ใครจะไปคิดว่างานอดิเรกของนักศึกษาคณะเทคนิคการแพทย์ หรือ ดร.วสันต์ อริยพุทธรัตน์ ที่ชื่นชอบการส่องจุลินทรีย์ในห้องแล็บวันนั้นจะกลายเป็นธุรกิจระดับโลกได้ เมื่อจู่ๆ วันหนึ่งเขาเล็งเห็นประโยชน์ของเหล่าจุลินทรีย์ว่าย่อยสลายน้ำมันและไขมันได้ จึงหันมาเรียนต่อด้านสิ่งแวดล้อม นำเอา Biotechnology หรือเทคโนโลยีชีวภาพ มาใช้ในการขจัดของเสียในภาคอุตสาหกรรม โดยวิธีการบำบัด ขจัด และเยียวยา มีสรรพคุณที่สำคัญคือไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างวนกลับไปทำลายสิ่งแวดล้อม และช่วยลดค่าใช้จ่ายแฝงจากสิ่งแวดล้อมที่โรงงานอุตสาหกรรมต้องจ่าย
นอกจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม KEEEN ยังต่อยอดออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในครัวเรือน เพื่อสร้างมิติการทำความสะอาดบ้านรูปแบบใหม่นอกเหนือจากการใช้สารเคมีกรดด่าง ให้การรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น
เมื่อจุลินทรีย์ในกล้องจุลทรรศน์ได้เติบโตมาเป็นแรงบันดาลใจ
จากการชื่นชอบการส่องกล้องจุลทรรศน์ในห้องแล็บของนักศึกษาเทคนิคการแพทย์ เพื่อศึกษาดูเหล่าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยเคลื่อนไหวในทุกๆ วัน วันหนึ่งความชื่นชอบและงานอดิเรกก็ถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นงานด้านสิ่งแวดล้อมที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าหลอดทดลองหลอดเดิมจะบรรจุได้อีกต่อไป นำไปสู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เห็นผลลัพธ์ได้จริง
“ข่าวการนำเอาจุลินทรีย์มาใช้ในเหตุการณ์การพบน้ำมันรั่วไหลลงทะเลและปนเปื้อนบริเวณชายหาดที่ต่างประเทศ ทำให้เราแปลกใจมาก เพราะเราส่องดูจุลินทรีย์อยู่ทุกวัน ไม่ได้เอะใจเลยว่ามันกินคราบน้ำมันได้ กินไขมันได้ เรารู้สึกตาลุกวาวและบ้าคลั่งไปกับจุลินทรีย์เหล่านี้มากๆ จนตัดสินใจเรียนต่อด้านสิ่งแวดล้อมในเวลาต่อมา”
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ ดร.วสันต์ ค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมจนไปประทับใจงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้จุลินทรีย์ย่อยน้ำมันปิโตรเลียม ถึงขั้นตัดสินใจเรียนปริญญาโทต่อทางด้านสิ่งแวดล้อมสาขา Industrial Ecology ที่มหาวิทยาลัยมหิดล และลงลึกกับวิทยานิพนธ์ในหัวข้อ ‘การประยุกต์ใช้จุลินทรีย์ในเชิงพาณิชย์’ ก่อนนำไปต่อยอดโดยหยิบงานวิจัยชิ้นนี้ไปศึกษาร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าประเทศไทยก็ทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องนำเข้าหัวเชื้อจากต่างประเทศอีกต่อไป
เมื่อโรงงานอุตสาหกรรมบรรเลงบทเพลง Heavy Metal กับสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยเริ่มต้นจากการเป็นประเทศที่ทำการเกษตรเป็นหลัก และค่อยๆ พัฒนามาเป็นประเทศอุตสาหกรรม จนเกิดเป็นนิคมอุตสาหกรรมกระจายอยู่ทั่วประเทศ อาทิ นิคมยานยนต์ ปิโตรเคมี สิ่งเหล่านี้ล้วนสำคัญต่อฐานเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่จะเติบโตไปในอนาคต ทว่าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้กลับนำสิ่งที่ไม่คาดคิดมาด้วยเช่นกัน
