จากตัวอักษรในนิยายที่ทำให้วางมือไม่ลง เรื่องราวข่าวสารที่น่าติดตาม รวมทั้งผิวสัมผัสของกระดาษเวลาเปิดแต่ละหน้า และกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นเสน่ห์ที่คนรักสิ่งพิมพ์ต่างหลงใหล น่าเสียดายที่ปัจจุบันธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ได้เลือนหายจางลงไปทุกที
หากพูดถึงนิตยสารสมัยก่อนที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ต้องหยิบมาอ่าน หนึ่งในนั้นต้องมี ‘นิตยสารบางกอก’ หนังสืออ่านเล่นที่เนื้อหาไม่ใช่เล่นๆ มีครบทั้งนิยายชวนติดตามจากหลากหลายนักเขียน ข่าวสารอัปเดตแฟชั่น หรือคอลัมน์ถาม-ตอบคลายข้อสงสัย ที่ผูกพันกับเหล่านักอ่านได้ติดตามกันทุกสัปดาห์
ถึงแม้ทุกวันนี้โรงพิมพ์นิตยสารบางกอกจะปิดตัวไปแล้ว แต่ความทรงจำครั้งเก่ายังคงบรรจุไว้อย่างอัดแน่นในโรงแรมมิวเซียม ‘Bangkok Publishing Residence’ โดยทายาทรุ่นหลาน ‘คุณอุ้ม-ปณิดา ทศไนยธาดา’ ที่เป็นผู้ตัดสินใจรีโนเวตโรงพิมพ์เก่าของครอบครัวให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
พ.ศ. 2503 | ‘นิตยสารบางกอก’ เกิดขึ้นบนถนน ‘หลานหลวง’
นั่งเครื่องไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเมื่อ 60 ปีที่แล้ว พ.ศ. 2503 จุดเริ่มต้นของนิตยสารบางกอกมาจากคุณตาของคุณอุ้มเป็นคนชอบอ่านหนังสือ แล้วได้ขายหนังสือมาเรื่อยๆ จนได้รู้จักนักเขียนหลายคน ทำให้คุณตาตัดสินใจทำโรงพิมพ์ขึ้นมา ซึ่งจัดทำเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์ แผนที่ รวมทั้งนิตยสารชื่อดังอย่าง ‘บางกอก’
เดิมนิตยสารบางกอกเป็นนวนิยายขายกลุ่มวัยรุ่นชาย สไตล์บู๊แอ็กชัน ต่อสู้ผจญภัย ภายหลังเปลี่ยนมาเอาใจสาวๆ เกี่ยวกับความรักโรแมนติก ความงาม เน้นไลฟ์สไตล์มากขึ้น เรียกได้ว่ามีครบทุกรส ไม่ว่าจะเป็นหมวดนวนิยาย เรื่องสยองขวัญ แฟชั่น หรืออัปเดตข่าวสารต่างๆ เข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม ทั้งพนักงานออฟฟิศ กลุ่มแรงงาน หรือกลุ่มวัยรุ่น ต้องมีพกติดตัวสักเล่มไว้อ่านเล่นยามว่าง เนื่องจากสมัยนั้นสื่อบันเทิงที่เข้ามายังไม่หลากหลายเท่าในปัจจุบัน แถมยังราคาไม่แพง ใครๆ ก็ซื้อหามาอ่านได้ไม่ยาก
คุณอุ้ม ทายาทรุ่นหลานของโรงพิมพ์แห่งนี้เล่าถึงชีวิตการทำงานในสมัยนั้นให้ฟังว่า โตมากับสิ่งพิมพ์ตั้งแต่เด็กๆ ปิดเทอมก็จะติดตามคุณแม่ไปทำงานที่โรงพิมพ์ด้วยเป็นประจำ คุณอุ้มเห็นแท่นพิมพ์ที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา และกลิ่นหมึกที่เป็นเอกลักษณ์ ขั้นตอนการผลิตนิตยสารที่ต้องแข่งกับเวลา ภาพทุกอย่างถูกซึมซับเข้ามาในความทรงจำของคุณอุ้มเสมอมา
