สถานีต่อไป บางโพ
Next Station Bang Pho
โปรดระวังตกหลุมรักย่านนี้อย่างจังขณะอ่าน
ไม้แต่ละชิ้นมีเอกลักษณ์ที่ต่างกันฉันใด ย่านแต่ละย่านย่อมมีชีวิตและเสน่ห์เฉพาะตัวฉันนั้น ดังเช่น ‘บางโพ’ ย่านเก่าแก่ในกรุงเทพฯ ที่ชื่อเสียงเรียงนามไม่เคยขาดหายตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งการเป็นย่านโก้คนเก๋ตามเนื้อเพลงสาวบางโพ บทเพลงแห่งยุคที่ไม่ว่าใครๆ ต่างเคยคุ้นหู หรือจะเป็นความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรงานไม้ ณ ซอยประชานฤมิตร ศูนย์รวมงานศิลป์ประเภทไม้และช่างไม้ในตำนานไว้อย่างคับคั่ง
แต่เมื่อตัดภาพมายังบางโพในปัจจุบัน ที่นี่มีภาพใหม่เป็นย่านแห่งการผสมผสานกันระหว่างเสน่ห์เก๋าๆ ของคนรุ่นเก่าและความสร้างสรรค์ชิกๆ ของคนรุ่นใหม่อย่างลงตัว เพราะขณะที่ร้านรวงใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ร้านเก่าแก่โบราณก็ยังอยู่ได้และยังคงเสน่ห์เหมือนเคย ทั้งนี้เพราะทั้งสองฝ่ายต่างถ้อยทีถ้อยอาศัย เปิดรับซึ่งกันและกัน ร่วมกันเป็นรากฐานที่ดีของย่าน จนทำให้บางโพเติบโตกลายเป็นย่านสร้างสรรค์อย่างมั่นคงดั่งต้นไม้ที่ยืนหยัดแข็งแรง
คอลัมน์ Neighboroot ครั้งนี้ขอพาทุกคนไปลัดเลาะบางโพ สืบเสาะร้านเก่าร้านใหม่ ชวนมองย่านผ่านเลนส์ของคนหลากหลายอาชีพ สนทนาพาทีกับผู้คนหลากหลายรุ่น ทั้งคนบางโพแท้ตั้งแต่เกิด ตลอดจนคนที่ย้ายจากถิ่นกำเนิดมาปักหลักปักฐานและมาดมั่นว่าจะอยู่ที่นี่ ไม่ย้ายไปไหนอีก
เราตกหลุมรักบางโพแล้ว
แล้วคุณล่ะ

หากจะเรียกบางโพว่า ‘จุดสานเมือง’ คงไม่เกินความจริงนัก เนื่องจากปัจจุบันบางโพเป็นจุดที่เชื่อมต่อกับพื้นที่อื่นๆ ได้อย่างสะดวก หลังจากการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ทำให้พื้นที่โดยรอบได้รับการพัฒนา และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
ตั้งแต่การเข้ามาของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ‘สถานีบางโพ’ จนถึงการยกระดับเป็นทำเลทองที่หมายปองของนักลงทุนจำนวนมาก ด้วยความที่เดินทางง่าย และเป็นพื้นที่ที่มีเอกลักษณ์ของย่านชัดเจน หากใครแวะเวียนไปบางโพตอนนี้นอกจากภาพมุมระนาบของตึกแถวที่ขนาบสองข้างถนนประชาราษฎร์ จะเห็นที่พักคอนโดมิเนียมเรียงรายเป็นฉากหลัง สะท้อนถึงการเป็นย่านที่อยู่อาศัยยุคใหม่ที่น่าจับตามอง

พ้นไปจากรถไฟฟ้าแล้วก็ยังมีการสัญจรทางน้ำอย่าง ‘ท่าเรือบางโพ’ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้เลือกใช้ ด้วยเพราะมีตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ใกล้กับแม่น้ำสายหลักอย่างเจ้าพระยา ท่าเรือจึงเป็นสถานที่คู่เคียงกัน ยังไม่นับรวมขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ที่ก็มีหลายสายพาดผ่าน
ถัดจากการเดินทางด้วยยานพาหนะต่างๆ ที่ว่าไว้ข้างต้น ย้อนกลับมาสู่การสัญจรดั้งเดิมอย่างการเดิน การเคลื่อนไหวแรกที่มนุษย์กระทำได้หลังจากตั้งไข่ ทางเท้าที่บางโพนับว่ากว้างขวางเดินสะดวก สามารถเดินเท้าเชื่อมจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งได้อย่างง่ายดาย และเพื่อเป็นการรับประกันว่าทุกหมุดหมายที่ไปเยือนในวันนี้สามารถเดินถึงกันได้ เราจะใช้การเดินเท้าเป็นการพาทั้งตัวเองและผู้อ่านทุกท่านเจาะลึกย่านบางโพไปพร้อมๆ กัน
เพียงพึ่งพาแค่สองเท้าก็ลัดเลาะไปได้ทั่วบางโพแล้ว
‘Bangpho Story’ พักกายพักใจท่ามกลางความสงบ ฟุ้งกลิ่นอายย่านบางโพ

‘พักที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน’
ความในใจของผู้ที่เคยมาเยือน ‘Bangpho Story’ โฮสเทลและคาเฟ่ติด MRT สถานีบางโพ จุดหมายแรกของเราในวันนี้ ที่พักครองใจทั้งคนไทยและต่างชาติ ซึ่งออกแบบจากความต้องการของ ‘พี่ร้อย-จันทรวรรณ พินสุวรรณ์’ และ ‘พี่นัท-วรางคณา จันทรัฐ’ ผู้รักในการท่องเที่ยวและเคยไปโฮสเทลในฐานะผู้เข้าพักมานับไม่ถ้วน จนเกิดเป็นสารตั้งต้นของความคิดที่ว่า “เราเคยอยากมีที่พักแบบไหน เราจะให้ที่พักแบบนั้นกับผู้เข้าพักของเรา”