“เมื่ออุตสาหกรรมเยอะขึ้นเท่าไหร่ จำนวนของเสียก็เยอะขึ้นตามไปด้วย เรามองว่าของเสียที่เกิดขึ้นจากภาคโรงงานอุตสาหกรรมในแต่ละวันมันมหาศาล ถ้าเราสามารถจัดการของเสียได้ตั้งแต่ต้นทางน่าจะดีไม่น้อย
“ปัญหาของการจัดการของเสียในภาคโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ที่ว่า การกำจัดคราบน้ำมันหรือคราบไขมัน มันเป็นสิ่งที่ย่อยสลายได้ยาก ทำให้ต้องใช้เคมีในการกำจัด แต่การใช้เคมีก็จะนำไปสู่ปัญหาที่ปลายทาง กลายเป็นสารตกค้างต่อดิน ฟ้า อากาศอยู่ดี และถ้าจะให้เลิกใช้น้ำมันก็คงเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นสิ่งที่ต้องใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิต”
บทเพลงที่ภาคอุตสาหกรรมบรรเลง นับเป็นท่วงทำนองที่เข้มข้นและรุนแรงต่อธรรมชาติ การปล่อยของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมหากขาดการจัดการที่ถูกต้อง เหมาะสม จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิกลายเป็นแหล่งเจริญเติบโตของเชื้อโรค การปนเปื้อนทางเคมีในดินและอากาศ กลิ่นเหม็นเน่าเสีย นอกจากจะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมแล้วยังร้ายแรงไปถึงความปลอดภัยต่อคนที่อยู่อาศัยโดยรอบเช่นเดียวกัน
นอกจากนั้น ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Environment Cost ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างถ้าเราอยู่ในนิคม มีกฎหมายระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องมีค่าน้ำเสียไม่เกินเท่าไหร่ หากตัวเลขเกินต้องเสียค่าบำบัด โดยคิดจากค่าน้ำเสียที่เกินคูณด้วยปริมาณน้ำเสีย ซึ่งมันเป็นเม็ดเงินที่เยอะและสูงมากในแต่ละปี หรือที่ร้ายแรงไปกว่านั้นหากปล่อยน้ำเสียออกไปข้างนอกโรงงาน ก็จะถูกปรับไปจนขั้นถึงถูกสั่งปิดโรงงาน สิ่งเหล่านี้ในวงการอุตสาหกรรมเรียกว่า ค่าใช้จ่ายแฝง
“พอเราเห็นแบบนี้เป็นตัวเลขในบัญชี เป็นค่าใช้จ่าย เป็นภาระ เราก็อยากเอาความรู้ที่เรามี เทคโนโลยีที่เรามี ไปช่วยลดค่าใช้จ่ายแฝงตรงนี้ของโรงงาน”
เหตุการณ์ชวนขบคิดเมื่อราว 15 ปีก่อน ทำให้ KEEEN ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ ผ่านวิธีคิดที่ว่า
“ให้เราหยุดอุตสาหกรรมคงไม่ได้ แต่เราต้องทำให้อุตสาหกรรมเติบโตได้โดยกระทบสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และที่สำคัญ เราจะทำยังไง ให้คนที่ทำธุรกิจอุตสาหกรรมหันกลับมามองเรื่องสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากการคุยแต่เรื่องโลกสวยพื้นที่สีเขียวและอากาศที่ดีเหมือนก่อน คนเขาไม่ค่อยสนใจ แต่ถ้าเราพูดถึงสิ่งที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้อย่างเรื่องค่าใช้จ่าย ทีนี้แหละเขาจะหันกลับมามองมันมากขึ้น”
KEEEN ขจัด บำบัด และเยียวยา
จากหลอดทดลองในห้องแล็บที่ KEEEN สู่การค้นพบจุลินทรีย์ในการย่อยสลายคราบน้ำมัน โดยใช้พืชที่สกัดจากอ้อย จากข้าวโพด ผสมกับจุลินทรีย์สายพันธุ์เฉพาะที่ผ่านการวิจัยในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ปรากฏว่าสามารถย่อยสารอินทรีย์หรือสารที่เน่าเสียได้ และถ้ามันย่อยน้ำมันได้ก็ย่อยสารอินทรีย์ได้ทั่วโลก แต่จะทำยังไงให้มันมีประโยชน์มากกว่าการอยู่ในหลอดทดลอง
