“อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง”
เสียงให้พรยามเช้าตรู่ที่เราได้ยิน จาก ‘หลวงพี่โจ้ – พระสุขสันติ โชติโก’
ระหว่างเดินอยู่ที่ตลาดสดใกล้บ้านในเช้าวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นเสียงที่เราไม่ค่อยได้ยินในระยะหลังมานี้ ตั้งแต่เราไม่ได้ตื่นเช้ามาเนิ่นนาน หลังจากสังเกตการณ์มาได้สักพัก เราก็พบเห็นผู้คนมากมายที่แวะเวียนเข้ามาตักบาตร หลวงพี่ก็ยังคงรับบาตร และให้พรด้วยบทสวดนี้เช่นเดิมนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้เราสงสัยขึ้นมาว่า แล้วในหนึ่งวัน ‘พระสงฆ์’ ท่านมีกิจอะไรกันนอกจากให้พรบ้าง ?
“หลวงพี่ครับผมมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับ ‘พระสงฆ์’ หลวงพี่พอมีเวลาว่างไหมครับ ?”
“อาตมาว่างช่วงบ่ายๆ ถ้าโยมสงสัยอะไรค่อยตามมาคุยที่วัดพรหมละกัน”
“ได้ครับหลวงพี่ (ยกมือไหว้)”
ถึงเวลานัดพบที่วัด เราพบว่าหลวงพี่ท่านกำลังรับถวายสังฆทานจากญาติโยมอยู่ เมื่อท่านให้พรญาติโยมเสร็จ เราจึงเป็นคิวต่อไปที่ได้เริ่มต้นบทสนทนากับหลวงพี่
ในหนึ่งวัน ‘พระ’ ต้องทำอะไรบ้างเหรอครับ ?
“ตั้งแต่เช้าอาตมาก็ตื่นมาตีสาม สรงน้ำ พอตีสี่ก็สวดมนต์ทำวัตร ตีห้าถึงตีห้าครึ่งก็ออกบิณฑบาตร จะเป็นแบบนี้ทุกวัน ถ้าวันธรรมดา 7 โมงครึ่งอาตมาก็กลับ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์กับวันพระ ญาติโยมก็จะเยอะอยู่นานหน่อย พอบิณฑบาตเสร็จก็เอาอาหารมาแจกจ่ายให้ญาติโยมที่มาขอ นอกจากนั้นก็เอามาฉัน แล้วอาตมาก็จะเข้ามาดูแลงานพัสดุ เป็นคนจด คนจ่าย คนดูแล พวกโต๊ะ หม้อ ถ้วย ชามที่ญาติโยมทั้งหลายเอาไปยืมใช้ในงานบุญ”
แล้วเป็น ‘พระ’ แล้วต่างจากคนปกติอย่างไรเหรอครับ ?
“ในแง่รูปธรรม อาตมามองว่าผ้าเหลืองเป็นแค่เครื่องห่มกาย เป็นยูนิฟอร์มอย่างหนึ่ง เพื่อให้รู้ว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า กับศีล 227 ข้อเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นนั้นอาตมามองว่าญาติโยมก็สามารถทำได้ไม่ต่างกัน เณร หรือฆราวาสบางคนยังสามารถทำดีกว่าพระบางรูปเสียอีก
“เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าในหมู่พระสงฆ์ก็มีพระบางรูปที่ประพฤติปฏิบัติตนได้ไม่เหมาะสม ไม่ต่างจากฆราวาสเลยที่มีคนไม่ดี เข้ามาบวชเพื่อกอบโกย ทำให้ราวกับว่าพระสงฆ์ป็นอาชีพๆ หนึ่ง ที่ตื่นเช้ามาบิณฑบาตหาเงิน พอได้เงินก็มากินนอนดูทีวี”
ทำไมหลวงพี่ถึงมาบวชเหรอครับ ?
“อาตมารู้สึกเบื่อหน่ายในทางโลก ยิ่งในกรุงเทพฯ ที่เป็นเมืองที่ภายนอกดูสนุก แต่กลับวุ่นวายแก่งแย่งแข่งขันกัน ซึ่งทุกอย่างชีวิตเราจะวนลูปเป็นอย่างนี้ไปตลอด คือ กิน เที่ยว นอน ทำงาน ตื่นมา เงินออก ไม่มีอะไรเลยชีวิต มันหมุนวนอยู่ในวงจรอบายมุขต่างๆ รู้สึกชีวิตเราอยู่ที่เดิม อะไรก็ไม่ดีขึ้นเลย ก็เลยลองมาเข้าทางธรรมดูว่ามันเป็นอย่างไร มันเหมือนกับได้เจอวงจรชีวิตใหม่
“จริงๆ ความตั้งใจแรกของอาตมาคือบวชทดแทนคุณพ่อแม่ 15 วัน แต่ตอนนี้ก็ยาวมา 10 พรรษาแล้ว”
พอมาบวชแล้วได้เรียนรู้อะไรบ้างไหมครับ ?
“อาตมาได้รู้ซึ้งถึงอะไรดี อะไรไม่ดี ซึ่งก็ยังต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ธรรมะไม่มีสิ้นสุด พระพุทธเจ้าชี้ทางสายกลางให้เราเดินไว้ แต่หลายครั้งหลายคราคนเรากลับไปเดินลงข้างทาง ถึงจะเป๋ไปบ้างแต่ถ้ากลับมาได้ มีสติรู้ตัวกลับมามองมันให้เป็นบทเรียน แล้วไม่กลับไปทำซ้ำในเรื่องที่ผิดพลาดเหล่านั้นอีก ชีวิตเราหลายคนจะไม่วุ่นวายกันแบบนี้”
แล้วหลวงพี่มีทุกข์บ้างไหมครับ ?
“มันก็มีบ้าง สุขบ้างมันก็เป็นของคู่กัน ใครจะสุขตลอดก็ไม่มี ใครจะทุกข์ตลอดก็ไม่มี บางทีเราก็ทุกข์ใจเมื่อได้ข่าวคราวเรื่องทางบ้านบ้าง แต่มันก็จะดับไป หรือสุขบางทีที่เราได้สอนธรรมะให้ญาติโยมก็มี แต่มันก็จะดับไป มันเป็นของคู่กัน”
“ทุกข์มันเหมือนก้อนหิน เมื่อหนักไปเราก็ต้องวาง กลับมาทบทวนถึงต้นเหตุของมันว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เราทุกข์”
“แค่โยมรักษาศีล 5 ยึดมั่นในความดี ไม่ประพฤติผิด ก็อยู่ในสังคมได้สบายในแบบฉบับของโยมเอง ถ้ามีโอกาสก็เผื่อแผ่ทำบุญบ้างไม่ใช่แค่กับพระ เห็นคนเดือดร้อนก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยพื้นฐานที่ต้องไม่เดือดร้อนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น สังคมเราจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลย”
“นมัสการครับหลวงพี่”