ในวันที่อุตสาหกรรมดนตรีเป็นเรื่องที่เข้าไปหา และเดินออกมากันง่ายขึ้น การก้าวเข้าสู่อาชีพ ‘ศิลปิน’ ไม่ใช่เรื่องยากเท่าสมัยก่อน แต่การ ‘รักษาความเป็นศิลปิน’ ให้คงอยู่กลับกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นหลายร้อยเท่าตัว
ศิลปินสมัยนี้ต้องพึ่งความอึดเยอะๆ เพราะความหลงใหลมันยังไม่พอ แต่เราต้องอึด ต้องดื้อ ต้องไม่ยอมแพ้
นั่นคือคำตอบจาก ‘คุณลุลา‘ หรือ ‘คุณตุ๊กตา -กันยารัตน์ ติยะพรไชย’ ศิลปินหญิงสไตล์บอสซาโนวา ที่ก้าวเดินบนเส้นทางดนตรีมากว่า 10 ปี และยังคง ‘รักษา’ ความเป็นศิลปินให้ไหลเวียนอยู่ในชีวิตเสมอ
บ่ายวันหนึ่งในย่านเอกมัย เรามีนัดกับคุณลุลา ที่ ‘Lula Craft Studio’ บ้านหลังใหม่ และที่พักใจซึ่งอบอวลไปด้วยความหวานละมุนของเหล่างานเย็บ ปัก ถัก ร้อย ข้าวของกระจุกกระจิก และมุมงานคราฟต์หลายสิบชิ้น
เราได้รับคำทักทายแบบเป็นกันเอง และรอยยิ้มสดใส พร้อมคำเชื้อเชิญให้นั่งคุยกันที่มุมหนึ่งของสตูดิโอ และเรื่องราวตลอดช่วงชีวิต 10 ในวงการดนตรีของคุณลุลาก็เริ่มขึ้น
ก่อนจะเป็นลุลาอย่างทุกวันนี้ | ร้องเพลงตั้งแต่เด็ก ผ่านช่วงชีวิตโปรเจกต์เมเนเจอร์
LULA : แม่เล่าให้ฟังว่า เราร้องเพลงตั้งแต่เด็กๆ มาเริ่มจริงจังช่วง 10 ขวบ ที่เรียนเป็นเรื่องราว ตอนเรียนมัธยมมีคนเริ่มมาติดต่อไปศิลปินด้วยนะ (หัวเราะ) แต่แม่บอกอย่าเลยให้เรียนก่อน เราก็ยังแอบทำมาเรื่อยๆ พอเริ่มทำงานก็ไปเป็น Project Manager ทำอีเวนต์ เพราะเราจบด้าน interior เอก exhibition มา ก็ทำมาประมาณ 6 ปี แล้ววันหนึ่งไปขอลาออก บอกว่าจะไปเป็นนักร้องนะ ตอนนั้นไม่มีใครอวยพรเลย ทุกคนส่ายหน้า จนได้ทำงานเป็นลุลาเต็มตัว เขาถึงยอมรับกัน
เมื่อได้ทำงานดนตรีจริง | ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าแพชชั่น และความอดทน
LULA : เราว่าการเป็นศิลปินต้องพึ่งความอึดเยอะๆ เพราะความหลงใหลยังไม่พอนะ ความหลงใหลบางทีมันไม่มีตังกินข้าว ต่อให้ครอบครัวเราไม่มีเงินหรือมีเงินมากแค่ไหน เรารู้สึกว่ามีแค่ 5% ของศิลปินไทยที่อยู่ได้ด้วยอาชีพศิลปินจริงๆ ที่เหลือคือต้องหาอย่างอื่นทำด้วย เราเลยคิดว่า แค่แพชชั่นยังไม่พอ ต้องอึด ต้องดื้อ ต้องไม่ยอมแพ้
สิ่งมากมายรอบตัว | แหล่งไอเดียสำคัญที่ใช้สร้างสรรค์บทเพลง
LULA : ศิลปินจะหยิบเรื่องตัวเองมาเขียนเพลงได้ไม่กี่อัลบัม หลังจากนั้นต้องหาจากข้างนอก อย่าง คุยกับเพื่อน คุยกับคนแปลกหน้า ดูหนัง ดูละคร ที่ดีคือเที่ยวไกลๆ ที่กันดาร ไปสัมผัสวัฒนธรรมที่แปลกๆ มันช่วยได้นะ
อีกเรื่องที่สำคัญคือ การเผือกเรื่องชาวบ้าน (หัวเราะ) เราไม่ได้เอามานินทานะ แต่เอามาวิเคราะห์มากกว่า อย่างเพลง status มันมีรุ่นน้องมากมายที่คุยกับผู้ชายหลายคน เราก็คิดว่า เขาคงเหงาแต่ไม่อยากผูกมัดกับใคร เพียงต้องการความสบายที่คนสมัยใหม่เป็น มันเลยเกิดเป็นเพลง status ขึ้นมา