ย้อนกลับไปก่อนถึงช่วงโควิด ยุคสมัยที่การท่องเที่ยวของไทยกำลังรุ่งเรือง ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมงานที่ออฟฟิศ และเกิดความคิดอยากมีอาชีพที่สอง “นอกจากการทำงาน อีกพาร์ตใหญ่ๆ ของชีวิตพวกพี่คือการท่องเที่ยว เลยมองว่าถ้าจะเริ่มทำอะไรสักอย่างก็อยากจะเทิร์นสิ่งที่เป็นแพสชันของตัวเองดู” พี่นัทและพี่ร้อยเล่าขั้นตอนหาทำเลที่ตั้งที่ใช้การเดินตามหาที่ทางดีๆ เป็นเวลาปีๆ จนมาจบที่ย่านนี้ให้เราฟัง
“พี่มีญาติพักอยู่ที่นี่เลยได้มาเป็นประจำตั้งแต่เด็กๆ รู้อยู่แล้วว่าบางโพไม่ใช่ย่านท่องเที่ยวแต่เป็นย่านโลคอลที่คนท้องถิ่นอาศัยอยู่จริงๆ ทำให้มีเสน่ห์บางอย่างที่หาได้ยากในกรุงเทพฯ และจังหวะนั้น MRT ก็ประกาศว่าใกล้จะสร้างเสร็จแล้วพอดี” พี่นัทเล่าถึงบางโพในความทรงจำ
“จริงๆ เรามีไปดูย่านอื่นอยู่บ้างแต่สุดท้ายมาตกผลึกความคิดร่วมกัน คิดว่าช่วงนั้นบางโพยังไม่ได้มีคนมาทำโฮสเทลเยอะขนาดนั้น เป็นย่านเก่าแก่ดั้งเดิมที่คนยังไม่ค่อยรู้จัก แต่ต่อไปจะเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางได้ง่าย ด้วยเหตุผลหลายอย่างทำให้เราเลือกบางโพเป็นที่ตั้งโฮสเทล” พี่ร้อยเสริม
หลังจากได้ตึกให้เช่าที่ถูกใจจึงเริ่มรีโนเวตตกแต่งใหม่จนถึงขั้นตอนเปิดโฮสเทลให้บริการ แต่ด้วยสถานการณ์ ‘โควิดระบาด’ ทำให้ที่นี่ต้องหยุดชะงักไปเป็นปีกว่าจะกลับมาฟื้นตัวเปิดให้บริการตามความตั้งใจได้
แม้พื้นฐานความเป็นโฮสเทลอย่างห้องแชร์เตียง ห้องน้ำรวม หรือพื้นที่ส่วนรวมจะเป็นอีกหนึ่งความยากของ Bangpho Story ที่ต้องเผชิญ แต่สุดท้ายที่นี่ก็สามารถผ่านพ้นไปด้วยดี
ปัจจุบันโฮสเทลมีทั้งหมด 4 ชั้น แบ่งเป็นชั้นแรกโซนคาเฟ่ ครัวกลาง ชั้นลอยคือเคาน์เตอร์เช็กอินและพื้นที่ส่วนรวมอย่างห้องนั่งเล่น ชั้น 2 – 4 คือห้องพัก และชั้นดาดฟ้าคือเอาต์ดอร์สเปซสำหรับชมวิว

“เรามีความตั้งใจสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น ทำให้คนมาพักรู้สึกว่ากำลังอยู่บางโพ และอยากให้ตัวสถานที่เล่าเรื่องย่านได้ด้วย ถ้าเดินเข้ามาจะเข้าใจเลยว่าที่นี่คือบางโพ ทั้งจากงานไม้และจิตรกรรมฝาผนัง” พี่นัทเสริมเรื่องของการออกแบบที่แทรกความเป็นบางโพไปด้วย อย่างภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นเหมือนแผนที่ขนาดย่อมของบางโพ ทำให้ผู้เข้าพักรู้ว่าตอนนี้อยู่จุดไหนและรอบๆ มีอะไรบ้าง
แม้ตอนนี้จะมีนักลงทุนมากมายเข้ามาจับจองพื้นที่ใกล้แนว MRT สถานีบางโพ เพื่อสร้างคอนโดมิเนียม แต่ขณะเดียวกัน Bangpho Story ก็ยังคงอยู่เป็นโฮสเทลคู่ย่านนี้ตลอดระยะเวลา 5 ปี และมุ่งหน้าสู่ปีที่ 6 ได้อย่างไม่กังวล
“เราชอบความสโลว์ไลฟ์ของที่นี่มาก มีความพึ่งพาอาศัยกันเหมือนคนไทยสมัยก่อนที่เรายังรู้จักเพื่อนบ้านกัน” พี่ร้อยบรรยายความเป็นบางโพไปพลางอมยิ้มไป
“แต่ก่อนส่วนใหญ่แถวนี้จะเป็นร้านเก่าแก่ มีแต่คนที่อยู่กันมานาน พอช่วงหลังๆ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดว่ามีร้านใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น แต่ร้านเก่าๆ ก็มีการปรับตัวโดยยังคงความดั้งเดิมซึ่งเป็นเอกลักษณ์อยู่” ถ้อยคำบรรยายอีกการเดินทางของย่านบางโพผ่านเลนส์ของพี่ร้อย
“พี่ชอบที่ร้านเก่าเขาก็ยังอยู่ได้ ไม่ได้ถูกลบไป และดีใจที่ตอนนี้บางโพเป็นพื้นที่ที่เราวางใจได้ว่าจะยังคงเสน่ห์และกลิ่นอายแบบนี้ต่อไป” พี่นัทแชร์ความหวังในใจจากเลนส์ของตัวเอง
จาก ‘อี่ซิ่ว’ ร้านขายสมุนไพรจีน สู่ร้านน้ำสมุนไพรบางโพ

