เร่งมือครับ!
ประโยคนี้พอจะคุ้นหูกันบ้างไหมว่าเชฟคนไหนชอบพูด คงหนีไม่พ้น “เชฟเอียน – พงษ์ธวัช เฉลิมกิติชัย” ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีในรายการแข่งขันทำอาหารยอดนิยมของไทยอย่างมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ครั้งนี้ไม่ได้มาในบทบาทของกรรมการตัดสินผู้ที่มีเสียงดุ หรือมุกตลกเรียกเสียงหัวเราะแต่อย่างไร โดยครั้งนี้มาในนามของเชฟปรุงอาหารบนเครื่องบินที่รังสรรค์เมนูออกมากกว่า 24 เมนู
ต้องบอกก่อนเลยว่าบางคนที่เดินทางโดยเครื่องบินบ่อยๆ มักจะรู้สึกว่าอาหารบนเครื่องมีรสชาติแตกต่างออกไป ไม่เหมือนอาหารที่เรากินบนภาคพื้นดิน อาจจะรู้สึกว่ามันจืดชืด ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา แต่เดี๋ยวนี้ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น การปรับให้เครื่องบินมีความดันอากาศน้อยลง รสชาติของอาหารบนเครื่องจึงรับผลพลอยได้ไปด้วยคือยังคงความสดใหม่ ให้รสชาติที่ดีอยู่เสมอ
และครั้งนี้ถือเป็นความโชคดีของเราที่มีโอกาสได้ลิ้มลองรสมือของเชฟเอียน โดยคอนเซปต์ของอาหารทุกเมนูนั้นเป็นการดึงจุดเด่นของอาหารแต่ละภาคออกมาอย่างครบรส และถึงเครื่อง เริ่มจากเมนูหลักก่อนเลย คือ “แกงระแวงเนื้อ” เป็นแกงไทยโบราณที่มีสายเลือดมาจากชวามีมาตั้งแต่สมัยทวาราวดี ซึ่งถูกยกให้เป็นอาหารจานเด่นจากภาคใต้ โดยมีตะไคร้และขมิ้นเป็นตัวชูโรงเรื่องกลิ่น เชิญชวนให้ต้องตักข้าวสวยร้อนๆ มากินคู่กัน บางคนเข้าใจผิดว่าเป็นพะแนง แต่แกงระแวงจะมีน้ำแกงที่ขลุกขลิก กึ่งแกงกึ่งผัด
ถัดมาจะเป็น “ฉู่ฉี่กุ้ง” มีน้ำที่เข้มข้นขลุกขลิกเช่นกัน รสชาติจะออกหวานนำแต่เชฟเอียนทำออกมาได้กลมกล่อม โดยกลิ่นใบมะกรูดจะแซงนำมาก่อนใคร ซึ่งคำว่าฉู่ฉี่ยังไม่ได้บอกชัดเจนว่ามาจากอะไร แค่คาดกันไว้ว่าเวลาผัดจะมีเสียงของพริกแกงเดือดในกะทิจนมีเสียงดังฉู่ฉี่ๆ
จบอาหารจานหลักไปแล้ว ยังมีการเสิร์ฟเป็นคอร์ส เริ่มต้นที่ “ยำเนื้อ” “สลัดฟัวกรา” และ “แสร้งว่ากุ้ง” โดยสลัดฟัวกราใช้ตับห่านและทำซอสราดสไตล์อีสาน ให้อารมณ์เหมือนเมนูตับหวานของคนอีสานบ้านเรา ซึ่งจัดว่าเด็ดทั้ง 3 เมนู แต่ที่น่าสนใจคือ “แสร้งว่ากุ้ง” เนื่องจากเป็นเมนูชาววังสูตรโบราณจัดอยู่ในหมวดของยำ แถมยังเป็นจานโปรดในรัชกาลที่ 5 อีกทั้งแสร้งว่ากุ้ง ถูกเขียนลงในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 อีกด้วย แสร้งว่ากุ้งมีกลิ่นหอมจากขิงและตะไคร้เป็นเอกลักษณ์ ให้รสชาติกลมกล่อม และแฝงด้วยความร้อนแรงในฉบับของยำไทย