ป๊อด โมเดิร์นด็อก + Jason Mraz | นักร้องที่เป็นไอดอลของนักร้อง
LULA : ถ้าเป็นศิลปินไทย เราชอบ ‘พี่ป็อด โมเดิร์นด็อก‘ มากๆ คือเขาจะมียุคที่ติสต์มาก และมียุคที่คอมเมอร์เชียลไปเลย เรารู้สึกว่าพี่เขาเป็นได้ทุกอย่าง อีกคนนึงคือ ‘Jason Mraz‘ เขาเป็นอีกคนที่ใช้เวลาค้นหาตัวเองเยอะ และศิลปินที่อเมริกาน่าจะหนักกว่าของไทย คือต้องโดดเด่น อย่างเซิร์ฟ มิวสิค เขาก็พุ่งขึ้นมาเลยด้วยสไตล์การร้อง และดนตรีที่มันเอื้อนแบบพิเศษเฉพาะตัว ในฐานะศิลปิน เรารู้สึกว่าเขาค้นหาอะไรเจอในมุมที่พิเศษมาก น่าติดตามว่าเขาจะเดินไปทางไหนถ้าจะเดินตามเขาก็น่าเรียนรู้ว่าเขาจะเดินต่อไปยังไง
ทำอย่างไรให้ไม่สูญเสียความเป็นตัวเอง | คือสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นศิลปินมากว่า 10 ปี
LULA : ที่ว่าเริ่มต้นยากแล้ว การประคองให้อยู่เรื่อยๆ อย่างเป็นเรานั้นยากกว่า อาจจะคิดว่ากว่าจะดัง จะเกิดมันยากจังเลย แต่พอเป็นศิลปินแล้วต้องประคองให้เป็นเรา ไม่สูญเสียตัวเองให้คนยังจดจำ มีมาตรฐานของความเป็นเราอยู่ตลอดมันยากกว่าสิบเท่าพันเท่า อีกสิ่งหนึ่งคือพอทำอาชีพนี้ไประยะหนึ่ง เราจะเริ่มลืม ลืมไปว่าเราทำไปเพื่ออะไร ฉะนั้นแก่นของเราต้องชัดมากว่าเราทำเพื่ออะไร เพราะใคร
เราเริ่มเรียนรู้จากการร้องเพลงเพื่อตัวเอง เปลี่ยนเป็นทำเพื่อคนอื่น
เพราะถ้าทำเพื่อตัวเองอย่างเดียว ไม่เกินสัก 10 ปี ก็น่าจะเลิกเพราะมันไม่ค่อยโสภาสักเท่าไหร่ แต่การเริ่มคิดเพื่อคนอื่น เพื่อจุดประสงค์อื่นๆ มันจะนำพาไปได้จนถึงจุดหนึ่งที่เราเป็นเรามากที่สุด
หากถามว่า ตอนนี้ลุลาเดินทางอยู่ในจุดไหน | ขอใช้ ‘อโวคาโด’ เป็นตัวอธิบาย
LULA : เราว่าอายุมันมีผลนะ ตอนที่อายุ 20 ไม่เคยจำกัดความว่าตัวเองเป็นอะไรเลย รู้สึกว่า เราไม่รู้จักตัวเองเลย แค่ทำงานหาเงินเท่านั้นเอง เวลาที่มีก็ให้กับนายหรือลูกค้า สุขภาพก็ไม่ดี รูปร่างหน้าตาก็ไม่สวยไม่ได้ดูแลตัวเองเลย
แต่พอเข้าอายุ 30 รู้สึกว่า เรารู้ไปหมดเลย รู้ว่าชอบผู้ชายแบบไหน เป็นคนยังไง เหมาะกับอะไร รู้สึกว่าตัวเองลงตัว เข้าใจตัวเองไปหมด ถ้าตอนนี้หากเปรียบกับอโวคาโด ก็คงเป็นส่วนที่เริ่มนิ่มๆ แล้ว คนได้กลิ่น เห็นสีเข้มนั้นมาแต่ไกล น่าซื้อ พร้อมกิน ตัวเองก็คงเป็นประมาณนั้น
อย่างที่เราเกริ่นไปตอนต้นว่า ‘Lula Craft Studio’ คือบ้านหลังใหม่ และที่พักใจของคุณลุลา ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งสิ่ง ที่คุณลุลารักไม่แพ้การร้องเพลง เราจึงไม่พลาดถามถึงจุดเริ่มต้นของสตูดิโอแห่งนี้
