บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์
“คนนิจิวะ อันนยองฮาเซโย” คือคำทักทายสองภาษาจาก ‘โคเรเอดะ ฮิโรคาสุ’ ผู้กำกับชาวญี่ปุ่นเจ้าของผลงานภาพยนตร์เกาหลีเรื่องล่าสุด Broker (2022) ที่เรากำลังจะได้รับชมในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
ด้วยความบังเอิญผสมกับความพยายามอีกเล็กน้อย ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราหาบัตรชมภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เกาหลีในรอบเดินสายทักทายผู้ชมของทีมนักแสดงและผู้กำกับมาได้สำเร็จ
แต่นอกเหนือจากเสียงชื่นชมและการยืนปรบมือยาว 12 นาทีที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้า สิ่งที่เรารับรู้เกี่ยวกับ Broker มีไม่มากนัก
หนึ่ง–นี่คือภาพยนตร์แนวดราม่ากึ่งโร้ดมูฟวี่ที่บอกเล่าการเดินทางของคุณแม่ยังสาวที่ตัดสินใจทอดทิ้งลูกของตัวเองไว้ที่กล่องรับทารก กับชายแปลกหน้าสองคนที่หวังจะนำเด็กไปขาย โดยมีสองตำรวจหญิงเฝ้าสะกดรอยตามอยู่
สอง–แม้นี่จะเป็นภาพยนตร์เกาหลีเรื่องแรกของโคเรเอดะ แต่เขาก็สามารถดึงนักแสดงมากฝีมือมาร่วมงานได้อย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็นซงคังโฮ จากภาพยนตร์ Parasite, คังดงวอน จากภาพยนตร์ Peninsula, แบดูนา จากซีรีส์ Kingdom, อีจีอึน (IU) จากซีรีส์ Hotel Del Luna และอีจูยอง จากซีรีส์ Itaewon Class
“ช่วงเย็นวันอาทิตย์แบบนี้เป็นเวลาที่มีค่าของทุกคน ขอบคุณที่ตัดสินใจมาชมภาพยนตร์ของพวกเรา หวังว่าทุกคนจะกลับไปพูดคุยถึงหนังของเรากันต่อได้บนโต๊ะอาหารมื้อค่ำวันนี้นะคะ” อีจีอึน ผู้รับบท โซยอง กล่าวกับผู้ชมในโรง
ในตอนนั้น เราไม่แน่ใจนักว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะสร้างบทสนทนาต่อไปได้ยืดยาวแค่ไหน แต่เมื่อได้เวลาที่ไฟในโรงหนังมืดลง Broker ก็ค่อยๆ พาเราออกเดินทางไปบนถนนทอดยาว เลาะเลียบหาดทรายที่เต็มไปด้วยคำถาม และตัดผ่านภูเขาสูงใหญ่ที่มองคล้ายภาระหนักอึ้งในจิตใจของตัวละคร
กล่องรับทารก
หนังเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายด้วยการแนะนำให้เรารู้จักกับ ‘กล่องรับทารก’ หรือ Baby Box ซึ่งติดตั้งอยู่ที่โบสถ์แห่งหนึ่ง แน่นอนว่ากล่องนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจดีที่อยากให้แม่ที่ไม่พร้อมเลี้ยงดูเด็กทารกไม่ว่าด้วยปัจจัยใดๆ สามารถส่งลูกไปยังสถานรับเลี้ยงหรือครอบครัวอุปการะที่เต็มใจจะโอบรับชีวิตน้อยๆ ต่อไปในอนาคต
หากเมื่อเราได้มองเห็นภาพคุณแม่ยังสาวในภาพยนตร์ ที่ออกเดินฝ่าพายุกระหน่ำฝนเพื่อนำลูกน้อยมาทิ้งไว้นอกกล่องและจากไปอย่างรวดเร็วทว่าเงียบเชียบ เราก็เริ่มไม่แน่ใจนักว่ากล่องรับทารกนี้เป็นการเปิดโอกาสให้บรรดาแม่ลูกอ่อนตัดสินใจทอดทิ้งลูกตัวเองได้ง่ายกว่าการที่ไม่มีมันอยู่หรือเปล่า
มากไปกว่านั้น กล่องรับทารกใบนี้ยังกลายเป็นโอกาสทองของสองนายหน้าค้าเด็กอย่าง ซังฮยอน (แสดงโดย ซงคังโฮ) และ ดงซู (แสดงโดย คังดงวอน) ให้พาตัวเด็กเหล่านี้ไปอย่างง่ายดาย
