ทริปนี้เป็นอีกหนี่งทริปที่เราตื่นเต้นที่สุด ตั้งแต่ขอวีซ่าท่องเที่ยวที่ต้องลุ้นกันจนตัวโก่ง แต่สุดท้ายก็ได้มา 1 วันก่อนออกเดือนทาง ไหนจะต้องลุ้นเรื่องโร้ดทริป ที่พ่อแม่เราต้องเป็นพลขับ (เพราะเราขับรถไม่เป็น !) ไม่รู้ว่าจะต้องขึ้นเขาลงห้วยกันขนาดไหน และยังต้องลุ้นสภาพอากาศว่าท้องฟ้าจะเป็นใจไหม และจะได้ดูทุ่งดอกลูปินสมใจหรือเปล่า
เรามีเวลาทั้งหมดแค่ 7 วันรวมวันเดินทาง จะได้เที่ยวจริงๆ แค่ประมาณ 6 วัน โดยเราตั้งใจจะเที่ยวชมธรรมชาติของเกาะใต้ตั้งแต่ลงเครื่องที่ Christchurch เที่ยวฝั่งตะวันออกลงไปถึง Millford Sound แล้ววกกลับขึ้นมาฝั่ง West Coast ซึ่งขอบอกเลยว่า แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว เพราะในแต่ละวันเราต้องเดินทาง 250 กิโลเมตรเป็นอย่างต่ำ เรียกได้ว่าขับรถกันจนเมื่อยไปเลย โดยในพาร์ทนี้เราจะขอพาทัวร์ฝั่ง East Coast ดูความสดใสของธรรมชาติและดอกลูปินที่กำลังอยู่ในช่วงพีคกัน ถ้าพร้อมแล้วก็ตามเรามาได้เลย
เรามาเที่ยวนิวซีแลนด์ช่วงต้นเดือนธันวาคม ซึ่งถือเป็นช่วงที่กำลังจะเข้าฤดูร้อน เราจึงมีเวลาเที่ยวเยอะหน่อย กว่าจะมืดก็สามทุ่มกว่า วันแรกหลังจากลงเครื่องที่ Christchurch ในช่วงบ่าย เราก็ขับรถบึ่งมาที่แถวทะเลสาบ Tekapo กันเลย แน่นอนว่าเริ่มมีดอกลูปินให้เห็นกันแล้ว ทำเอาเราตื่นเต้นไปตลอดทาง ถึงขั้นต้องจอดรถข้างทางแล้วเดินบุกป่าฝ่าดงเข้าไปถ่ายรูปกันเลยทีเดียว
แต่จริงๆ แล้วเจ้าดอกลูปินที่โด่งดังสร้างชื่อให้กับนิวซีแลนด์กลับไม่ใช่พืชพื้นเมืองของที่นี่ บ้างก็ว่ามีต้นกำเนิดมาจากแถบเมดิเตอร์เรเนียน อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้บ้าง เป็นพืชตระกูลถั่วมีดอกหลากหลายสีสัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสีโทนม่วง ซึ่งที่ทะเลสาบ Tekapo ก็เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวชอบมาชมความงามของดอกลูปิน แต่สำหรับเราแล้วที่ทะเลสาบ Tekapo ยังไม่ใช่จุดพีค อาจจะเพราะวันนั้นอากาศไม่เป็นใจ ท้องฟ้าไม่เปิด แถมลืมพกกล้องมาจากโรงแรมเลยอดถ่ายรูปคู่กับทะเลสาบสุดป็อปปูลาร์แห่งนี้
นอกจากทะเลสาบ Tekapo แล้ว อีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่สำคัญของเกาะใต้คือ Mount Cook หรือชื่อพื้นเมืองในภาษาเมารีเรียกว่า Aoraki ซึ่งแปลว่า Cloud Piecer หรือภูเขาทะลุเมฆ เพราะเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในนิวซีแลนด์ โดยระหว่างทางเราจะขับรถเรียบทะเลสาบ Pukaki ซึ่งมีสีฟ้าแบบสุดๆ ขนาดฟ้าไม่เปิดเรายังประทับใจกับสีน้ำสวยๆ ไปตลอดทาง