Lula Craft Studio | คือยารักษาอาการทำงานมากไปจนเกือบบ้า
LULA : เริ่มมากจากตัวเองที่ทำงานมากเกินไปจนจะเป็นบ้า ถ้าทำอย่างนั้นทุกวัน เรารู้สึกว่าไม่ไหวแน่ เราชอบเปรียบการร้องเพลงเหมือนขนม และถ้าเราต้องกินขนมทุกวันคิดว่ามันไม่ไหว เลยเริ่มหาอย่างอื่นทำ นั่นก็คืองานฝีมือ
เพราะเราเป็นคนที่ชอบทำงานฝีมือตั้งแต่เด็ก เห็นแม่ทำเยอะเลยติดมาและชอบ เคยเอากล่องเครื่องสำอางแม่มาทำโมเดลด้วยนะ (หัวเราะ) เราเลยสนใจงานเย็บ ทอ เพ้นท์ และไปเรียนตามสตูดิโอตต่างๆ ทำให้รู้จักคุณครู เริ่มคิดว่าอยากทำโรงเรียนแล้วให้คุณครูมาสอน เลยคิดว่า ถ้าเราอยากทำอะไรก็เอาตัวเองไปอยยู่ที่นั่น เลยสร้าง Lula Craft Studio ขึ้นมา
ซึ่งในสตูดิโอก็จะมีงานหลากหลายมาก คืองานคราฟต์มันเยอะมาก ทั้งงานปัก งานทอ งานถัก งานเย็บ และมีคุณครูที่ทำอะไรแปลกๆ เยอะมากมารวมกัน ที่นี่ก็เลยจะเปิดคอร์สสอนที่หลากหลาย ตามความถนัดของครูแต่ละคนที่เราชวนมา
งานคราฟต์ | โลกที่พาตัวเองเข้าไปอยู่แล้วสบายใจ
LULA : เรารู้สึกว่า มีอะไรในใจเยอะ ซึ่งบางครั้งมันกลั่นออกมาเป็นคำพูด หรือเขียนไม่ได้ และบางทีก็ไม่ได้อยากให้ใครมารู้ด้วยซ้ำ เราเลยมาระบายออกทางงานมากกว่า อย่างความเป็นศิลปินเราจะมักไม่พูดทุกอย่างที่เราเป็น แต่ถ่ายทอดออกไปทางเพลง เช่น เคยดูสารคดีของ Elvis Presley เพลงบางเพลงฟังได้นานไปหลายสิบปีต้องมีอะไรบางอย่างที่นักร้องอัดอั้นอยู่ข้างใน และระบายออกมา งานคราฟต์ก็คล้ายกัน อะไรที่ไม่สบายใจไม่ต้องพูดออกมาก็ได้ แต่เราหันมาสื่อสารผ่านงานคราฟต์แทน
อีกอย่าง มันทำให้เราหยุดคิดสิ่งที่วุ่นวายในชีวิต เอาเวลามาใช้กับงานที่อยู่ข้างหน้า อย่างงานปัก งานถักก็เป็นการถ่ายทอดศีลธรรมในใจ รู้สึกยังไงก็ให้ถ่ายทอดผ่านสิ่งพวกนี้ และถ้าเราไม่อยากบอกความรู้สึกกับใครเป็นคำพูด ก็ให้เขาดูงานพวกนี้แทน น่าจะเข้าใจเรามากกว่าการใช้คำพูดใดๆ
โลกของลุลาเป็นโลกที่สมบูรณ์ | เพราะมีเสียงเพลงและงานคราฟต์
LULA : มันอาจจะเป็นโลกที่คนอื่นไม่เข้าใจ แต่มันคอมพลีทเราได้มากว่า เหมือนกับว่าถ้าปล่อยให้เราอยู่ตรงนี้นานหน่อย เราก็จะเป็นคนที่อารมณ์ดีขึ้นโดยไม่ต้องเข้ามาช่วยเหลืออะไรเรา คือรู้สึกว่า เราอาจไม่ต้องการมนุษย์ในบางครั้ง ไม่ได้ต้องการคนมาคุยด้วย แต่ต้องการคนที่มาทำงานฝีมือข้างกัน สื่อสารกันด้วยความเงียบมากกว่า
เหมือนเวลาเราทำงานคราฟต์ เรารู้สึกว่า สื่อสารกับคนที่เรียนด้วยกันได้ รู้สึกว่าเป็นคนประเภทเดียวกัน มันเป็นโลกที่พาตัวเองเข้าไปอยู่แล้วสบายใจ
พระนคร | ย่านที่คราฟต์ที่สุดในกรุงเทพฯ