เดินต่อไม่ไกลจาก Bangpho Story หากไม่ใช่คนบางโพคงจะไม่รู้ว่า หน้าร้านที่เต็มไปด้วยน้ำสมุนไพรทั้งน้ำขม จับเลี้ยง เก๊กฮวย มะตูม ลำไย อัญชัน และอื่นๆ อีกมากมายที่ตั้งเรียงราย แท้จริงแล้วอดีตเคยเป็นร้านขายสมุนไพรจีนมาก่อน
‘อี่ซิ่ว’ ในความทรงจำของคนบางโพคือร้านขายยาจีนและขายน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพควบคู่ไปด้วย ‘ครอบครัวธีรเวชชการ’ ทายาทรุ่นสองผู้เป็นเจ้าของร้านต้อนรับเราอย่างดี และเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวในวันเก่า พร้อมทั้งพาเราไปดูของที่ระลึกถึงวันวาน
“ร้านนี้อยู่มาหกสิบกว่าปีแล้ว อยู่ตรงนี้มาตลอด เมื่อก่อนเป็นบ้านไม้ ตอนหลังปลวกขึ้นจึงบำรุงบ้านใหม่และเลิกขายยา”

ภาพที่เห็นอยู่นี้คือตู้สมุนไพรยาจีนเก่าเมื่อครั้งตอนเป็นร้านขายยา รายชื่อสมุนไพรที่เห็นตามลิ้นชักนี้ก็เป็นสมุนไพรที่มีอยู่จริงแต่ตอนนี้ไม่ได้เก็บแล้ว เหลือเพียงตู้และเครื่องทำยาบางส่วนเท่านั้น
“ไม่ว่าจะเป็นใครเมื่อป่วยก็ต้องหาหมอใช่ไหม ถ้าเป็นสมัยก่อนคนไทยจะหาหมอแผนไทย ส่วนคนจีนก็จะหาหมอแผนจีน” ทายาทร้านเล่า สอดคล้องกับสภาพฐานประชากรของคนบางโพซึ่งในอดีตมีคนจีนอาศัยอยู่จำนวนมาก ร้านขายยาแผนจีนแห่งนี้จึงนับเป็นตัวแทนของชุมชนคนจีนได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เป็นร้านขายน้ำสมุนไพรหลากหลายอย่าง ใช้สูตรน้ำตาลน้อยเพื่อสุขภาพ ลูกชายเจ้าของร้านเล่าให้เราฟังว่า ในอนาคตมีแผนจะทำเป็นแบรนดิ้งใหม่โดยพัฒนาจากสินค้าที่มีอยู่เดิมด้วย
‘ก๋วยเตี๋ยวต้มยำป้าจุกบางโพ’ รสชาติที่คนบางโพคุ้นเคยมากกว่า 40 ปี

ที่หมายต่อไปนอกจากจะเติมพลังให้อิ่มท้องแล้ว ยังอบอุ่นจนอิ่มใจด้วย
‘ลึกหน่อยอร่อยแน่’ คือสโลแกนร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำท้ายซอย 15 ถนนประชาราษฎร์ สาย 1
ถ้าถามคนบางโพคงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘ป้าจุก’ คุณยายอัธยาศัยดีวัย 76 ปี ที่ขายก๋วยเตี๋ยว ณ บางโพแห่งนี้มาเป็นระยะเวลา 49 ปี ขายตั้งแต่ชามละ 5 บาท ลวกเส้นมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นคนในซอยเดียวกัน ซอยตรงข้าม หรือซอยถัดไป ล้วนเป็นลูกค้าขาประจำของป้าจุกทั้งนั้น
วันนี้เราได้พูดคุยกับ ‘คุณยายจุก-สมวงศ์ เนื่องปิยา’ พร้อมทั้ง ‘พี่สมชาย-สมชาย เนื่องปิยา’ ผู้เป็นลูกชาย คุณยายเล่าว่า ด้วยความที่เป็นคนอยุธยา ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งเดือนก็เริ่มหาลู่ทางเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว พิกัดแรกขายที่ตึกแถวหน้าซอยซึ่งปัจจุบันคือตึก SRI space และถึงแม้ว่าปัจจุบันร้านคุณยายจะย้ายมาอยู่ท้ายซอย 15 แต่ก็ยังคงดึงดูดผู้คนให้เข้ามากินก๋วยเตี๋ยวรสชาติดีของคุณยายไม่ขาดสาย
“ลูกค้ามีทั้งคนทำงานรัฐสภา คนจากการไฟฟ้าฯ หรือนักท่องเที่ยว” พี่สมชายเสริมถึงกลุ่มลูกค้าที่แวะเวียนกันมา ยิ่งในช่วงสิบโมงถึงบ่ายโมงยิ่งคับคั่ง

เมนูเด็ดของร้านคือก๋วยเตี๋ยวต้มยำกับเย็นตาโฟ คุณยายเล่าว่า ไม่ว่าจะเส้นอะไรคนก็ชอบกิน แต่บะหมี่น่าจะเป็นเส้นที่คนส่วนมากชอบ ที่ร้านจะเริ่มขายชามแรกตั้งแต่เวลาหกโมงครึ่ง นั่นแปลว่าการเตรียมร้านต้องใช้เวลาก่อนหน้านั้นมาก
“พี่ตื่นตีสามทุกวันไปตลาด เพราะเราซื้อของวันต่อวันเพื่อความสดใหม่ หลังจากนั้นแฟนพี่จะมาช่วยยายเตรียมของ พอหกโมงครึ่งน้ำเดือดยายก็เริ่มขาย” พี่สมชายเล่าถึงกิจวัตรประจำวันของร้านป้าจุก