อันที่จริงการเรียกพวกเขาว่า ‘นายหน้าค้าเด็ก’ อาจฟังดูชั่วช้าเกินไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับมิติอื่นๆ ของตัวละครที่หนังพยายามนำเสนอออกมา ภูมิหลังและความเชื่อของชายสองคนนี้ทำให้แวบหนึ่งเราอดคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่พวกเขาทำนั้นย่ำแย่กว่าการอุปการะเด็กตามระบบมากขนาดนั้นเชียวหรือ เพราะหากเปรียบเทียบกับจุดประสงค์ของบาทหลวงผู้ดูแลกล่องรับทารกแล้ว ทั้งคู่เองก็มีความตั้งใจดีที่อยากให้ทารกได้มีบ้านที่อบอุ่นเช่นกัน จะต่างกันก็เพียงแต่ว่าซังฮยอนและดงซูคือคนชายขอบในเงามืดของสังคม คนหนึ่งเป็นพ่อม่ายที่มีหนี้สินรุงรัง อีกคนหนึ่งเป็นอดีตเด็กกำพร้าที่ยังไม่มีอาชีพที่มั่นคงพอจะเลี้ยงดูตนเอง
แน่ล่ะว่าวิธีการนี้ไม่ถูกต้องหากว่ากันด้วยกฎหมาย แต่บนโลกที่กฎหมายถูกเขียนขึ้นเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับคนที่มีเงินและมีอำนาจมากกว่า แล้วคนอย่างพวกเขาจะลืมตาอ้าปากได้ด้วยกฎหมายมาตราไหน
คล้ายคลึงกับ Shoplifters (2018) ผลงานอีกเรื่องของโคเรเอดะที่บอกเล่าชีวิตของครอบครัวหัวขโมยในเมืองใหญ่ ในฐานะภาพยนตร์ที่ถูกพัฒนาบทขึ้นมาพร้อมกัน Broker จึงเป็นหนังที่เฝ้าตั้งคำถามกับความคิดความเชื่อของเราซ้ำๆ บนพื้นที่สีเทากระดำกระด่างที่ยากจะตัดสินว่าผิดหรือถูก เลวหรือดี
รู้ตัวอีกที ความคิดความเชื่อที่เคยมีก็ถูกสั่นคลอนไปไม่น้อย ด้วยความรู้สึกผูกพันและเห็นอกเห็นใจที่มีให้ตัวละครแต่ละตัว
ครอบครัวพิลึกพิลั่น
“คุณชื่ออะไร” ซังฮยอนถาม ในการเผชิญหน้ากันครั้งแรกของพวกเขากับแม่เด็กที่ย้อนกลับมาเพื่อตามหาลูกชายอีกครั้ง และนั่นทำให้เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของการซื้อขายเด็กในครั้งนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ซอนอา…มุนซอนอา” เธอตอบด้วยแววตาไม่ไว้วางใจ
พวกเขาไม่ได้ทำความรู้จักอะไรกันมากไปกว่านั้น เมื่อตัดสินใจออกเดินทางด้วยรถตู้คันเก่าบุโรทั่งของซังฮยอนเพื่อมุ่งหน้าไปพบกับลูกค้ารายแรก ในเวลานั้น ไม่มีใครบนรถรู้ตัวเลยว่ากำลังถูกสะกดรอยตามโดยสองตำรวจสาวอย่าง ซูจิน (แสดงโดย แบดูนา) และ อึนจู (แสดงโดย อีจูยอง) ที่ตั้งใจเก็บหลักฐานและบุกเข้าจับแก๊งค้าเด็กนี้
หากการจับกุมกลับไม่ได้ราบรื่นรวดเร็วอย่างใจหวัง เมื่อเหล่าโบรกเกอร์มือสมัครเล่นเหล่านี้ไม่มีทีท่าว่าจะปิดการขายได้ง่ายๆ ทว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับในระหว่างทางกลับเป็นสายสัมพันธ์แปลกประหลาดที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบบนรถคันนั้น และตามสถานที่ต่างๆ ที่พวกเขาแวะค้างอ้างแรม
โดยไม่คาดคิด (และไม่ค่อยเต็มใจ) พวกเขาได้สมาชิกใหม่ที่เข้ามาร่วมเดินทางด้วยกันคือ แฮจิน (แสดงโดย อิมซึงซู) เด็กชายจากบ้านกำพร้าผู้มีความฝันว่าจะเติบโตไปเป็นนักฟุตบอลอนาคตไกล
“อย่าเปิดกระจกนะ” ซังฮยอนพูดกับแฮจินเมื่อรถตู้ของพวกเขากำลังเคลื่อนผ่านสายพานล้างรถ