LULA : เรามองว่า ย่านที่ดูคราฟต์มากที่สุดน่าจะเป็น ‘พระนคร’ ถ้าไม่ได้พูดถึงในแง่แค่งานานฝีมือนะ เพราะทุกๆ อย่างที่อยู่แถวพระนคร มันเป็นศิลปะของมันเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตึกเก่าๆ ถนน บ้าน สำเพ็ง อะไรก็ตามมันเป็นอย่างที่เราชอบ รู้สึกว่าอยากไปอยู่ อยากมีบ้านอยู่ริมน้ำสักหลัง วันไหนที่ว่างจากงานก็นั่งเรือจากสะพานตากสินไปนนทบุรีและก็กลับ พระนครมันป็นย่านที่สวยมากเลย
ถ้าให้ครีเอท Playlist แนะนำตัวเอง | นี่คือสามบทเพลงที่เป็นลุลา
เราขอปิดท้ายการพูดคุยครั้งนี้ ด้วย 3 เพลงที่คุณลุลาเลือกมาแล้วว่า จะใช้แนะนำตัวเองกับคนที่ไม่รู้จัก
Reflection (Disney’s Mulan) | Christina Aguilera
LULA : เวลาเครียดเรื่องขับรถ เรามักจะเปิดเพลงนี้ ชีวิตจะรู้สึกดีขึ้นมาทันที อีกอย่างที่เลือกเพลงนี้ เพราะเราอาจจะเป็นลูกคนจีนเหมือนกัน เลยรู้สึกว่า Mulan เป็นการ์ตูนที่ให้เด็กผู้หญิงมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ถึงแม้ว่าสังคมจะมองเราเป็นอะไรก็ตาม
ทะเลสีดำ | Lula ft. ต้า Paradox
LULA : เพลงที่สอง เราเลือก ‘ทะเลสีดำ’ ซึ่งเป็นเพลงเกี่ยวกับผู้ชายอ่อนแอและมีผู้หญิงเข้าไปซัพพอร์ต ที่ชอบเพราะเวลาที่เพื่อนเรา หรือครอบครัวอ่อนแอ เราก็พร้อมที่จะซัพพอร์ต หรือวันที่เราอ่อนแอเองก็จะพูดว่าไม่ไหว ที่ผ่านมาไม่เคยพูดว่าไม่ไหว แต่ถ้าพูดคือไม่ไหวจริงๆ เรารู้สึกว่าทะเลสีดำน่าจะเหมาะที่สุด
I Won’t Give Up | Jason Mraz
LULA : เพลงสุดท้ายเราเลือก ‘I won’t give up’ รู้สึกว่า มันเป็นเพลงที่ดีไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ มันหมายถึง ฉันจะไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่เกิดขึ้น คือเราได้รับพลังนี้จากพ่อแม่ เพื่อน แฟนเพลง เลยรู้สึกว่าเราต้องให้คืนสู้คนอื่นแล้ว เช่นเพื่อนเราอย่าง ป็อป ปองกูลมีปัญหา เราจะบอกเพื่อนว่า ทุกอย่างมันต้องโอเค ถึงแม้ว่าตอนนี้มันไม่โอเค แต่พรุ่งนี้มันจะดีขึ้น เพลงมันก็บอกได้ว่ามันเหมาะกับเราตอนนี้ที่เป็น i won’t give up ทั้งเรื่องของตัวเองและคนอื่นด้วย
แล้วอย่างที่บอก เรามี Jason Mraz เป็นไอดอลอยู่แล้ว เขาเป็นอีกคนที่สำคัญในวงการเพลง เพราะอัลบัมที่เขาออกมามันสร้างให้เกิดคำจำกัดความในแนวเพลงใหม่ คือ เซิร์ฟ มิวสิค ทำให้ดนตรีมันมีความอิสระมากขึ้น คือเรารู้สึกว่า เขาช่วยปลดปล่อยบางส่วนในตัวเราด้วยนะ เลยตามไปดูคอนเสิร์ตเขาทุกครั้ง อย่างครั้งล่าสุด ‘JASON MRAZ GOOD VIBES TOUR‘ ที่กำลังจะมาจัดในบ้านเรา วันที่ 21 พฤษภาคมนี้ ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี เราก็ไม่พลาดไปแน่นอน อยากไปปลดปล่อยตัวเองอีกสักครั้งหนึ่ง
Graphic Designer : Benyatip S.
Photographer : Napat P. , Janenarong S.