นอกจากความอร่อยแล้ว เสน่ห์อีกอย่างของร้านป้าจุกคือความอัธยาศัยดีเป็นกันเอง ต้อนรับทุกคนเหมือนลูกหลานด้วยรอยยิ้ม อีกทั้งการที่อยู่ในซอยลึก ไม่มีเดลิเวอรี ต้องย่างเท้าเข้ามาเท่านั้น ก็นับเป็นความพิเศษที่หาที่ไหนไม่ได้
ครั้งแรกที่ครอบครัวป้าจุกย้ายมาอยู่บางโพ ตอนนั้นพี่สมชายยังเล็กอยู่มาก ถึงแม้จะไม่ใช่คนบางโพแท้ตั้งแต่เกิด แต่พี่สมชายก็รู้สึกผูกพันกับย่านนี้ เนื่องจากสะสมความทรงจำมาตั้งแต่ยังเด็ก และเห็นการเปลี่ยนแปลงของย่านบางโพเป็นระยะ
“สมัยก่อนบางโพโดดเด่นเรื่องงานไม้ยังไง ตอนนี้ก็ยังคงโด่งดังอย่างนั้น ถ้าพูดถึงงานไม้ยังไงก็ต้องบางโพ ปัจจุบันบางโพเจริญขึ้นมาก โดยเฉพาะเรื่องการเดินทาง ทั้งเรือด่วน ทั้งรถไฟฟ้า จะไปไหนก็ไปได้สะดวก มีร้านคนรุ่นใหม่เข้ามาตั้งแถวมากมาย แต่ร้านเราก็ยังอยู่ได้เพราะมีลูกค้าประจำด้วยการผูกสัมพันธ์ทำความคุ้นเคยกันมามากกว่าสี่สิบปี และลูกค้าใหม่ที่หมุนเวียนกันมา เราไม่ได้เดือดร้อนกับการเข้ามาของร้านใหม่ๆ แต่คิดว่าเป็นเรื่องดีที่บางโพจะมีสีสันใหม่ๆ เข้ามาบ้าง”
“ยายมีความสุขมากที่ได้ลุกมาทำอะไร มาขายของ มาคุยกับลูกค้า และยายก็ไม่คิดย้ายไปไหนแล้ว” คุณยายเสริมลูกชายด้วยรอยยิ้ม
อิ่มเอมศิลป์ สนิทกับย่าน สนับสนุนศิลปินไปกับ ‘POLL.projects’

หลังจากอิ่มกายอิ่มใจกันแล้ว เราก็เคลื่อนพลเท้าไปยังจุดหมายต่อไปที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
ถ้าบางโพเป็นที่รู้จักในนามถนนสายไม้ที่เป็นตัวแทนงานฝีมือของคนในอดีต พื้นที่สร้างสรรค์ฟากตรงข้ามถนนสายไม้อย่าง ‘POLL.projects’ ก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนงานฝีมือและศิลปะร่วมสมัยที่อยู่ร่วมกันได้บนอาณาบริเวณเดียวกัน
POLL.projects คือศูนย์รวมศิลปะและงานคราฟต์ (Art & Craft Community) ครีเอทีฟสเปซที่ซัพพอร์ตงานศิลปะของคนรุ่นใหม่ รวบรวมผลงานศิลปะมากกว่า 50 ศิลปิน สโลว์บาร์เล็กๆ และเวิร์กช็อปศิลปะสร้างสรรค์

ที่นี่เป็นผลผลิตจากความตั้งใจของ ‘พี่สายป่าน-สายป่าน ชื่นใจ’ ‘พี่ชมพู่-ณัฏฐา วศะล้ำเลิศ’ และ ‘พี่บอส-วรวุฒิ อยู่ยิ่ง’ กลุ่มเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้ง POLL.projects ซึ่งในวันนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับสองในสามผู้ก่อตั้งอย่างพี่สายป่านและพี่ชมพู่
“พี่คิดว่าศิลปินไทยเก่งมากนะ แต่กลับไม่ค่อยมีที่ปล่อยของ ถ้าเราเป็นพื้นที่ที่รองรับผลงานของเขาได้ก็คงจะดี” พี่สายป่านเล่าถึงจุดประสงค์แรกของ POLL.projects

“อย่างกระจกหน้าร้านถือว่าเป็นบิลบอร์ดที่ศิลปินจะได้ฉายผลงานของเขา” พี่ชมพู่เสริม และชี้ชวนให้ดูผลงานสองชุดจากศิลปินสองท่านที่เคยฝากศิลปะไว้ในสายตาคนบางโพ ผ่านการตกแต่งกระจกหน้าร้านด้วยสติกเกอร์ซึ่งหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนทุก 4 เดือน
ด้วยความตั้งใจที่อยากเป็นพื้นที่ปล่อยของและซัพพอร์ตผลงานของศิลปินไทย ภายในร้านจึงมีสินค้ามัลติแบรนด์มากมายหลากหลายประเภท ทั้งคู่เล่าว่า สินค้าในร้านมีที่มาจากสองช่องทาง หนึ่งคือ การที่ทางร้านติดต่อศิลปินจากการพบปะกันตามอีเวนต์หรือพบเห็นกันในโซเชียลมีเดีย และสองคือ การรับสินค้าที่ศิลปินติดต่อเข้ามา ซึ่งสินค้าทั้งร้านเป็นงานอาร์ตและงานคราฟต์ทั้งหมด
“เราอยากให้ POLL.projects เป็นประโยชน์กับย่านและสังคมให้ได้มากที่สุด ทั้งการเป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นพื้นที่ปลอดภัยสบายใจ และเป็นพื้นที่เปิดให้ผู้คนเข้าถึงศิลปะมากขึ้น”
พี่สายป่านเล่าถึงจุดประสงค์อีกข้อซึ่งอ้างอิงจากประสบการณ์ส่วนตัว เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อสมัยเรียนสถาปัตย์ที่ลาดกระบัง การจะไปดูงานศิลปะสักครั้งหนึ่งต้องเดินทางไกลมาถึงหอศิลปกรุงเทพฯ ทำให้เธอคิดว่าคงจะดีถ้าย่านบางโพจะมีหอศิลป์ใกล้ฉันที่ทำให้การเข้าถึงศิลปะไม่ยากลำบากอีกต่อไป
“พี่สังเกตว่า ช่วงเวลาที่พวกเขาได้เข้ามาเสพศิลป์หรือลงมือทำกิจกรรมเวิร์กช็อป นอกจากจะได้พักผ่อนและปลุกความคิดสร้างสรรค์แล้ว ยังเป็นช่วงเวลาที่จะได้กลับมาคอนเนกต์กับหัวใจของตัวเอง ได้เห็นตัวเองในมุมใหม่ๆ และรู้จักตัวเองมากขึ้น แม้จะดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่พี่คิดว่านี่คือก้าวสำคัญที่จะต่อยอดไปสู่ความเข้าใจหรือการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้