จุดชมวิวยอดฮิตของที่นี่คือ Peter’s Lookout แต่ตอนเราไปดันปิด เลยขับรถไปเรื่อยๆ ชมดอกลูปินสีสันสดใสตลอดสองข้างทาง และแวะจอดรถถ่ายรูปกับฉากหลังอันยิ่งใหญ่ของ Mount Cook น่าเสียดายที่เราเวลาไม่พอ เลยไม่ได้ไปจนถึง Mount Cook ซึ่งจะมีเส้นทางให้เทรกกิ้งมากมาย ถ้าอากาศดีหน่อยนี่ห้ามพลาดเลย
จากนั้นเราขับรถไปกันต่อบนเส้น Lindis Pass เส้นทางที่สูงที่สุดในเกาะใต้ สองข้างทางเต็มไปด้วยภูเขาสีทองสุดลูกหูลูกตา ซึ่งถ้ามองดีๆ แล้วสีทองนี้มาจากหญ้าชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Tussock เป็นพืชพื้นเมืองของที่นี่ และแถวๆ Lindis Pass ก็เป็นเขตอนุรักษ์หญ้า Tussock ซึ่งมีลักษณะเป็นกอกลมๆ ในช่วงหน้าร้อนจะมีสีเหลืองทอง ขึ้นอยู่เต็มภูเขาแถวนี้เราจึงได้ชมวิวภูเขาสวยๆ ที่ดูแปลกตาเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างของนิวซีแลนด์
เราขับรถตามเส้นทางนี้มาเรื่อยก่อนจะถึงทะเลสาบ Wanaka ก็ได้เจอกับวิวภูเขาสีเขียวที่บอกได้เลยว่าทุกหย่อมหญ้าเต็มไปด้วยทุ่งดอกลูปิน ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเจอดอกลูปินนับล้านที่พร้อมใจกันบานสะพรั่ง
เปลี่ยนภูเขาสีเขียวให้กลายเป็นภูเขาสีม่วงในทันใด พ่อเราที่ขับรถอยู่ถึงกับเสียสมาธิให้กับวิวสวยๆ และออกปากเลยว่า “นี่เป็นวิวที่สวยที่สุดในชีวิตที่เคยเห็นมา !” ใครเป็นสายธรรมชาติแบบพ่อเรานี่ฟินไปตามๆ กัน เพราะมันสวยสุดๆ ไปเลยแหละ
พูดถึงดอกไม้มาซะเยอะ ก่อนจะจบพาร์ทนี้ขอพาแวะไปทะเลสาบบ้างซึ่งก็คือทะเลสาบ Wanaka อันโด่งดัง ซึ่งมี #thatwanakatree ต้นหลิวอายุกว่า 80 ปีที่มีรากจมอยู่ในน้ำซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์กที่ใครๆ ก็ต้องไปถ่ายรูปด้วย ซึ่งวันที่เรามาถึงที่นี่อากาศเป็นใจสุดๆ ฟ้าเปิดแดดออก ทำให้เราได้มาเดินเล่นริมทะเลสาบกันแบบชิลล์ๆ ชมน้ำใสๆ ฟ้าสวยๆ และแบ็กกราวด์ภูเขาที่ยังมีน้ำแข็งปกคลุม
ดูแล้วสวยเหมือนภาพวอลล์เปเปอร์เลยแหละ ถือเป็นอีกเมืองหนึ่งที่สามารถมาพักผ่อนหย่อนใจสูดอากาศบริสุทธิ์แบบชิลล์ๆ แล้วเดี๋ยวพาร์ทหน้าเราจะพาเดินทางเข้า Queenstown ไปเที่ยวกันต่อ รับรองว่าสวยไม่แพ้พาร์ทนี้แน่นอน