ขณะนั้นถือได้ว่าเป็นยุคทองของสิ่งพิมพ์ โรงพิมพ์ตีพิมพ์นิตยสารอยู่หลายเล่ม อย่างนิตยสารบางกอกเองตีพิมพ์ทีหนึ่งก็ล็อตละ 300,000 เล่ม ซึ่งสมัยนั้นนับว่ายอดพิมพ์สูงมาก ส่วนคุณแม่ของคุณอุ้มทำนิตยสาร ‘จันทร์’ ที่เน้นเกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิง ต้องจ้างโรงพิมพ์ข้างนอกเพิ่มด้วยอีกแรง ทำให้คุณอุ้มเห็นบรรยากาศของการทำงานทุกขั้นตอน เช่น การตรวจต้นฉบับ การจัดวางหน้าในนิตยสาร รวมไปถึงการเช็กสีหมึกบนกระดาษไม่ให้มีผิดเพี้ยน ที่ทุกขั้นตอนทำด้วยระบบแมนวล กว่าจะปิดเล่มแต่ละทีก็ลากยาวไปจนถึงตีสองตีสามเลยทีเดียว
ความละเอียดของคนสมัยก่อน ทุกหน้าของนิตยสารเป็นงานของคนทำมือ ไม่ว่าจะเป็นรูปโปสเตอร์ที่ตัดแปะขึ้นมาเอง การดีไซน์ตัวอักษร การจัดองค์ประกอบ รวมไปถึงเส้นตรงแต่ละเส้นที่คมกริบเรียงเป็นระแนงล้วนขีดขึ้นมาด้วยมือทั้งสิ้น อีกทั้งทุกกระบวนการยังต้องทำงานแข่งกับเวลา ยิ่งเป็นนิตยสารรายสัปดาห์ที่ต้องเสร็จภายใน 2 – 3 วันด้วยแล้ว คุณอุ้มยังบอกอีกว่าคนสมัยก่อนทำงานโหดกว่ารุ่นเรามาก เคยปิดเล่มภายในวันเดียวก็มีมาแล้ว
นิตยสารบางกอกเกิดขึ้นในโรงพิมพ์ตึกแถว 1 คูหาบนถนนหลานหลวง พอหลังจากธุรกิจนิตยสารประสบความสำเร็จก็เริ่มขยับขยายพื้นที่เป็น 6 คูหา ซึ่งคุณอุ้มเล่าถึงบรรยากาศในช่วงเวลานั้นว่า สมัยก่อนรุ่นคุณยายเป็นยุคของสื่อสิ่งพิมพ์ ในย่านหลานหลวงเต็มไปด้วยโรงพิมพ์และโรงละครตั้งอยู่เรียงราย มีนักเขียนนั่งคุยกันตามร้านกาแฟต่างๆ
หลานหลวงจึงเป็นย่านครีเอทีฟของคนสมัยก่อน รวมถึงถนนหนทางที่สะดวกสบาย ทำให้ย่านนี้มีความเจริญเปรียบเหมือนสยามในสมัยนี้เลยทีเดียว แต่น่าเศร้าที่ทุกวันนี้สื่อสิ่งพิมพ์เก่าๆ เลือนหายไปหมดแล้ว โรงพิมพ์หลายแห่งทยอยปิดตัวลง หลานหลวงไม่คึกคักเท่าสมัยก่อน ช่วงแรกที่คุณอุ้มเข้ามารีโนเวตโรงพิมพ์นี้ คุณอุ้มได้อธิบายถึงบรรยากาศของย่านนี้ว่า เส้นหลานหลวงเงียบสนิทเหมือนเมืองผีดิบ ผู้คนละทิ้งตึกแถวไปจนเกือบหมด โรงพิมพ์เก่าแก่ก็แทบจะตายจากไปกันหมดแล้ว
พ.ศ. 2560 | ปลุก ‘โรงพิมพ์’ สู่ ‘โรงแรม’
ในยุคที่ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก พื้นที่ตึกแถว 6 คูหาไม่เพียงพออีกต่อไป จึงต้องย้ายโรงพิมพ์ไปอยู่บ้านใหม่แถวถนนศรีอยุธยา ทำให้ตึกแถวนี้กลายเป็นสำนักงานของครอบครัวและถูกทิ้งร้างในเวลาต่อมา ผ่านมาหลายปี ยุคของสิ่งพิมพ์ก็เริ่มจางหายไป เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายของคุณอุ้มมอบกุญแจโรงพิมพ์แห่งนี้ให้คุณอุ้มไปทำอะไรสักอย่าง
โจทย์ที่คุณยายมอบพื้นที่นี้ให้คุณอุ้มดูแลคือจุดเริ่มต้นของโรงแรมมิวเซียม Bangkok Publishing Residence ซึ่งมาจากความตั้งใจของคุณอุ้มที่อยากรักษาโรงพิมพ์เก่าแห่งนี้ให้เป็น ‘พิพิธภัณฑ์สื่อสิ่งพิมพ์’ ซึ่งรวบรวมเทคโนโลยีการพิมพ์ในสมัยก่อนหรือสิ่งของที่มีคุณค่าให้คนที่สนใจเรื่องสิ่งพิมพ์ได้มาศึกษา
สาเหตุที่ต้องปรับเป็นโรงแรมเนื่องจากในปัจจุบันพิพิธภัณฑ์เพียงอย่างเดียวอาจดำรงอยู่ได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง ด้วยลำพังตัวคุณอุ้มเองไม่ได้มีทุนสนับสนุน จึงเป็นโจทย์ต่อมาว่า หากทำเป็นเชิงธุรกิจก็น่าจะสามารถรักษาสิ่งนี้ให้อยู่รอดต่อไปได้ จึงกลายเป็นที่มาของโรงแรม Bangkok Publishing Residence
