หนึ่งในย่านที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปีที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้น “อารีย์” หรือ “ซอยพหลโยธิน 7” เป็นย่านเล็ก ๆ ที่รายล้อมไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ สำนักงาน ช้อปปิ้งมอลล์ และที่พักอาศัย ที่ยังคงมีกลิ่นอายของการผสมผสานระหว่างวิถีชีวิตดั้งเดิมและเทรนด์ไลฟ์สไตล์รุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว
ขณะที่สองเท้าเดินลัดเลาะเข้าไปยังซอยพหลโยธิน 7 บรรยากาศในวันธรรมดาของอารีย์เต็มไปด้วยเหล่าพ่อค้าแม่ค้า วินมอเตอร์ไซต์ และพนักงานออฟฟิศที่เดินทางเข้ามาทำงาน ถ้าหากเป็นช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็จะมีเหล่าขาจรเข้ามาทักทายย่านอารีย์หมุนเวียนกันไป เมื่อเราเดินไปตามซอยต่างๆ เราจะพบบ้านหลังใหญ่ มีรั้วแน่นหนาบ่งบอกถึงอาณาเขตของเจ้าของพื้นที่อีกทั้งในอารีย์ยังมีพื้นที่สีเขียว โดยเฉพาะบริเวณอารีย์สัมพันธ์ ที่ใจกลางเมืองแห่งนี้ยังคงความร่มรื่นเอาไว้
“สมัยก่อนอารีย์เป็นพื้นที่ที่เงียบมาก ไม่ค่อยมีอะไร แต่เดี๋ยวนี้คนเริ่มเข้ามาเยอะขึ้น .. ก็ดีไปอย่าง วิ่งราวไม่ค่อยมี”
ประโยคที่แฝงมุกตลกของ‘สุพจน์ โมกขเวศ’ เจ้าของร้าน ‘กาแฟปุ๊’ ที่ทำงานในย่านอารีย์มากว่า 20 ปี ด้วยรูปแบบการขายที่ยกร้านกาแฟขนาดย่อมเยามาไว้บนหลังรถกระบะ ทำให้ดึงดูดคนที่ผ่านไปผ่านมาอยู่ไม่น้อย
“เมื่อ 40 -50 ปีก่อน ย่านอารีย์มีแต่บ้านเดี่ยวทั้งนั้น พวกคอนโดมิเนียม หรือออฟฟิศใหม่ๆ เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน อย่างร้านอาหาร ส่วนมากมักจะเป็นสตรีทฟู้ด ซึ่งร้านกาแฟหรือร้านอาหารสไตล์ฟิวชั่นยังไม่ค่อยมี ต่างจากตอนนี้อารีย์เริ่มมีร้านใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะ” พี่ปุ๊เล่าให้เราฟังเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอย่างตั้งใจ
พี่ปุ๊เล่าให้ฟังว่า ช่วง 2-3 ปีให้หลังอารีย์เติบโตไปไวมากกว่าที่คิดเอาไว้ มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของอารีย์มาเรื่อยๆ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ในช่วงแรกอารีย์โดดเด่นในเรื่องอาหารสตรีทฟู้ด อย่าง เหลาเหลา แต่ช่วงหลังเริ่มมีร้านอาหารหลากหลายสไตล์มากขึ้น ประกอบกับออฟฟิศสร้างใหม่เยอะยิ่งทำให้ร้านต่างๆ เข้ามาเปิดเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าตรงส่วนนี้
“อารีย์มีความหลากหลาย เป็นพื้นที่ที่มีที่อยู่อาศัยสลับกับธุรกิจ ทั้งธรรมชาติที่อยู่โดยรอบ การใช้ชีวิตของผู้คนในย่าน เน้นความสบาย และเป็นกันเอง หลายๆ อย่างในย่านอารีย์ยังน่าอยู่”
‘เอกกมล ธีปฏิกานนท์’ หรือ ‘ต้น’ กำลังอธิบายถึงเสน่ห์ย่านอารีย์ในมุมมองของเขา
