ย พงศกร) คู่รักที่ร่วมกันสร้างสวนทุเรียนขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองกว่า 5 ปี โดยทองคำเป็นคนหยิบยื่นเงินในการไถ่ถอนที่ดินติดจำนองและมอบที่ดินผืนนี้ให้เสกไว้เป็นดั่งทะเบียนสมรสของทั้งสอง แต่ยังไม่ทันได้มีความสุขนานพอที่จะเห็นผลผลิตผลิดอกออกผล เสกก็ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตไปในที่สุด ทำให้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดกลับไปตกอยู่กับ ‘แม่แสง’ (สีดา พัวพิมล) ผู้เป็นมารดาของเสก และได้พา ‘โหม๋’ (อิงฟ้า วราหะ) ลูกสาวที่เก็บมาเลี้ยง รวมทั้ง […]

The Cursed Land คนต่างแดนที่ถูกสาปด้วยความแตกต่างในพื้นที่ ความเชื่อ วัฒนธรรม และสิ่งเร้นลับของชาวไทยมุสลิมในสายตาชาวไทยพุทธ

ตั้งแต่เริ่มต้น ‘แดนสาป The Cursed Land’ ถือว่าเป็นโปรเจกต์ภาพยนตร์ไทยที่น่าสนใจ ตั้งแต่พลอตเรื่องของพ่อลูกชาวไทยพุทธที่ย้ายเข้าไปอยู่ในชุมชนชาวไทยมุสลิม และถูกคุกคามโดยบางสิ่งบางอย่างที่อยู่เหนือกว่าความเข้าใจของศาสนา เรื่องราวแบบพหุวัฒนธรรมของชาวไทยแบบที่ไม่ค่อยถูกนำเสนอมากนักบนจอภาพยนตร์ นอกจากนี้ แดนสาปยังเป็นผลงานจาก 2 บุคลากรในวงการภาพยนตร์อย่าง ‘ภาณุ อารี’ ผู้อำนวยการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ที่รับบทบาทเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ และ ‘ก้อง ฤทธิ์ดี’ ที่ลองข้ามจากดินแดนนักวิจารณ์ภาพยนตร์มาเป็นผู้เขียนบท และยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีกเมื่อทั้งคู่ต่างเป็นชาวไทยมุสลิม เคยมีผลงานสารคดีเกี่ยวกับชีวิตคนมุสลิมไทยอย่าง มูอัลลัฟ (2008), Baby Arabia (2010) และ กัดดาฟี (2013) ทำให้มีสายตาของชาวไทยเชื้อสายมุสลิมที่จับจ้องเห็นถึงประเด็นความเป็นมุสลิมบางอย่างในสังคมไทยที่จะได้รับการนำเสนอออกมาจากคนใน เพียงแต่คราวนี้มาในรูปแบบของหนังสยองขวัญ แรกเริ่มแม้จะมีดราม่าของการโปรโมตที่ก่อให้เกิดประเด็นอันทำให้หลายคนมองตัวหนังผิดไป แต่เมื่อได้ชมตัวหนังจริง มันเป็นสิ่งที่ต่างจากการโปรโมตในเชิงภาพผีอิสลามอย่างชัดเจน อีกทั้งยังสื่อสารว่าสิ่งที่ทุกคนกำลังจะได้รับชมนี้ไม่ใช่เรื่องราวของผีแต่เป็นความลี้ลับแบบอื่น ไม่ใช่คนในพื้นที่ที่แปลกประหลาด แต่เป็นสายตาอคติของคนภายนอก ‘แดนสาป The Cursed Land’ ถูกระบุเรื่องราวไว้อย่างชัดเจนว่าเกิดขึ้นในย่านหนองจอก ที่ซึ่งถูกเรียกขนานนามว่าเป็น ‘ดงแขก’ เพราะมีชาวไทยมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเสียยิ่งกว่าชาวไทยพุทธตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษชาวมลายู ย่านนี้กลายเป็นพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมบริเวณขอบเกือบจะหลุดออกนอกของพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร อันเต็มไปด้วยชุมชนมัสยิดของชาวมุสลิมที่ใช้ชีวิตกันเสมือนยังเป็นชนบทต่างจังหวัดมากกว่าเมืองแบบภาพกรุงเทพฯ ในความคิดของหลายคน เมื่อสืบค้นข้อมูลพื้นที่ดังกล่าวลงไปจะค้นพบว่าเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์อันบอบช้ำในยุคต้นรัตนโกสินทร์ เพราะเชลยศึกจากปัตตานีถูกกวาดต้อนมาใช้เป็นแรงงานในการขุดคลองแสนแสบบริเวณฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ซึ่งปัจจุบันคือเขตหนองจอก มีนบุรี และคลองสามวา ที่นี่เองคือถิ่นฐานที่สองพ่อลูก […]

