เมืองไทย เมืองร้อน!!! กรุงเทพฯ ประกาศเข้าสู่หน้าร้อนอย่างเป็นทางการ เราคงต้องเผชิญกับแสงแดดที่แผดเผาไปอีกนานหลายเดือน เผลอๆ อาจจะทั้งปี และทุกปีก็ดูจะยิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ เท่านั้นที่อากาศร้อนจนเหงื่อไหล เพราะประเทศทั่วโลกต่างก็ตระหนักถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้น และสภาพภูมิอากาศของโลกที่กำลังเสียสมดุล หรือที่เราเรียกกันอย่างคุ้นเคยว่า “ภาวะโลกร้อน”
ปัจจุบัน ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 350 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี คิดเป็น 0.8% ของทั้งหมด อยู่ในลำดับที่ 21 ของโลก โดยภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด คือ ภาคพลังงาน ซึ่งรวมถึงการผลิตพลังงานไปใช้ในภาคอื่นๆ เช่น การขนส่ง อุตสาหกรรม และครัวเรือน รวมกันมากถึง 73%
(Source: www.bbc.com/thai)
แล้วแบบนี้ พอจะมีวิธีไหนที่เราจะช่วยคลายร้อนให้โลกได้บ้างล่ะ? ก่อนอื่นคงต้องคลายร้อนให้บ้านตัวเองก่อน เพราะหน้าร้อนประเทศไทย แดดจัดชนิดที่ว่าถ้าไม่พึ่งเครื่องปรับอากาศก็แทบจะอยู่ไม่ได้ แต่ยิ่งใช้แอร์โลกก็ยิ่ง ทำงานหนัก เราจึงมี 6 วิธีทำให้บ้านเย็นฉ่ำ พร้อมแนวทางที่จะช่วยกางร่มให้กรุงเทพฯ มาให้ชาวเมืองได้ลองนำ ไปใช้กัน แล้วคุณก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการลดโลกร้อน
01| เลือก “ฉลากลดคาร์บอน” ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้โลกเราร้อนขึ้นทุกปี ก็คือ “ภาวะเรือนกระจก” ซึ่งเป็นก๊าซที่กักความร้อนไว้บนโลก ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน มาจากกิจกรรมทั้งหลายของมนุษย์ ซึ่งปั๊มก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์หลายตันขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ปัญหานี้จึงเป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องช่วยกัน
จากพิธีสารเกียวโตที่ประเทศสมาชิกทั่วโลกต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ตามเป้าหมาย จึงทำให้เกิด “การค้าคาร์บอนเครดิต” ขึ้น โดยประเทศที่ไม่สามารถลดปริมาณก๊าซได้ จะต้องซื้อเครดิตจากประเทศอื่นมาชดเชย ปัจจุบันในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ, อเมริกา, นิวซีแลนด์, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และจีน จึงกำหนดให้มี ฉลากลดโลกร้อน หรือ “ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์” เพื่อบอกว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปเท่าไหร่ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ นำไปแปรรูปผลิต จัดจำหน่าย ไปจนถึงกระบวนการย่อยสลาย ทำให้เราได้ทราบว่าผู้ผลิตใส่ใจต่อปัญหาโลกร้อนมากน้อยแค่ไหน และเลือกซื้อสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า
ในประเทศไทยเองก็มีผลิตภัณฑ์หลากหลายที่ได้การรับรอง “ฉลากลดคาร์บอน” โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งจะติดเครื่องหมายไว้บนฉลากบรรจุภัณฑ์นั้นๆ การเลือกซื้อสินค้าที่มีฉลากลดคาร์บอน เป็นหนทางหนึ่งที่เราพอจะช่วยโลกได้ หากเราหยุดคิดสักนิดก่อนจะบริโภคสินค้า ก็ถือว่ามีส่วนร่วมในการช่วยลดโลกร้อนแล้ว
02| เพิ่ม “พื้นที่สีเขียว” ในเมือง