เดาได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้นต่อ แฮจินกดกระจกลงทันทีส่งผลให้ทั้งรถเปียกปอนและวุ่นวายเป็นการใหญ่ สายน้ำที่สาดกระเซ็นเข้ามาไม่ได้ทำให้พวกเขาเปียกแค่เสื้อผ้าหรือร่างกาย แต่ยังเผื่อแผ่ไปยังหน้ากากที่มองไม่เห็นซึ่งแต่ละคนใช้เป็นเกราะกำบังให้ตัวเองมาโดยตลอด
“ฮาจินยองนี่ใคร” ซอนอาถามถึงชื่อจริงที่ปรากฏในบัตรประชาชนของซังฮยอน
“จริงๆ แล้วซังฮยอนคือชื่อที่ฉันอยากตั้งให้ลูกชายน่ะ” คำตอบนั้นทำให้รถทั้งคันนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ในที่สุดพวกเขาก็เลือกเปิดเปลือยใบหน้าที่แท้จริงเข้าหากัน
“โซยอง” อยู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ชื่อจริงของฉัน มุนโซยอง”
ในบรรยากาศเย็นเยียบและขมขื่น 5 ชีวิตที่จับพลัดจับผลูมารวมตัวกันบนรถคันหนึ่งได้แบ่งปันไออุ่นเล็กๆ เท่าที่พวกเขาจะทำได้ รู้ตัวอีกที พวกเขาก็กลายเป็นครอบครัวของกันและกัน ที่แม้จะขาดหรือเกินอยู่บ้าง และอาจมองดูพิลึกพิลั่นอยู่สักหน่อย แต่ถ้ามีความเป็นไปได้แม้เพียงน้อยนิด พวกเขาก็คงหวังให้ครอบครัวนี้คงอยู่ตลอดไป
แม้จะรู้ดีแก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม
กระดุมเม็ดแรก
ตลอดเวลา 130 นาทีของภาพยนตร์ Broker พูดถึง ‘กระดุม’ ทั้งหมด 3 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน
ครั้งแรก คือตอนที่ผู้หมวดซูจินโทรหาสามีหลังโต้เถียงกับโซยองอย่างรุนแรงจนถูกกระชากคอเสื้อ เธอขอร้องให้เขาช่วยเอาเสื้อตัวใหม่มาส่งให้หน่อยเพราะกระดุมนั้นใกล้หลุดเต็มที
ในฉากถัดมา ซังฮยอนพยายามสอนให้แฮจินเรียนรู้วิธีสอยกระดุม แต่ด้วยความเป็นเด็กติดเล่น เขาไม่ได้มีสมาธิจดจ่อกับเข็มและด้ายในมือชายวัยกลางคนมากนัก จึงวิ่งโร่ไปสนใจวิธีการเปิดขวดเบียร์ของดงซูแทน
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ซังฮยอนที่เย็บกระดุมใหม่จนแข็งแรงดีแล้วจึงเดินตรงกลับไปหาผู้เป็นเจ้าของ
“กระดุมมันจะหลุดน่ะ ฉันเย็บให้ใหม่แล้ว” เขาพูดพลางยื่นเสื้อคืนให้กับโซยอง
หากเปรียบชีวิตเป็นเสื้อสักตัว ครอบครัวก็คงเปรียบเสมือนกระดุมเม็ดแรกอันแสนสำคัญ เมื่อเส้นด้ายที่เรียกว่าสายสัมพันธ์นั้นเริ่มหลุดลุ่ย ก็จำต้องเย็บย้ำให้กลับมาแข็งแรงโดยไว ไม่เช่นนั้นกระดุมเม็ดนี้อาจหล่นหายไปก่อนที่เราจะทันรู้ตัว
ไม่เพียงแค่กับสายสัมพันธ์แม่-ลูก หรือครอบครัวโดยกำเนิดทั่วไป แต่ยังหมายถึงความสัมพันธ์ใดๆ ที่เรารู้สึกว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยและอบอุ่นให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคู่สามี-ภรรยา เพื่อน หรือแม้กระทั่งคนที่เราไม่สามารถจัดอยู่ในกรอบคำนิยามใดๆ ได้เลย
การเย็บย้ำนั้นอาจทำได้หลายแบบ ทั้งบทสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบทั่วไป ชวนกันย้อนนึกถึงความทรงจำในอดีต ฟังเพลงในหนังเรื่องโปรดที่เคยดูด้วยกัน หรือไม่แน่มันอาจเป็นคำแสนสั้นที่กระทบใจคนฟังอย่างมหาศาล
“ขอบคุณที่เกิดมานะ” โซยองกล่าวกับทุกคนในห้องพักโรงแรมที่ปิดไฟมืดสนิท
บทพูดในฉากดังกล่าวกินใจผู้คนมากมาย แต่คนที่เติบโตมากับครอบครัวที่ให้กำเนิดอย่างเราไม่สามารถจินตนาการออกได้เลยว่า ถ้อยคำนั้นจะมีความหมายกับคนที่เคยถูกทอดทิ้งเช่นดงซูและแฮจินอย่างไร