คุณต้น เล่าว่า ที่อยู่อาศัยและบรรยากาศในอารีย์ยังน่าอยู่ เขามองว่าที่พักส่วนใหญ่ยังเป็นบ้านที่มีต้นไม้ขึ้นเชียวชะอุ่ม มีสวนสาธารณะเล็กๆ และยังเป็นย่านที่สามารถเดินได้ เพราะซอยเชื่อมถึงกันแทบทั้งหมด ซึ่งในระยะหลังๆ ที่ผ่านมาเริ่มมีคนเข้า-ออกมากขึ้น ทั้งผู้อยู่อาศัยและแขกผู้มาเยือน อย่างลูกค้า หรือนักธุรกิจ ทำให้บรรยากาศในย่านอารีย์เริ่มคึกคักมากขึ้นเมื่อเทียบกับแต่ก่อน
“หลายปีก่อนตอนที่มาที่นี่ยังเห็นว่าอารีย์ยังคงเป็นบ้านคนอยู่เยอะมาก บรรยากาศโดยรวมยังเป็น informal มันไม่เหมือนอยู่กลางเมืองแล้วทุกคนคือคู่แข่งกัน”
‘กัลยา โกวิทวิสิทธิ์’ หรือ ‘เจน’ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง FabCafe Bangkok เล่าให้ฟังถึงบรรยากาศในย่านอารีย์แห่งนี้
คุณเจนเล่าต่อว่า ก่อนหน้านั้นได้มองย่านทองหล่อเอาไว้ แต่ด้วยความทองหล่อเติบโตไปแล้วในระดับหนึ่ง รวมถึงบรรยากาศของทองหล่อเน้นแสงสีเสียงยามค่ำคืนมากกว่า จึงตัดออกไป ซึ่งตรงกันข้ามกับอารีย์ที่ค่อนข้างมีกลุ่มดีไซน์อยู่เยอะมากและสามารถตอบโจทย์คอนเซ็ปของร้านได้ดี ทำให้ตัดสินใจเลือกย่านอารีย์แทน
ในระยะ 4 ปีที่คุณเจนเปิดร้านมา ทำให้พอเห็นความเปลี่ยนแปลงของอารีย์อยู่บ้าง ถึงแม้ว่าย่านแห่งนี้จะเป็นที่สนใจของกลุ่มนักธุรกิจ แต่ก็มีธุรกิจที่เกิดใหม่และปิดตัวลงไปเยอะ อีกทั้งเมื่อก่อนคาเฟ่เป็นเหมือนสถานีปลายทางที่คนสนใจอยากเข้ามาตรงนี้เท่านั้นถึงจะเข้ามา บางคนก็มองว่าอาจจะไปไม่รอด แต่ช่วงหลังๆ คนเริ่มรู้จักมากขึ้นก็เริ่มมีคน walk-in เข้ามาด้วย
“เจนมองว่าคาแรคเตอร์ของอารีย์แตกต่างจากที่อื่น อาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีสำหรับตัวเองและย่าน ทั้งยังมีความกระจายตัวอย่างสมดุลระหว่างบ้าน ออฟฟิศ ช้อปปิ้งมอลล์ที่ไม่ได้เป็นห้างใหญ่ รวมไปถึงคนยังแสวงหาชุมชนส่วนตัวเล็กๆ อยู่ นี่อาจเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของอารีย์”
การเติบโตแบบก้าวกระโดดของอารีย์ ทำให้ที่นี่เป็นทำเลที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่อยากเข้ามาจับจองพื้นที่เพื่ออยู่อาศัย และประกอบธุรกิจ ด้วยสภาพแวดล้อมของอารีย์ที่ครบครันทั้งด้านที่พักอาศัย ด้านการเดินทางที่สะดวกสบายเพราะติดกับรถไฟฟ้า ด้านร้านอาหารที่มีหลากหลายสไตล์ สำนักงานต่างๆ โรงพยาบาล และโรงเรียน อีกทั้งธุรกิจใหม่ๆ เน้นปล่อยไอเดียและมีคอนเซ็ปต์มากขึ้น ทำให้เทรนด์ต่างๆ เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว บวกกับเสน่ห์ของอารีย์ที่ยังคงความเป็นชุมชน เงียบสงบไม่พลุกพล่านจนเกินไป สิ่งเหล่านี้เกิดการผสมผสานระหว่างกันและกันจนออกมาเป็น เสน่ห์ของอารีย์ ที่หาไม่ได้จากที่อื่น