ต่อมาเชฟเสิร์ฟเมนูซุปคือ “ต้มยำกุ้ง” ที่บางคนมองว่าอาจธรรมดาทั่วไป แต่เชฟเอียนรังสรรค์ขึ้นมาใหม่ ให้รสชาติไม่เผ็ดโดดจนเกินไป แต่ยังครบเครื่องเรื่องของกลิ่นและความเป็นต้มยำแท้ๆ จากนั้นเสิร์ฟเมนู “ปลาผัดฉ่า” พอกินมาถึงจานนี้ท้องเริ่มตึง แต่เมื่อหน้าตาและกลิ่นช่างเย้ายวนจึงอดใจไม่ได้จริงๆ โดยปลาจะใช้เทคนิคการนำไปย่าง จากนั้นเอาไป ชูวี (Sous Vide) ก่อนนำไปผัดกับเครื่องเทศ
ปิดจบด้วยขนมหวานในใจคิดว่าคงมีมาอย่างเดียวแค่พอชิม แต่ได้ลาภปากมาถึง 2 จาน เริ่มด้วย “ทอฟฟี่เค้กลำไย” เป็นเค้กลำไยราดซอสทอฟฟี่ เสิร์ฟพร้อมกับไอศกรีมวานิลา 1 ลูก ไม่รีรอ “ขนมหม้อแกงมะม่วง” ก็ตามมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นขนมหม้อแกงที่ราดด้วยซอสมะม่วงสูตรของเชฟเอียน
ทุกคนน่าจะรู้กันดีว่าคนไทยมีนิสัยติดกินรสเผ็ด ทางเชฟเอียนจึงปรับอาหารไทยทุกเมนูให้อยู่ในระดับที่ไม่เผ็ดมากเกินไป แต่ยังครบเครื่องความเป็นอาหารไทยอย่างแท้จริง เพื่อให้ทั้งชาวไทยและต่างชาติได้ลิ้มรสความอร่อย หากใครต้องการรสชาติที่เผ็ดขึ้นเชฟก็เตรียมเครื่องปรุงเป็นพริกแห้งไว้ให้ และยังมี Soy Sauce เสมือนพริกน้ำปลาแต่กลิ่นไม่รุนแรง เพราะทำมาจากถั่วเหลืองแต่ให้ความเค็มได้เช่นกัน เหมาะสำหรับมื้ออาหารบนเครื่องบินมากทีเดียว
หลายคนสงสัยว่าเดินทางโดยเครื่องบิน จะได้กินอาหารหรูหราขนาดนี้เลยหรือ เราขอบอกเลยว่า จาน แก้ว ภาชนะทั้งหมด รวมถึงอาหารที่เราได้นำเสนอ เสิร์ฟเสมือนจริงทุกอย่างบนเครื่องบินเลยล่ะ เพียงแต่เปลี่ยนจากเสิร์ฟบนเครื่องมาอยู่บนโต๊ะอาหารเท่านั้น โดยมีให้เลือกทั้งหมด 24 เมนู ซึ่งจะถูกเสิร์ฟบนสายการบิน Qatar Airways สำหรับ First Class และ Business Class ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม 2562 เป็นต้นไป เฉพาะเที่ยวบินเส้นทางกรุงเทพ-โดฮา โดยสามารถสั่งเมนูไหนก่อนก็ได้ไม่ต้องเรียงตามคอร์สที่จัด ได้กินอาหารอร่อยรสชาติถูกปาก แค่นี้ระหว่างการเดินทางก็อิ่มท้องแถมประทับใจสุดๆ แล้วล่ะ