ถอดรหัสความสำเร็จจาก Haikyu!! สุดยอดมังงะกีฬาสร้างแรงบันดาลใจ สู่การฟื้นกระแสกีฬาวอลเลย์บอลในญี่ปุ่น

‘เพราะว่าเราไม่มีปีก ดังนั้นเราจึงพยายามหาวิธีที่จะบิน’ หากพูดถึงอนิเมะที่กระแสแรงที่สุดในวินาทีนี้คงหนีไม่พ้น ‘ไฮคิว!! คู่ตบฟ้าประทาน’ หรือ ‘Haikyu!!’ จากกระแส #ประเทศไทยมีศึกกองขยะแล้ว ครองไทม์ไลน์โซเชียลมีเดียตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงปัจจุบัน แต่จริงๆ แล้วความเฟมัสของไฮคิว!! ไม่ได้เพิ่งมีในช่วงปีนี้ เพราะที่ผ่านมาไฮคิว!! ถูกพูดถึงมาตลอดในฐานะการ์ตูนสร้างแรงบันดาลใจ ที่ ‘ชาวไฮเคี่ยน’ มักนำโควตของตัวละครในเรื่องมาแชร์กันบ่อยครั้ง ทั้งบทสนทนาที่เปิดมุมมองการใช้ชีวิตและการทำตามความฝัน ไฮคิว!! ถือเป็นสุดยอดมังงะกีฬา ที่พูดถึงเรื่องราวของ ‘ฮินาตะ โชโย’ เด็กหนุ่มตัวเล็กที่สนใจในกีฬาวอลเลย์บอลตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา หลังบังเอิญได้เห็นการแข่งขันของ ‘ยักษ์จิ๋ว’ เอซ (Ace) ในตำนานของทีมคาราสึโนะ ผู้เล่นตัวเล็กที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ทีมตรงข้ามที่สูงถึง 190 เซนติเมตรได้ ทำให้ฮินาตะใฝ่ฝันอยากเป็นอย่างยักษ์จิ๋ว พยายามฝึกฝนกีฬาวอลเลย์บอล เกิดเป็นเรื่องราวมิตรภาพและการแข่งขันตามมา ไฮคิว!! ถือกำเนิดจากฝีมือการเขียนของ ‘อาจารย์ฮารุอิจิ ฟุรุดาเตะ’ โดยเริ่มต้นจากการตีพิมพ์ในนิตยสารโชเน็งจัมป์รายสัปดาห์ ในปี 2555 ก่อนจะถูกนำไปสร้างเป็นอนิเมะซีซันแรกในปี 2557 ปัจจุบันมีการรวมเล่มมังงะจนจบ 45 เล่ม อนิเมะ 4 ซีซัน โดยล่าสุดภาพยนตร์อนิเมะกำลังฉายในโรงภาพยนตร์ ในชื่อ ‘Haikyu!! The […]

Furiosa : A Mad Max Saga มหากาพย์เด็กสาวผจญโลกบ้าคลั่งของชายชาตรี ในดินแดนรกร้างว่างเปล่าที่ผู้คนสูญสิ้นความเป็นคน

