คนไหนคนเมืองใหญ่ จะรู้ได้ไง ถ้าอ่านแล้วเข้าข่ายล่ะคนเมืองใหญ่แน่น๊อนน
ไม่ได้มาร้องเพลงให้ฟัง แต่จะมาให้ดู 9 สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณนั้นเป็นคนเมืองใหญ่โดยแท้จริง ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ แต่แค่คุณรู้สึกว่าคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ อ่านแล้วรู้สึกว่า “ใช่เลย นี่มันชีวิตชั้นนี่!” บอกเลยว่าคุณอยู่ไม่ผิดที่ผิดทางแน่นอน ยินดีด้วย เมืองนั้นคือบ้านของคุณ
1.กาแฟคือพลัง!
ก่อนตาจะเปิดกาแฟต้องเข้าร่างซะก่อน ไม่ว่าวันนั้นคุณจะมีตารางชีวิตที่จ่อรออยู่แค่ไหนก็ตาม ความวุ่นวายต่างๆ ไม่สามารถหยุดคุณจากการหากาแฟกระแทกปากได้เสมอก่อนคุณจะพร้อมเผชิญโลก จนคุณไม่รู้แล้วว่าคุณติดคาเฟอีนจริงๆ หรือว่ามันคือ routine ประจำวันที่เป็นสัญญาณในการเตรียมจิตใจให้พร้อมสำหรับการสู้ชีวิตในวันนั้นๆ กันแน่ แต่ไม่ว่าเพราะเหตุผลไหน กาแฟคือพลังงานสำหรับร่างกายและจิตใจคุณ
2. ทานข้าวนอกบ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นเพราะตารางชีวิตที่แน่นจนไม่มีเวลาเตรียมอาหารเองได้ทุกวัน หรือเป็นเพราะในเมืองมันมีร้านอาหารอร่อยๆ เต็มไปหมด ถึงอยากจะประหยัดโดยการกินข้าวบ้าน แต่รู้ตัวอีกทีเย็นวันศุกร์หลังเลิกงานคุณก็นั่งแทะไก่บอนชอน ปิ้งเนื้อบาบีคิวพลาซ่ากับเพื่อนๆ ตบท้ายด้วยชิบูย่าโทสต์อาฟเตอร์ยูเรียบร้อย
3. เพื่อนบ้านชื่ออะไร?
คุณไม่รู้จักเพื่อนบ้านของคุณ คุณไม่รู้แม้กระทั่งว่าเค้าชื่ออะไร แม้ว่าจะเจอกันทุกวันหน้าบ้าน หน้าปากซอย ในลิฟคอนโด เพราะคุณไม่มีเวลาหรือกระจิตกระใจจะทำความรู้จักกับใคร แต่คุณก็จำหน้าตาเค้าได้ รู้แม้กระทั่งกิจวัตรของพวกเค้า แถมตั้งชื่อในจินตนาการให้พวกเค้าเสร็จสรรพในหัว ไม่ว่าจะเจ๊ผมสั้นข้างบ้านที่เลี้ยงแมวเยอะๆ ตี๋เนิร์ดห้องตรงข้ามที่ออกจากห้องอาทิตย์ละครั้งเพื่อไปเซเว่น มนุษย์ป้าหน้าดุที่รดน้ำต้นไม้ทุกเช้า แต่คุณก็ไม่คิดจะเข้าไปคุยกับพวกเค้าหรอกนะ
4. ไลน์แมนมาเยี่ยมบ้านบ่อยกว่าเพื่อน
คุณมีกล่องอาหาร ตะเกียบไม้ ช้อนส้อมพลาสติก และหนังกะติ๊กเต็มห้องไปหมด มาจากไหนน่ะเหรอ? ก็จากอาหารเดลิเวอรี่ที่คุณสั่งมาทุก 5 ทุ่มไง พี่แมสไลน์แมน ฟู้ดแพนด้า และอูเบอร์อีทส์ คือผู้มาเยี่ยมเยียนบ้านคุณบ่อยกว่าเพื่อนคุณซะอีก ก็รถมันติด ยุ่งก็ยุ่ง อยากกินไรก็ขออยู่บ้านสั่งอาหารผ่านมือถือเอาละกัน ไหนใครสั่งอาหารเดลิเวอรี่บ่อยจนเจอพี่แมสหน้าซ้ำมาแล้วกดไลค์แรงๆ เลย
5. แพงแค่ไหนเรียกว่าแพง