ต้นไม้มีส่วนสำคัญในการรักษาสมดุลของอุณหภูมิโลก เพราะตลอดอายุของต้นไม้ 1 ต้น สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 1 ตัน แต่การเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์ ทำให้ประชากรต้นไม้ลดจำนวนลงสวนทางกับจำนวนตึกอาคาร จึงไม่น่าแปลกที่เมืองใหญ่จะขาดแคลนพื้นที่สีเขียว ดังนั้น “Green Roof” หรือการปลูกพืชบนหลังคา จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ และนิยมปลูกตามอาคารในเมืองใหญ่ๆ เช่น สิงคโปร์ อเมริกา หรืออย่างโทรอนโต เมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศแรกในทวีปอเมริกาเหนือที่มีร่างกฎหมายเรื่อง Green Roof ตั้งแต่ปี 2010 ประโยชน์ของกรีนรูฟช่วยสร้างอากาศบริสุทธิ์ และลดคาร์บอนไดออกไซด์ อีกทั้งยังลดความร้อนที่จะเข้าสู่ตัวอาคาร ช่วยประหยัดพลังงานที่ใช้ทำความเย็นได้ด้วย
03 | “ฟาซาด” ดีไซน์เก๋ สวมเกราะกันร้อนให้บ้าน
นอกจากกันสาดจะเอาไว้กันแดดกันฝน “ฟาซาด (Facade)” ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียแต่งบ้าน ที่นอกจากจะทำให้บ้านดูโมเดิร์นขึ้น ยังเป็นเกราะป้องกันแสงแดดที่จะส่องเข้ามาในบ้าน ฟาซาดมีดีไซน์หลากหลาย เช่น ระแนงไม้ซี่ๆ หรือแผ่นอะลูมิเนียมเจาะเป็นแพทเทิร์น บางแบบสามารถเลื่อนเปิด-ปิดได้ สร้างความเป็นส่วนตัว และช่วยบดบังสายตาจากภายนอก ข้อดีของฟาซาด คือ ไม่ทำให้บ้านดูทึบเกินไป โปร่งแสง มีช่องให้ลมพัดผ่านได้ และเรายังรับรู้ช่วงเวลาจากแสงเงาที่ลอดเข้ามา เกิดความสวยงามไปในตัว
04 | ติด “สปริงเกอร์” รดน้ำให้หลังคา
หลังคาเป็นส่วนแรกของบ้านที่ต้องเจอกับแดดเต็มๆ ถ้าหลังคาร้อน เราก็ร้อน บางบ้านจึงลงทุนเปลี่ยนหลังคาใหม่เป็นสีอ่อนเพื่อลดการดูดความร้อน หรือ “ติดฉนวนกันความร้อนใต้หลังคา” กันความร้อนที่แผดเผาเข้ามาได้อีกชั้น แต่การยกเครื่องหลังคาใหม่ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งยังใช้งบเยอะ วิธีง่ายที่สุด คือทำให้หลังคาเย็นด้วยการ “ติดสปริงเกอร์บนหลังคา” รดน้ำเพื่อคลายความร้อน การติดตั้งก็ไม่ยุ่งยาก แถมยังเย็นสบายเหมือนฝนตก หรือจะนำ “สปริงเกอร์พ่นหมอก” มาติดไว้ที่ชายคาบ้าน วันไหนร้อนๆ ก็เปิดใช้งาน ม่านหมอกจะช่วยลดอุณหภูมิ ทั้งยังให้บรรยากาศชุ่มฉ่ำไม่ต่างจากหมอกจริงๆ เลยล่ะ
05 | ปลูกต้นไม้ “แนวรั้ว” ล้อมตัวบ้าน
ใครกำลังวางแผนจะปลูกต้นไม้ให้บ้านร่มรื่น อาจจะเลือกต้นที่เป็นพุ่มและรากไม่ลึกเพื่อป้องกันการทำลายโครงสร้าง การปลูกต้นไม้เป็นแนวรั้วก็เป็นอีกไอเดียที่ไม่เลว เพราะนอกจากจะช่วยบังแดดได้ดี พุ่มหนาๆ ยังช่วยกรองฝุ่นไม่ให้เข้ามาในบ้าน ทั้งยังช่วยบังสายตาสร้างความเป็นส่วนตัวให้แก่ผู้อยู่อาศัย โดยต้นไม้ที่นำมาปลูกควรมีพุ่มแน่น เลี้ยงง่าย ทนแดด ทนฝน ยิ่งตัดยิ่งแตกใบใหม่ เช่น ต้นไทรเกาหลี ต้นสนประดิพัทธ์ ต้นโมก ต้นข่อย ต้นจั๋ง
06 | เนรมิต “สวนบนดาดฟ้า” และ “สวนแนวตั้ง”
สำหรับคนที่อยู่คอนโดหรือมีพื้นที่ไม่มากนัก อาจจะเลือกปลูกไม้กระถาง หรือไม้แขวนประดับไว้ตรงหน้าต่าง โดยเฉพาะห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตก “สวนแนวตั้ง” ก็เป็นอีกทางเลือกที่กำลังเป็นเทรนด์ ต้นไม้ที่นิยมนำมาปลูก ได้แก่ เฟิร์นต่างๆ สัปปะรดสี และจำพวกไม้เลื้อย โดยพืชที่ต้องการความชุ่มชื้นน้อยที่สุดให้เรียงไว้ด้านบน เนื่องจากเวลารดน้ำ น้ำจะไหลลงพืชที่ชอบน้ำมากด้านล่าง ส่วนบ้านที่มีดาดฟ้าว่างอยู่ก็น่าปลูกต้นไม้คลุมดิน เช่น ดาดตะกั่ว หนวดปลาดุกแคระ แต่ควรหลีกเลี่ยงการก่อกระบะ หรือกระถางต้นไม้ที่มีน้ำหนักมาก หากไม่ได้ออกแบบดาดฟ้ามาเพื่อปลูกต้นไม้ตั้งแต่แรก