หนึ่งในภาพยนตร์ที่ถูกจดจำในยุคสมัยใหม่นี้ ทั้งแง่ของการเป็นหนังอาร์ตขวัญใจนักวิจารณ์ และหนังที่มีความบันเทิงแบบบล็อกบัสเตอร์อยู่เต็มเปี่ยม คงหนีไม่พ้น Mad Max : Fury Road (2015) หนังที่อัดแน่นไปด้วยซีนแอ็กชันสูบฉีดอะดรีนาลีนแบบ Non-stop ตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายเรื่อง และภาพเชิงสัญญะที่เปิดช่องว่างให้คนดูตีความกันได้ ไหนจะงานสร้างสุดอลังการที่เนรมิต Wasteland ดินแดนรกร้างหลังโลกาวินาศออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ฉากแอ็กชันขับเคลื่อนเรื่องราวที่สมจริง ทั้งยานยนต์ทั้งหลาย บรรดาสตันท์ผาดโผน ความรุนแรงต่างๆ นานา มันจึงสมกับความบ้าคลั่งของโลกในภาพยนตร์สุดๆ อย่างที่ไม่เคยมีเรื่องไหนทำได้มาก่อน หนึ่งสิ่งที่ผู้ชมต่างจดจำในภาคนี้คือตัวละคร Furiosa ที่แสดงโดย Charlize Theron ผู้ลงทุนโกนหัวสกินเฮดจนกลายเป็นที่จดจำไปโดยปริยายเสียยิ่งกว่าตัวละคร Max Rockatansky ผู้เป็นตัวเอกของหนังชุด Mad Max เสียอีก คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงหากจะบอกว่าฟูริโอซ่าเป็นตัวละครที่ Empower ผู้หญิงอย่างแนบเนียน สมเป็นหนึ่งในตัวละครหญิงแกร่งไอคอนิกของยุคสมัยใหม่ ประจักษ์ได้จากการที่เธอเป็นผู้นำลุกขึ้นสู้กับอำนาจในโลกที่ปกครองโดยผู้ชาย และปลดแอกการกดทับที่มีต่อบรรดาตัวละครหญิงในเรื่อง ซึ่งผู้ชมบางส่วนอาจไม่ทันรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้หากไม่ได้ตั้งใจมองลึกลงไป เพราะด้วยความที่ Fury Road เน้นไปที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เล่าเรื่องด้วยภาพมากกว่าคำพูดที่มีไม่กี่ถ้อยคำ นำมาสู่ช่องว่างที่เปิดโอกาสให้เรื่องราวประวัติของสิ่งต่างๆ มากมายในโลก Wasteland ที่ไม่ได้เล่า จนนำมาทำเป็นเรื่องราวส่วนขยายได้ ด้วยประการฉะนี้ ภาพยนตร์ […]

Abang Adik สองพี่น้องผู้ยังมีกันและกัน และความสัมพันธ์ที่ไม่เคยถูกเหลียวแล ณ ซอกหลืบที่ลึกสุดของความชายขอบ

ภาพยนตร์จากประเทศมาเลเซีย คงไม่ได้เป็นสิ่งที่หาชมได้บ่อยนักในโรงหนังไทย อีกทั้งน่าจะมีภาพจำว่าต้องเป็นหนังที่นำเสนอความเป็นศาสนาอิสลามแน่ๆ ยังไม่นับรวมกฎการเซนเซอร์หนังที่เคร่งครัดเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ หลายๆ คนอาจจะเข้าใจผิด ไม่คิดว่า Abang Adik หนังที่คว้ารางวัลนักแสดงนำชายจากเวทีม้าทองคำ (Golden Horse Awards) ที่ได้ชื่อว่าเป็นออสการ์ของจีน ซึ่งมีตัวละครนำเป็นชาวจีนจะเป็นหนังมาเลเซียไปได้ มากไปกว่านั้น มันยังเป็นหนังแนวชีวิตรันทด ขื่นขม และโหดร้าย ที่ตัวละครต้องการจะหลีกหนีจากโชคชะตาอันต้อยต่ำในสังคม ตะเกียกตะกายหาหนทางไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าผ่านเส้นทางอันสุดแสนยากลำบาก ที่ไม่ว่ายังไงก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะหลุดออกจากวงจรเหล่านั้น เนื่องจากระบบสังคมกดทับพวกเขาอยู่ เราแทบไม่เคยเห็นเรื่องราวลักษณะนี้จากฟากฝั่งของหนังมาเลเซีย ทั้งที่หนังแนวนี้ในระดับสากลถูกเล่ามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสถานที่และเวลา ยกตัวอย่าง Rosetta (1999) ของพี่น้อง Dardenne ที่ว่าด้วยเด็กสาวผู้พยายามต่อสู้เอาชีวิตรอดเพียงหวังแค่การงานที่มั่นคง, Lilya 4-Ever (2002) ของ Lukas Moodysson ที่เล่าถึงชีวิตเด็กสาวที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งในเมืองที่เคยเป็นสหภาพโซเวียต และถูกหลอกไปค้าประเวณีในสวีเดน, An Elephant Sitting Still (2018) หนังจีนของ Hu Bo ผู้ล่วงลับ ที่ฉายภาพของกลุ่มคนหลากวัยที่หมดหวังกับเมืองของเขา หรือ A Sun (2019) […]