“ด้วยความที่ศิลปะคือมุมมองที่คนมองเข้ามาและเลือกคำนิยามด้วยตัวเอง เกินกว่าที่พี่จะตัดสินว่ามันคืออะไร แต่ถ้าให้นิยามความเป็น POLL.projects คงต้องนิยามว่า ‘เป็นอะไรก็ได้ ไร้กรอบกำหนด’” พี่สายป่านให้คำนิยามพื้นที่ที่เรานั่งอยู่ดังนี้ และทั้งสามได้พิสูจน์แล้วว่าที่นี่เป็นอะไรก็ได้จริงๆ
เพราะที่ผ่านมา POLL.projects เป็นทั้งพื้นที่สร้างสรรค์ หอศิลป์ คาเฟ่ เวทีเสวนา ร้านค้า ลานเวิร์กช็อป ห้องฮีลใจ สถานที่จัดอีเวนต์ ฯลฯ ผู้คนหลากหลายช่วงวัยและเชื้อชาติต่างหมุนเวียนกันมา
แม้ว่าในปัจจุบันย่านบางโพมีแผนพัฒนาให้เป็นย่านสร้างสรรค์ ร้านค้าและกิจการใหม่ๆ ดาหน้าเข้ามาตั้งแถวในย่านนี้มากขึ้น แต่หากย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน การมีอาร์ตแอนด์คราฟต์คอมมูนิตี้เข้ามาถือว่าเป็นเรื่องใหม่มาก
“ความเป็นบางโพยังคงเหมือนเดิมในสายตาเรา ทั้งความโลคอลและกลิ่นอายความเก่าแก่ แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือมีร้านเราเข้ามา ช่วงแรกคนบางโพยังไม่ค่อยรู้จักเราเท่าไร แต่ตอนนี้เราได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของย่านแล้ว” ความรู้สึกของพี่ชมพู่ต่อบางโพ จากวันที่ปรับตัวจนถึงวันที่ผสมผสานกับย่านอย่างลงตัว
“จริงๆ แล้วผู้สูงอายุคนเก่าแก่บางโพเข้าร้านเราเยอะมาก มีคุณป้าคนหนึ่งอุดหนุนตั้งแต่วันแรกเลย เวลามีสินค้าหรืองานอะไรมาใหม่ แกจะเข้ามาถามมาคุยกับเรา ตอนนี้พี่เดินไปไหนก็รู้จักกันหมดไม่ว่าจะคนเฒ่าคนแก่หรือวัยไหนก็ตาม” พี่สายป่านเล่าความประทับใจในวันแรก ก่อนเสริมความในใจพร้อมใบหน้าแต้มรอยยิ้ม
“พี่ชอบที่นี่มากๆ ชอบเกินกว่าจะไปที่ไหนแล้ว”
พี่สายป่านและพี่ชมพู่ทิ้งท้ายว่า หลายคนอาจรู้จักบางโพจากบทเพลงดัง แต่ไม่เคยรู้ว่าบางโพอยู่ส่วนไหนของกรุงเทพฯ ตอนนี้บางโพเดินทางสะดวกมากขึ้นแล้ว อยากให้ลองเข้ามาดูก่อน แล้วจะรู้ว่าย่านนี้มีอะไรมากมายซ่อนอยู่
‘ขนมจีนไหหลำเจ๊เผียง’ สัญลักษณ์ของย่านชุมชนชาวจีนไหหลำดั้งเดิม

อีกความน่าสนใจของบางโพคือ การเป็นย่านที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูงมาก ทั้งคนไทย คนจีน คนเวียดนาม ต่างอยู่ร่วมกันด้วยความปรองดอง
หากสังเกตดูจะพบว่า ร้านค้าไม้ในซอยประชานฤมิตร รวมถึงร้านค้าส่วนใหญ่ในบางโพล้วนมีชื่อภาษาจีน เพราะถ้าย้อนกลับไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งนับเป็นยุคแรกเริ่มของอาณาจักรไม้ย่านบางโพ ชาวจีนมีบทบาทสำคัญหลายด้าน ทั้งการจัดตั้งโรงเลื่อยจักรในกรุงเทพฯ การเข้ามาของกิจการแปรรูปไม้สัก การประกอบพาณิชยกรรมต่างๆ และการตั้งถิ่นฐานที่ย่านบางโพ
สิ่งที่เดินทางมาพร้อมกับผู้คนคือวิถีชีวิตและวัฒนธรรม ซึ่งอาหารคือหนึ่งในนั้น นับเป็นหลักฐานสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ย่านชั้นดี อีกทั้งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เล่าเรื่องได้ว่าพื้นที่แห่งนี้เคยมีความเป็นมาอย่างไร
เพียงเลี้ยวเข้าซอยข้าง POLL.projects จะพบกับ ‘ขนมจีนไหหลำเจ๊เผียง’ ร้านขนมจีนน้ำข้นน้ำใส เส้นขนมจีนเส้นใหญ่ และน้ำจิ้มรสเด็ด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของย่านคนจีนไหหลำในอดีตที่ตั้งรกรากที่บางโพ ‘พี่หมุ่ย-วัญเพ็ญ อเนกวิทยากิจ’ และ ‘พี่ฮง-ประสิทธิ์ อเนกวิทยากิจ’ สองพี่น้องทายาทรุ่นสามที่รับไม้ต่อจากรุ่นสู่รุ่นอาสาเล่าถึงความเป็นมาให้เราฟัง