อยู่เมืองใหญ่ที่สินค้าในชีวิตประจำวันแข่งกันขึ้นราคาจนคุณไม่รู้แล้วว่า เท่าไหร่ เรียกว่าแพง กาแฟแก้วละร้อยกว่าบาท ขนมชิ้นละร้อย ค่าจอดรถอีก 80บาท แพงเหรอ? ไม่รู้อ่ะ ชินแล้ว เส้นแบ่งความแพงไม่แพงช่างเบลอไปหมด ก็เค้าตั้งมาเท่านี้ก็เท่านี้แหละ อย่าไปคิดมันเลย ทำงานต่อไปเพื่อใช้ให้พอดีกว่า *พิมพ์ไปดูดสตาร์บัคส์ไป*
6. มอไซค์ไปโลดดด
ถ้าการคร่อมมอไซค์ทุกวันจนกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวแข็งแรงแล้ว คุณคือชาวเมืองที่แท้ทรู ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใช้รถโดยสารสาธารณะหรือจะมีรถราคาหลายล้าน จะอยู่ในกางเกงบอลหรือเชิ้ตขาวรองเท้าหนังจระเจ้ แต่พบว่าสุดท้ายแล้วคุณสละทุกอย่างที่มี 4 ล้อแล้วกระโดดซ้อนพี่วินเพื่อจะไปไหนซักที่ ยินดีด้วยคุณเข้าใจสัจธรรมของชาวเมืองกรุงอย่างแท้จริง
7. ระยะประชิดกับคนแปลกหน้าได้โดยไม่สะทกสะท้าน
ไหนจะโอบกอดพี่วิน ก้นชนก้นกับเพื่อนร่วมขบวนรถไฟฟ้า จมูกไซร้ผมป้าบน MRT นั่งแบบหน้าแทบจะชน**สาวที่ยืนโหนรถเมล์ แต่คุณก็ไม่สะทกสะท้านใดๆ เพราะความเบียด ความอัดแน่น ความปลากระป๋อง คือสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญทุกชั่วโมงเร่งด่วน ก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือต่อไป อีกนิดก็จะถึงสถานีแล้ว “ขะ.. ขอ.. ขอออกหน่อยค่ะ..” *อะ.. อ้าวว ไม่ทัน ประตูปิด*
8. อยู่(คนเดียว)เป็น
นัดเพื่อนเหรอ รอเพื่อนเหรอ รอทุกคนตัดสินใจเหรอ ชาติหน้านู่น ไม่ต้องหรอก เพราะคุณไปกินข้าว เดินเล่น นั่งร้านกาแฟคนเดียวได้ หนักหน่อยก็ดูหนังคนเดียวได้แล้ว ถ้าคุณพบว่ายิ่งวัน คุณยิ่งใช้ชีวิตทำอะไรคนเดียวได้มากขึ้น ไม่ว่าจะไปออกกำลังคนเดียว หาข้าวทานคนเดียว กลับบ้านสั่งข้าวกินคนเดียว หรือทำอะไรได้เองโดยไม่ต้องรอใคร คุณกำลังเข้าใจวิถีชิวิตคนเมืองดี เพราะทุกคนต่างยุ่ง และการรอเพื่อนๆ ให้ว่างพร้อมกัน มาให้ตรงเวลา มันเป็นเรื่องยากสำหรับชีวิตคนเมืองไปซะแล้ว
9. เริ่มเฉยชากับความน่าตื่นเต้น
เมืองคือแสง สี เสียง ชีวิตชีวา และเรื่องน่าตื่นเต้น แต่คุณกลับรู้สึกเฉยๆ กับทุกอย่างซะแล้ว ไม่ว่าจะสถานที่เที่ยวยามราตรี ห้างสรรพสินค้า หรือแม้กระทั่งความวายป่วงตามท้องถนนในชีวิตประจำวัน มอไซค์ลงมาต่อยกัน ข่าวอะไรประหลาดๆ ที่คุณรู้สึกไม่ประหลาดอีกต่อไป ตึกระฟ้าใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกตื่นตาตื่นใจตื่นเต้นเอาซะเลย นี่คือสัญญาณว่าคุณและเมืองกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันแล้ว ความโหยหาในธรรมชาติและการเดินทางออกห่างจากสิ่งเหล่านี้จะมีมากขึ้น ท้องฟ้า ทุ่งหญ้า และน้ำทะเล กลายเป็นสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกตื่นตาแทน หาเวลาไปพักผ่อนบ้างนะ แล้วค่อยกลับมาอยู่ในเมืองที่เราคุ้นเคยกัน