‘Mysterious’ ความลึกลับ
‘Private’ ความส่วนตัว
‘Elegant’ ความสง่างาม
3 คำนี้คือคอนเซปต์ในการออกแบบโรงแรม Bangkok Publishing Residence หากใครผ่านไปผ่านมาแถวหลานหลวง อาจเดินผ่านโรงแรมที่ภายในตกแต่งอย่างสง่างามนี้โดยไม่รู้ตัว ด้วยอาคารสีเทาเข้มดูลึกลับที่หลายคนมองข้ามไป ทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของคุณอุ้มที่ต้องการให้คนรักสิ่งพิมพ์หรือคนที่สนใจประวัติศาสตร์ของสิ่งพิมพ์เท่านั้นได้เข้ามาสัมผัส
หากอยากเข้าใจโลกของสิ่งพิมพ์อย่างลึกซึ้ง คุณอุ้มแนะนำให้ลองมาพักโรงแรมสักหนึ่งคืนเพื่อใช้เวลาซึมซับบรรยากาศโรงพิมพ์ ด้วยการออกแบบโครงสร้างและการตกแต่งที่ให้กลิ่นอายเก่าๆ และศึกษาประวัติศาสตร์การพิมพ์ผ่านอุปกรณ์และเครื่องจักรซึ่งเคยถูกใช้งานในโรงพิมพ์จริงๆ ซุกซ่อนอยู่ในทุกซอกทุกมุมของโรงแรม ขนาดตัวเราที่ไปสัมภาษณ์คุณอุ้ม นั่งคุยเกี่ยวกับนิตยสาร และฟังเรื่องราวของการพิมพ์ในสมัยก่อน ก็เพลิดเพลินกันจนลืมเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง
เมื่อได้เข้ามาเช็กอินโรงแรม Bangkok Publishing Residence จะมาพร้อมกับแผนที่จิ๋วเป็นไกด์พาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งแต่ละชั้นจะพาไปสำรวจสิ่งของต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพิมพ์ดีดอายุเกือบร้อยปีที่คุณตาของคุณอุ้มเก็บสะสมไว้ เครื่องพิมพ์นิตยสารตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ รวมไปถึงผลงานของโรงพิมพ์อย่างโปสเตอร์ แผนที่ และนิตยสาร
ชั้น 1 ของโรงแรมจะพาทุกคนย้อนวันวาน ในช่วงรัชกาลที่ 6 และ 7 ย่านหลานหลวงถือว่าเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมของไทยอย่างการเล่นดนตรีร่วมสมัย ที่ทุกคนต้องมาร้องรำทำเพลงในย่านนี้ เช่น การแสดงโขนหรือการเต้นบอลรูม
มองเลยไปอีกนิดจะเห็นเครื่องพิมพ์ดีดตั้งอยู่เรียงราย ซึ่งมีอายุหลักร้อยและหาดูได้ยากแล้วในปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีสิ่งพิมพ์ของสมัยนั้นอย่างเครื่องพิมพ์ดีด ‘Remington’ รุ่น Smith Premier ที่สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 5 เป็นเครื่องพิมพ์ดีดรุ่นแรกที่มีแป้นพิมพ์ตัวอักษรไทย ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา
และ ‘The Mignon Model 4’ เป็นเครื่องพิมพ์ดีดที่ผลิตในเมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เป็นรุ่นที่ขายดีในช่วง ค.ศ. 1924 – 1934 จุดเด่นของมันคือสามารถพิมพ์ได้ถึง 300 ตัว/นาที
เขยิบไปอีกฝั่งหนึ่ง จะได้ทำความรู้จักกับเครื่องพิมพ์นิตยสารสุดเก๋า ค.ศ. 1900 ‘Gestetner’s Rotary Cyclostyle’ ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็เหมือนกับเครื่องถ่ายเอกสารของคนสมัยนั้น