การเดินทางค้นหาความหมายของเวลา การพบพาน และการจากลาใน Frieren : Beyond Journey’s End

หากพูดถึงการ์ตูนอานิเมะญี่ปุ่นสักเรื่องที่ถ่ายทอดความเป็นไปของชีวิตอันเรียบง่าย เป็นไปไม่ได้เลยที่เวลานี้จะไม่พูดถึง Frieren เพราะอานิเมะจำนวน 28 ตอนเรื่องนี้ได้พร่ำสอนเรื่องราวในชีวิตที่พวกเราต่างต้องพบเจอ ผ่านการเดินทางผจญภัยในโลกเวทมนตร์แฟนตาซีของเหล่าผู้กล้า ที่ดูไกลตัวมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆ ได้อย่างแนบเนียน ไม่รู้สึกเคอะเขินแต่อย่างใด ซึ่งน่าแปลกใจว่าเหตุใดเรื่องราวแฟนตาซีเหนือจินตนาการ ทั้งการไปปราบจอมมาร นักรบผู้แกร่งกล้า คนแคระยอดนักสู้ นักพรตมากวิชา และจอมเวทผู้มีพลังมหาศาล จึงเข้าถึงหัวอกหัวใจคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตในโลกไร้ซึ่งความวิเศษได้อย่างอ่อนโยน ท่ามกลางกระแสของแอนิเมชันแนว ‘อิเซไก’ ที่บรรดาตัวละครเอกกลับไปเกิดใหม่ในโลกต่างแดนที่เต็มไปด้วยความแฟนตาซี การผจญภัยท่ามกลางสิ่งวิเศษ และการทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่ แอนิเมชันอย่าง Frieren กลับนำเสนอเรื่องราวเดียวกันในรูปแบบการผจญภัยที่แตกต่างออกไป และเข้าถึงผู้คนได้อย่างเรียบง่าย อย่างที่อานิเมะแฟนตาซีเรื่องอื่นๆ ไม่เคยทำมาก่อน จนชวนให้น่าค้นหาว่าสิ่งใดกันคือความเป็นมนุษย์ที่ผู้ชมประทับใจในการผจญภัยของแอนิเมชันเรื่องนี้ เวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราถึงต้องทำให้มีความหมาย การผจญภัยของ Frieren เริ่มต้นด้วยเรื่องราวการเดินทางของ ‘ฟรีเรน’ นักเวทสาวเผ่าเอลฟ์กับเหล่าผู้กล้า ประกอบไปด้วยวีรบุรุษ ‘ฮิมเมล’, นักบวช ‘ไฮเตอร์’ และนักรบคนแคระ ‘ไอเซ็น’ ที่หากเป็นแอนิเมชันเรื่องอื่นๆ คงจะเล่าด้วยการที่พวกเขาทั้งสี่เริ่มเดินทางไปปราบราชาปีศาจ แต่ Frieren กลับเริ่มต้นเรื่องราวด้วยช่วงเวลาหลังการปราบราชาปีศาจที่สำเร็จลุล่วง และสมาชิกแต่ละคนแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตนเอง ฟรีเรนจึงออกเดินทางเรื่อยเปื่อยค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่มีอยู่ทุกรูปแบบ ทว่าเมื่อถึงเวลาที่สมาชิกทั้ง 4 คนสัญญาว่าจะกลับมาพบกันอีกครั้ง เพื่อดูฝนดาวตกในรอบ 50 ปีดั่งที่เคยดูด้วยกันเมื่อครั้งปราบราชาปีศาจสำเร็จ […]