“ช่วงที่คุณยายเป็นคนขายจะขายตามงานงิ้วก่อนตามงานศาลเจ้า จากนั้นย้ายมาอยู่ที่ตึกนี้ปี 2522 เป็นเวลากว่าสี่สิบหกปี ซึ่งสูตรที่ขายอยู่คือสูตรดั้งเดิมแปดสิบปีนับตั้งแต่รุ่นแรกเลย” พี่ฮงเล่าถึงจุดเริ่มต้นของร้าน
“ขนมจีนไหหลำในประเทศไทยมีขายอยู่ไม่กี่เจ้า ถ้าย่านไหนมีร้านขนมจีนไหหลำแสดงว่าย่านนั้นเป็นย่านของคนจีนไหหลำเก่า” พี่หมุ่ยเสริมถึงความสัมพันธ์ของขนมจีนไหหลำกับย่านบางโพ
แม้จะเป็นอาหารดั้งเดิมของชาวจีนไหหลำ แต่ปัจจุบันไม่ว่าใครในบางโพก็ต้องเคยลิ้มรส หรือหากไม่เคยกินก็ต้องเคยได้ยินชื่อเสียงผ่านหู หรือเคยเห็นร้านเจ๊เผียงผ่านตากันมาบ้าง
“ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นขาประจำ แต่ช่วงหลังๆ นี้มีชาวต่างชาติมาบ้าง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี บางทีเขาเดินมาแล้วก็ให้ดูรูปว่าเขาจะกินเมนูนี้ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้จักเราได้ยังไง แต่ก็ดีใจที่เข้ามา” พี่ฮงเล่าด้วยรอยยิ้ม

พี่หมุ่ยเสริมต่อว่า พ้นจากความอร่อยและสูตรที่ไม่เหมือนใคร ความพิเศษอีกอย่างที่ร้านขนมจีนไหหลำเจ๊เผียงไม่เหมือนที่อื่นคือ การใช้เตาถ่านแบบดั้งเดิม เคี่ยวทุกวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน ทำให้น้ำซุปหอม เส้นอร่อย และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์
“ถ้าใครยังไม่เคยกินก็อยากให้ลองมาชิมกันดู บางคนกินตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ พอมาถึงรุ่นลูกก็ยังกินได้ มีทั้งคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ นอกจากร้านเราบางโพก็มีร้านอาหารเก่าแก่มากมายให้เลือกสรรตามชอบ” พี่ฮงเชิญชวน
สืบเนื่องจากการที่เป็นคนบางโพตั้งแต่เกิด ทั้งคู่มีความเห็นว่าปัจจุบันย่านบางโพมีความเป็นแหล่งที่พักอาศัยของคนเมืองเยอะขึ้น ถ้าลองเดินตามซอกซอยแล้วมองตรงขึ้นไปสุดสายตาจะเห็นกลุ่มคอนโดมิเนียมมากมายเป็นภาพพื้นหลัง ซึ่งพี่ฮงคิดว่าเป็นเพราะขนส่งสาธารณะที่เข้าถึงง่ายมากขึ้น ทำให้ตามมาด้วยโอกาสและมูลค่าของพื้นที่
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา พี่หมุ่ยบรรยายถึงสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นจุดเด่นของบางโพและยังคงเหมือนเดิม “แต่ยังไงบางโพก็ยังคงเป็นบางโพ ร้านเก่าแก่ที่อยู่มานานก็ไม่เคยหายไปไหน เห็นตั้งแต่เล็กๆ ก็ยังคงอยู่ และวิถีชีวิตของคนที่นี่ก็ยังคงมีปฏิสัมพันธ์ กลมเกลียวกันไม่เปลี่ยนแปลง”
‘Green Terra Station’ โอเอซิสบางโพ พื้นที่สร้างสรรค์โลกสีเขียว

ข้ามทางม้าลายไปยังฝั่งถนนสายไม้ เคลื่อนพลเท้าลัดเลาะตึกแถวซอกซอยริมถนนประชาราษฎร์ สาย 1 กันต่อ
เดินไปเรื่อยๆ จะพบกับตึกแถวห้องหนึ่งที่มีต้นไม้หลากหลายชนิดตั้งเรียงรายทักทายผู้สัญจรผ่านไปมา ส่วนชั้นสองเป็นห้องกระจกโปร่งโล่งสะดุดตากับกลุ่มต้นไม้ภายใน คือ ‘Green Terra Station’ สถานีโลกสีเขียวแห่งย่านบางโพ Green Community ที่รวมต้นไม้ อุปกรณ์การปลูก และเวิร์กช็อปสร้างสรรค์มากมาย ทั้งจัดสวนขวด เพนต์กระถางต้นไม้ ทำสวนแคกตัสเล็กๆ เป็นต้น
‘พี่มน-วิมลพร ไชยเทศ’ เล่าว่า ตนเรียนจบปริญญาตรีวิทยาศาสตร์พืช จากนั้นเรียนต่อภูมิศาสตร์ที่รามคำแหง แล้วเริ่มทำงานประจำ ด้วยวิถีชีวิตที่เป็นคนทุ่มเทกับการทำงานอย่างสุดกำลัง จนเกิดเป็นความเหนื่อยล้าสะสม ประกอบกับหลังจากศึกษาในห้องเรียนภูมิศาสตร์จนเกิดความสนใจประเด็นโลกร้อนมากขึ้น เธอจึงตัดสินใจผันทิศทางชีวิตครั้งใหญ่เพื่อสานต่อความชอบและความรู้ที่มีเริ่มต้นเป็นร้านแห่งนี้