ขึ้นไปชั้นบนของโรงแรมจะต้องตื่นเต้นไปกับดีเทลต่างๆ อย่างแม่พิมพ์แกะสลักตัวอักษรที่ใช้ผลิตนิตยสารมาแล้วนับไม่ถ้วน เวลาจะผลิตนิตยสารออกมาจำนวนมากต้องใช้แม่พิมพ์พวกนี้เรียงกันเป็นคำใส่ในเครื่องพิมพ์ ซึ่งจะทำให้งานเรียบร้อยเหมือนกันทุกเล่ม เดินต่อมาอีกสักนิดก็จะเจอกับกองม้วนกระดาษโรเนียวไว้ใช้พิมพ์นิตยสารในสมัยนั้น
เสน่ห์ของ Bangkok Publishing Residence ที่ชวนหลงใหลให้เข้ามาพักโรงแรมนี้คือการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานทั้งบรรยากาศของโรงพิมพ์และบ้านยุคเก่าเข้าไว้ด้วยกัน อย่างพื้นที่ส่วนกลางที่ได้แรงบันดาลใจมาจากโรงพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างลิฟต์เหล็ก บานกระจก และมุมห้องทำงานของคุณตา
ขึ้นลิฟต์เข้ามาในส่วนของห้องพักของโรงแรมซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 8 ห้องเท่านั้น คุณอุ้มบอกถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบที่ให้ความรู้สึกเหมือน ‘บ้าน’ จึงมีความอบอุ่นแฝงอยู่ในนั้น แต่ละห้องก็จะมีคอนเซปต์แตกต่างกันออกไป รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ของทุกห้องจะมีโต๊ะเขียนหนังสือสำหรับคนชอบขีดเขียน บ้างเป็นโต๊ะทำงานของคุณพ่อที่มีความคลาสสิกอยู่ในตัวและมีคุณค่าทางใจ
ปัจจุบัน | คุณค่าทาง ‘ใจ’ เป็น ‘แรงผลักดัน’
ปัจจุบันโรงแรม Bangkok Publishing Residence เปิดมาได้ 2 ปีแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาพักล้วนมาจากการบอกต่อกันแบบปากต่อปาก ซึ่งเป็นความตั้งใจของคุณอุ้มที่อยากสร้างโรงแรมสำหรับคนที่ตั้งใจมาซึมซับเรื่องราวของสิ่งพิมพ์
กว่าจะมีทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย คุณอุ้มเล่าถึงความยากลำบากของการก่อตั้งโรงแรม Bangkok Publishing Residence ตอนตัดสินใจจะรีโนเวตอาคารหลังนี้ ครั้งแรกมีสภาพทรุดโทรมมาก เก็บไว้ได้แค่เปลือกนอกของอาคาร เพราะด้านในไม่สามารถรับน้ำหนักได้อย่างแข็งแรงคงทน จึงต้องทุบทำใหม่ทั้งหมด รวมทั้งบรรยากาศถนนหลานหลวงที่เงียบเชียบ ไม่มีสิ่งที่น่าสนใจนัก กว่าจะปลุกให้โรงพิมพ์แห่งนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งต้องใช้แรงใจเยอะมาก ถึงจะมีท้อบ้างแต่ก็ต้องเดินหน้าทำต่อให้สำเร็จ
“อุ้มไม่ยอมแพ้กับทุกสิ่ง ถ้าเราตั้งใจทำอะไร เชื่อว่ามันไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
ทุกอย่างคืออุปสรรค ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ถอย
มันอาจจะเป็นอุปสรรคใหม่ แต่เราก็มองว่าเป็นสิ่งดีที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ถ้ามองทุกอย่างคือบทเรียน มันก็ไม่มีอะไรต้องท้อ
เรามีทุกวันนี้เพราะสิ่งพิมพ์ เราต้องขอบคุณและรักมัน ต้องเก็บรักษาไว้เพราะมันมีคุณค่าทางจิตใจ”