เมื่อความเชื่ออยู่เหนือทุกสิ่ง สำรวจจักรวาล Dune ผ่านมุมมองศาสนาและความเชื่อ

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘Dune : Part Two’ กลายเป็นภาพยนตร์ไซไฟขึ้นหิ้งเรื่องใหม่ในทศวรรษนี้ไม่ต่างจาก ‘Star Wars’ หรือ ‘The Matrix’ ในอดีต จากเรื่องราวอันยอดเยี่ยมผ่านปลายปากกาของ Frank Herbert สู่จอเงินด้วยทัศนะของ Denis Villeneuve ผู้กำกับมากวิสัยทัศน์ ที่พาเราท่องไปในจักรวาล Dune ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ เรื่องราวของ Dune ไม่ใช่จักรวาลไซไฟในอนาคตอันหรูหราไฮเทค แต่กลับเป็นอนาคตที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความป่าเถื่อนและอิทธิพลของศาสนาราวกับวิวัฒนาการย้อนกลับไปในยุคกลาง (Medieval) ทั่วทั้งจักรวาลถูกปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการโดยองค์จักรพรรดิเพียงหนึ่งเดียว และแบ่งสันการดูแลดวงดาวให้กับกลุ่มตระกูลขุนนางต่างๆ โดยที่ประชาชนบนดาวผู้เป็นเจ้าของเดิมทำได้เพียงก้มหัวยอมรับผู้ปกครองคนใหม่เท่านั้น จนกระทั่งการมาถึงของ ‘พอล อะเทรดีส’ (Paul Atreides) ผู้ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของจักรวาลใหม่ทั้งหมด ทำไมผู้มีอำนาจถึงปกครองจักรวาลได้อย่างยาวนานโดยไร้ผู้ต่อต้าน และอะไรที่ทำให้การมาถึงของพอล อะเทรดีส สามารถปลุกระดมผู้คนให้ลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจจักรวรรดิอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คอลัมน์เนื้อหนังอยากพาทุกคนไปสำรวจจักรวาล Dune ผ่านแนวคิดของ ‘ศาสนา’ และ ‘ความเชื่อ’ ที่ปรากฏในเรื่อง อิทธิพลของศาสนาและจุดกำเนิดความศรัทธาของมนุษย์ โฮโมเซเปียนส์ (Homo Sapiens) คือสิ่งมีชีวิตเดียวที่สามารถสร้างแนวความคิดบางอย่างเพื่อชักจูงและรวบรวมกลุ่มก้อนของตนให้กระทำบางสิ่งที่ต้องการ […]

มองปัญหาความเหลื่อมล้ำของชนชั้นทางสังคม ผ่านตัวละครจากซีรีส์เกาหลี The Impossible Heir

คุณคิดว่าบุคคลเหล่านี้มี ‘สถานะทางสังคม’ แบบไหน และจะยกระดับมันอย่างไร เด็กหนุ่มที่มีพ่อเลี้ยงเป็นฆาตกรลูกชายนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี (หรือแชบอล)หญิงสาวที่ต้องดิ้นรนหลังชนฝาเพราะหนี้สินที่แม่ก่อ เพราะบรรทัดฐานของสังคมที่มองมา กดทับให้พวกเขาต้องไขว่คว้าหา ‘สายป่าน’ ที่จะพาตัวเองปีนป่ายให้ได้มาซึ่งเป้าหมายที่ต้องการ เพื่อยกระดับชนชั้นทางสังคมโดยไม่สนวิธีการ The Impossible Heir (2024) คือซีรีส์เกาหลีดราม่าแนวเสียดสีสังคม บน Disney+ Hotstar ที่ทำให้เราเห็นได้ชัดว่า สังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำมันกัดกินตัวตนและพาเราไปสู่อะไรบ้าง โดยเมสเซจของซีรีส์จะนำเสนอผ่านเรื่องราวการร่วมมือกันของตัวละครหลักที่มาจากชนชั้นล่างสุดของห่วงโซ่ เพื่อยกระดับตัวเองในเกมการชิงอำนาจ หวังเข้าครอบครองตำแหน่งผู้นำทางสังคมบนจุดยอดของพีระมิด ใครที่อยากสัมผัสเกมการชิงอำนาจสุดเข้มข้น สตรีมได้เลยบน Disney+ Hotstar “ถ้าอยากได้คำตอบที่ถูกต้อง ให้ดูที่กระบวนการ หากกระบวนการไม่ถูกต้อง มันจะไม่พาไปสู่คำตอบที่ถูกต้อง” – ฮันแทโอ แม้มองจากภายนอก ตัวเอกอย่าง ‘ฮันแทโอ’ (รับบทโดย อีแจอุค) เด็กหนุ่มนิสัยเย็นชาที่มีความฉลาดระดับหัวกะทิจนได้รับคะแนนสูงสุด 0.1 เปอร์เซ็นต์จากทั้งประเทศในการสอบจำลอง ดูเหมือนเป็นตัวละครที่มีสถานะทางสังคมที่ไม่แย่นัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว แทโอเติบโตขึ้นมาพร้อมกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นจากพ่อเลี้ยง และถูกคำว่า ‘ลูกฆาตกร’ คอยหลอกหลอนและเป็นตัวกดไม่ให้สามารถเลื่อนสถานะทางสังคมได้ตามต้องการ ความแค้นจากการโดนพ่อทารุณกรรมในช่วงวัยเด็ก และการขู่ฆ่าแม่ผู้ซึ่งเป็นคนในครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของแทโอที่เหลืออยู่ ทำให้เขาตัดสินใจใช้ความฉลาดและเจ้าวางแผนของตัวเองหากระบวนการที่จะนำไปสู่คำตอบที่ตัวเองต้องการ ตั้งแต่การร่วมมือช่วยเหลือ ‘คังอินฮา’ (รับบทโดย อีจุนยอง) […]