“พี่ไปศึกษาเรื่องเกาะความร้อนในเมือง เลยรู้ว่าต้นไม้สามารถช่วยได้นะ ด้วยความที่เมืองมีแต่ตึก พื้นที่สีเขียวน้อย จึงทำให้เกิดการสะสมความร้อนไว้ พี่เลยรู้สึกว่าถ้างั้นเราก็ปลูกต้นไม้สิ เพราะถ้ามีต้นไม้อุณหภูมิจะลดลง เราสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับย่านได้”
เสียงจากเจ้าของร้านผู้เห็นว่าการมีพื้นที่สีเขียวเป็นเรื่องที่เมืองต้องคำนึงถึง ไม่ใช่แค่ว่าเราจะพัฒนาย่านด้วยการสร้างตึกสร้างอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียว แต่การมีอยู่ของต้นไม้และการใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมในย่านก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
ร้านนี้เปิดมาเป็นระยะเวลา 8 ปี แต่บางโพไม่ใช่ที่ตั้งแรก แต่เป็นบ้านหลังที่สองที่พี่มนรัก เนื่องจากตอนแรกร้านตั้งอยู่ที่รามคำแหง แต่เพราะพิษโควิดและขาลงของเศรษฐกิจ เธอจึงเดินเท้าลงพื้นที่หลากหลายย่านเพื่อมองหาโลเคชันใหม่ ไล่หาไปเรื่อยๆ จนมาถึงบางโพ

“ชั้นสองของตึกนี้เป็นห้องกระจกอยู่แล้ว ทำให้ต้นไม้ของพี่สามารถเติบโตที่ชั้นสองได้ นอกจากนี้ พี่ต้องการที่ที่ใกล้กับแหล่งขายต้นไม้อย่างจตุจักรด้วย ซึ่งย่านนี้มีทั้งท่าเรือ ทั้งรถไฟฟ้า ทำให้เข้าไปในเมืองได้ง่าย พี่เลยมองว่านี่แหละทำเลที่ตามหามานาน”
มากไปกว่าตำแหน่งที่ตั้งที่สะดวกสบาย พี่มนยังสนใจในตัวตนของย่านบางโพอีกด้วย

“บางโพเป็นย่านเก่าคลาสสิกที่มีเสน่ห์มากสำหรับพี่ พี่ชอบความสโลว์ไลฟ์และวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของคนที่นี่ เขาอยู่กันมาอย่างยาวนาน เต็มไปด้วยความหลากหลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
พี่มองว่าย่านนี้เป็นย่านที่น่าอยู่และค่าครองชีพไม่สูงมาก ในช่วงเศรษฐกิจแย่แบบนี้ พี่คิดว่าพี่สามารถทำสิ่งที่รักและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ที่บางโพ” ความในใจจากผู้อาศัยหน้าใหม่ต่อย่านบางโพ
นอกจากร้านของพี่มนจะเป็นโอเอซิสขนาดย่อมประจำย่านที่ดึงดูดนักเรียน นักศึกษา นักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้ได้ใกล้ชิดธรรมชาติและทำกิจกรรมสร้างสรรค์แล้ว ห้องร้านแห่งนี้ยังเป็นเสมือนศูนย์สร้างปฏิสัมพันธ์ของชุมชนอีกด้วย
“อย่างผู้สูงอายุเขาเลี้ยงต้นไม้อยู่แล้ว สิ่งที่เขาต้องการคือพวกอุปกรณ์ เช่น ดิน ปุ๋ย เขาก็เข้ามาคุยกับพี่ บางครั้งก็ถามเรื่องต้นไม้ บางครั้งก็คุยเรื่องทั่วไป ไม่จำเป็นว่ามาร้านพี่ต้องมาซื้อของหรือทำเวิร์กช็อป แค่สนใจเรื่องต้นไม้หรืออยากคุยกับใครสักคนก็เข้ามาที่ร้านพี่ได้” พี่มนเล่าด้วยรอยยิ้ม ก่อนเล่าถึงความประทับใจต่อมา
“ผู้สูงอายุบางโพน่ารักนะ เขามีการพัฒนาตัวเอง เปิดรับคนรุ่นใหม่อยู่ตลอด ยังไงแล้วชุมชนก็ต้องประกอบด้วยคนหลายรุ่น ทั้งเด็ก วัยรุ่น วัยกลางคน และผู้สูงวัย ถึงจะเป็นย่านที่ลงตัว มีเสน่ห์ อบอุ่น และน่าอยู่”
‘ร้านซ่อมนาฬิกาโบราณกุ๊กกู’ ศูนย์ซ่อมนาฬิกาเก่าแก่ 50 ปี