“เมื่อผมได้รีเสิร์ชเกี่ยวกับชีวิตของเด็กๆ ที่ถูกทอดทิ้งด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน และต้องเติบโตขึ้นมาในสถานสงเคราะห์ ผมพบว่าพวกเขาเหล่านี้คือเด็กที่เฝ้าตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำๆ ถึงเรื่องราวสามัญอย่าง ‘มันโอเคไหมที่ฉันเกิดมา’ หรือ ‘ฉันควรเกิดมาบนโลกนี้หรือเปล่า’ การเติบโตขึ้นมาพร้อมความยากลำบากเช่นนี้ทำให้พวกเขาเฝ้าขบคิดอยู่ตลอด” โคเรเอดะกล่าวในบทสัมภาษณ์กับ The Hollywood Reporter
“ผมจึงรู้สึกว่านี่คือความรับผิดชอบของผมที่จะต้องสื่อสารความคิดของตัวเองออกไป จึงนำมาซึ่งฉากในห้องพักโรงแรมฉากนั้น ผมถามตัวเองว่า ผมอยากใช้หนังเรื่องนี้เพื่อสื่อสารอะไรกับผู้คนที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับประสบการณ์เช่นนั้น และนั่นคงเป็นมุมมองที่ชัดเจนที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้” เขาสรุป
สายใยที่ลึกซึ้งและยุ่งเหยิง
ในบรรดาความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้ แม่-ลูก น่าจะเป็นสายใยที่ลึกซึ้งและยุ่งเหยิงที่สุดในคราวเดียวกัน
ขณะที่ความเป็นแม่ของโซยองแสดงออกผ่านการทอดทิ้งลูกด้วยความเชื่อว่านี่คือการปกป้องเขาจากภูมิหลังอันเลวร้าย และให้โอกาสเขาได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า โดยมีดงซูเป็นผู้เฝ้ามองและทำความเข้าใจอย่างเงียบเชียบ เพราะเขามองเห็นเธอเป็นตัวแทนของแม่ผู้ให้กำเนิด ผู้หญิงที่เขาไม่เคยเข้าใจได้ตลอดเวลาที่ผ่านมา
ในที่สุด เมื่อเขาตัดสินใจที่จะให้อภัยแม่ของตัวเองแล้ว การให้อภัยนั้นจึงเผื่อแผ่ไปยังโซยองโดยปริยาย
พร้อมกันนั้นยังมีความเป็นแม่ของซูจินที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นบนความไม่เห็นด้วยกับการกระทำของโซยอง เธอตั้งคำถาม ทุ่มเถียง และพยายามไล่ต้อนพวกเขาให้จนมุม แต่ในที่สุดก็เป็นซูจินเองที่ช่วยโอบอุ้มอูซองแทนแม่ผู้ให้กำเนิด
การเดินทางของตัวละครซูจินคงเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับความคิดของคนดูส่วนใหญ่ เพราะมันเริ่มต้นจากความไม่เข้าใจ ไม่เห็นด้วย ก่อนจะพัฒนาเป็นการตั้งคำถาม ทั้งต่อตัวละครอื่นๆ และต่อความเชื่อของตัวเอง
“สำหรับผม หนึ่งในมูฟเมนต์หลักของหนังเรื่องนี้คือการติดตามดูว่า มุมมองของซูจินจะเปลี่ยนไปได้มากน้อยแค่ไหนตลอดการเดินทาง และถ้ามุมมองของผู้ชมสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามตัวละครตัวนี้ได้ในระยะเวลาประมาณสองชั่วโมงของหนัง มันก็คงเป็นความสำเร็จของหนังเรื่องนี้แล้ว” โคเรเอดะกล่าว
จอหนังตรงหน้ามืดสนิท ไฟในโรงสว่างแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงคำถามมากมายที่รอให้เรานำไปขยายต่อเป็นบทสนทนาบนโต๊ะอาหารมื้อค่ำวันนี้ ซึ่งคงจะยืดยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเลยทีเดียว
Sources :
Cine21 | m.cine21.com
The Hollywood Reporter | hollywoodreporter.com