ค้นหาความพิเศษของวันธรรมดาในหนังเรื่อง Perfect Days

ไม่เกินจริงแต่อย่างใดที่จะกล่าวว่า Perfect Days คือหนังที่มอบการมองหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของแต่ละวันในการใช้ชีวิต และเป็นความสุขให้การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวันที่ดีดั่งฝัน วันที่ผิดหวังเกินทน วันหลังจากนี้ หรือวันนี้ในชั่วขณะที่กำลังเกิดขึ้นก็ตาม ทุกๆ วันคือวันวันหนึ่งที่ผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แน่นอนว่าฟังดูคลิเชและไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย แต่หนังญี่ปุ่นที่เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมเรื่องนี้กลับมอบประสบการณ์ที่ต่างออกไปให้ผู้ชมอย่างเราได้ หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวผ่านตัวละครชายผู้ประกอบอาชีพเป็นคนทำความสะอาดห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งเป็นงานหนักหนาที่หลายคนในสังคมแสนรังเกียจ ดูไม่น่ามีความสุขได้เลย แต่เรากลับมองเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจในการออกไปทำงานในแต่ละวันอย่างเปี่ยมล้นจนน่าประหลาดใจ รู้ตัวอีกที การได้เฝ้ามองเขาทำสิ่งต่างๆ ก็กลายเป็นความเพลิดเพลินใจอย่างที่หาไม่ได้ในหนังเรื่องไหนมาก่อน ไม่ว่าแต่ละวันจะเป็นวันที่ดี วันที่ผิดหวัง วันที่ผ่านไปแล้ว หรือวันที่ยังมาไม่ถึง ตัวละครนั้นยังคงมีจิตใจที่อยู่กับปัจจุบันชั่วขณะนั้น แม้ฟังดูเรียบง่ายและไร้ซึ่งแก่นสาร แต่การใช้ชีวิตในแต่ละวันอันธรรมดาที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษแต่อย่างใดนั้นกลับสอนใจเราให้ลองหยุดชื่นชมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้นและละทิ้งทุกสิ่งไว้ก่อน  อะไรที่ทำให้ผู้กำกับชาวเยอรมันถ่ายทอดหนังที่สะท้อนชีวิตของชายชาวญี่ปุ่นออกมาแบบนั้น คอลัมน์เนื้อหนังอยากพาไปสำรวจแนวคิดและวิถีการทำงานของคนญี่ปุ่นใน Perfect Days กัน วันธรรมดาที่เปลี่ยนไปเพราะวิธีคิดในการใช้ชีวิต เมื่อมองดูชั้นหนังสือตามร้านหนังสือบ้านเรา บรรดาหนังสือพัฒนาตนเองในชั้นเหล่านั้นมักเป็นหนังสือที่หยิบยกคำญี่ปุ่นมาใช้เป็นชื่อหนังสือปรัชญาชีวิต ไม่ว่าจะ ‘อิคิไก’, ‘อิจิโกะ-อิจิเอะ’ หรือ ‘มตไตไน’ เป็นต้น แต่สำหรับคนญี่ปุ่นคงจะมองเป็นคำทั่วๆ ไป เป็นวิถีชีวิตที่พวกเขาใช้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพราะมันฝังรากลึกในทุกสิ่งที่คนญี่ปุ่นเป็น ซึ่งคงยากที่จะสอนสิ่งเหล่านี้หรืออธิบายให้เข้าใจได้อย่างที่พวกเขาเข้าใจ แม้แต่จะอธิบายความหมายของคำเหล่านี้ออกมาให้คนญี่ปุ่นฟังเองยังเป็นเรื่องยาก เพราะมันคือเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวันของพวกเขา น่าสนใจที่คนญี่ปุ่นให้ความหมายกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน […]

1 2 3 4

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.