ถัดจาก Green Terra Station ปิดท้ายกับ ‘ร้านซ่อมนาฬิกาโบราณกุ๊กกู’ ห้องหนึ่งของตึกแถวริมถนนประชาราษฎร์ สาย 1 สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยนาฬิกาโบราณ นาฬิกาข้อมือ และอะไหล่นาฬิกานานาชนิด เพียงแค่เดินผ่านร้านแห่งนี้ก็เหมือนแนะนำตัวกับผู้พบเห็นโดยไม่ต้องเอ่ยสุ้มเสียง เพราะทราบได้ทันทีว่าคือร้านอะไรแม้ว่าจะไม่ได้อ่านป้าย
ศาสตร์ของการซ่อมนาฬิกาเป็นศาสตร์ที่ไม่ค่อยมีผู้เชี่ยวชาญหรือรู้ลึกในเรื่องนี้มากนัก ในกรุงเทพฯ เองก็ไม่ค่อยมีศูนย์ซ่อมนาฬิกาให้เห็นบ่อยๆ แต่ย่านบางโพมีร้านเก่าเจ้าเก๋าอยู่ร้านหนึ่ง เป็นที่พึ่งยามเข็มนาฬิกาอ่อนล้าจนเวลาหยุดเดิน ซึ่งเรามีความเห็นว่าศาสตร์การซ่อมนาฬิกามีความคล้ายคลึงกับศาสตร์การแพทย์ที่ต้องเคาะแคะแกะหาต้นตอของอาการผิดปกติที่เกิดจากอวัยวะที่ทำงานผิดพลาดหรือไม่สัมพันธ์กัน จึงอยากฝากข้อความนี้ไว้เป็นสำนวนเกริ่นก่อนทำความรู้จักร้านแห่งนี้อย่างเป็นทางการ
‘อาวุธประจำกายของหมออาจเป็นเครื่องฟังเสียงหัวใจหรือปรอทวัดไข้ แต่อาวุธคู่ใจของนักซ่อมนาฬิกาคือไฟฉายและไขควง’

เจ้าของร้านซ่อมนาฬิกาประจำย่านคือ ‘พี่วุฒิ-วัยวุฒิ สิริเจริญวัฒน์’ นักซ่อมนาฬิกามือฉมัง ที่รับประกันความชำนาญมากกว่า 50 ปี
เริ่มต้นเราสงสัยว่านาฬิกากุ๊กกูคืออะไร ภายหลังถึงได้ทราบว่าคือนาฬิกาโบราณที่มีความคลาสสิก และมีเสียง ‘กุ๊กกู’ เป็นสัญญาณบอกเวลา ซึ่งพี่วุฒิชี้ชวนให้เราดูที่ตามผนังร้าน ทำให้ทราบว่านาฬิกาที่แขวนให้เห็นกันลายตาไม่ได้แขวนเพื่อขายแต่อย่างใด แต่เป็นนาฬิกากุ๊กกูที่ลูกค้ามาฝากซ่อมไว้ทั้งหมด
“ย้อนกลับไปเมื่อสมัยยังเล็ก เตี่ยเป็นช่างซ่อมนาฬิกา เราก็มีโอกาสสืบทอดความรู้มา พอขึ้นมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ เตี่ยก็ส่งมาอยู่กับเพื่อนเขา ตอนนั้นเลยเริ่มเปิดร้านซ่อมนาฬิกาไปด้วยเรียนหนังสือไปด้วย” พี่วุฒิเล่าจุดเริ่มต้นสายอาชีพนี้

“ด้วยความที่ร้านอยู่มานาน ซ่อมมาทุกการพังของนาฬิกาแล้ว จึงทำได้หมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรุ่นอะไร นาฬิกาประเภทไหนซ่อมได้หมด” เจ้าของร้านซ่อมนาฬิกาย่านบางโพเล่าถึงความชำนาญงานซึ่งนับเป็นความพิเศษหนึ่งของร้าน
ลูกค้าของพี่วุฒิมีทุกรุ่นตั้งแต่เด็กยันผู้ใหญ่ คนไทย คนต่างชาติ คนบางโพ หรือคนย่านอื่น นาฬิกาคนไหนพังก็เข้าศูนย์ซ่อมของพี่วุฒิได้หมด
“นาฬิกามันเหมือนร่างกาย ถ้าอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทำงานต่อไม่ได้ ร่างกายก็เดินต่อไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีร้านซ่อมนาฬิกา” ช่างซ่อมนาฬิกากล่าวถึงความสำคัญของสิ่งที่ตนคลุกคลีมาทั้งชีวิต
จากนั้นพี่วุฒิเล่าต่อว่า ก่อนจะมาตั้งร้านอยู่ที่บางโพ ตนย้ายถิ่นประจำการมาหลายต่อหลายครั้งจนมาถึงย่านนี้ ซึ่งเป็นจุดหมายที่ตนปักหลักลงแรงเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี
“หลังย้ายมาหลายที่ พอมาถึงบางโพก็รู้สึกว่าย่านนี้เป็นย่านที่น่าอยู่ ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กันดี เราเห็นย่านนี้ตั้งแต่สมัยมีรถรางวิ่ง จนตอนนี้มีรถไฟฟ้าเข้ามาแล้ว” เขาย้อนวันวาน ก่อนสำทับว่าคงจะอยู่ย่านนี้ไปอีกยาวๆ

หากเปรียบเทียบบางโพเป็นนาฬิกาแล้ว ผู้คนทุกอาชีพ ทุกช่วงวัย ทุกรูปแบบวิถีชีวิต ทุกตรอกซอกซอย ล้วนเป็นส่วนประกอบของกลไกการดันเข็มนาฬิกาให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างแยกขาดจากกันไม่ได้ ตราบใดที่ทุกส่วนยังคงแข็งแรงและสอดประสานกันอย่างลงตัว ย่านบางโพจะเป็นนาฬิกาที่ห้วงเวลาไม่เคยหยุดเดิน
ตลอดการลัดเลาะย่านในครั้งนี้ ทุกที่ในบางโพต้อนรับเราอย่างเป็นมิตรเสมือนไม่ใช่คนอื่นไกล ไม่ใช่คนแปลกหน้า สร้างความรู้สึกสบายใจปลอดภัยเหมือนอยู่บ้าน เมื่อมาครั้งหนึ่งแล้วก็อยากมาซ้ำอีกบ่อยๆ เพราะเพียงถนนประชาราษฎร์สายเดียว ระหว่างซอกซอยก็มีเสน่ห์และเรื่องราวที่ซ่อนตัวอยู่เป็นระยะ รอคอยให้ผู้คนสาวเท้าเข้ามาสังเกตและหลงรักย่านนี้ด้วยตัวเอง
พูดขนาดนี้คงต้องหาเวลามาบางโพครั้งหน้าเสียแล้ว