“หลังจากการค้นพบ เราพัฒนาเอาตัวเชื้อมาใช้ หยิบเอาเอนไซม์มาแปรรูปต่อผ่านการผสมผสานกับสารอื่นๆ เพื่อให้เห็นภาพลองนึกถึงการชงกาแฟ เอาไปใส่นมกลายเป็นลาเต้ ใส่ช็อกโกแลตกลายเป็นมอคค่า จุลินทรีย์ของเราก็เช่นเดียวกัน เราเอาไปผสมอย่างหลากหลายเป็น Bio Cleaner ที่มีคุณสมบัติหลากหลายมาก เรียกว่าเป็นน้ำยาอเนกประสงค์เลยก็ว่าได้
“เวลาคนพูดถึงเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมมันดีนะ แต่มันอ่อนโยน เราจึงทำให้เห็นว่าการนำ Biotechnology มาทำให้เป็นเรื่องกรีนมันหนักแน่นกว่าโดยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงสารเคมี ที่สำคัญยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กัน”
หลักการทำงานของ KEEEN คือการใช้สาร Biotechnology ที่สกัดจากธรรมชาติมาแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง เริ่มจากการขจัดสิ่งสกปรก ขจัดคราบของเสียที่เป็นปัญหาต้นทาง เมื่อสิ่งเหล่านี้เริ่มย่อยสลายและไหลลงไปที่บริเวณท่อนำ้เสีย สารจุลินทรีย์ในตัวน้ำยาจะเข้าไปบำบัดและปรับสมดุลใหม่ให้กับระบบกำจัดของเสีย และเยียวยาไม่ให้สิ่งแวดล้อมภายนอกที่เป็นปลายทางได้รับมลพิษจากขยะดังกล่าวเมื่อคืนกลับสู่ธรรมชาติ
เมื่อบ้านคือโรงงานขนาดเล็ก จึงพลิกบทบาทสู่ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน
ในช่วงความสำเร็จของ KEEEN นับ 10 ปีที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมรู้จักกับ KEEEN ในฐานะผลิตภัณฑ์ Biotechnology ที่ใช้ทำความสะอาดคราบสกปรก ช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้คนมาถามไถ่อยู่ตลอดว่า เมื่อไหร่จะทำผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนบ้าง จนทำให้ ดร.วสันต์ คิดต่อยอดธุรกิจ
“Dr.KEEEN เป็นการต่อยอดทางธุรกิจ เพราะสำหรับภาคอุตสาหกรรมเราทำสำเร็จแล้วในระดับหนึ่ง ทีนี้เราคิดว่า คนที่ทำงานในอุตสาหกรรมยังไงเขาก็ต้องกลับบ้าน ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในครัวเรือนก็สำคัญเช่นกัน
“ครัวเรือนเองก็เป็นเหมือนโรงงานเล็กๆ มีห้องน้ำ มีครัว มีการทำกิจกรรม มีผู้คนอยู่อาศัย ย่อมมีของเสียที่เกิดขึ้นภายในบ้าน ปัญหาต่างๆ คล้ายกับโรงงานเพียงแต่เป็นโรงงานขนาดเล็ก เราจึงอยากทำผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์โรงงานขนาดเล็กนี้เช่นกัน จากที่เราผลิตเป็นแกลลอนขนาดใหญ่ เราก็เปลี่ยนมันให้ขนาดเล็กลง ส่วนผสมที่แตกต่างคือมีกลิ่นหอมขึ้น และทำให้มันซื้อง่ายขึ้นกว่าเก่า”
ในวิกฤตยังมีโอกาส Dr.KEEEN ได้ถือกำเนิดในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะเมื่อราว 2 ปีก่อน ในช่วงเวลาของ COVID-19 ที่ทุกคนให้ความสนใจกับเรื่องความสะอาดและความปลอดภัย ซึ่งมีกลุ่มคนไม่น้อยที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและหลีกเลี่ยงการใช้เคมีภัณฑ์ที่ส่งผลเสียต่อโลก พวกเขาจึงหันไปเลือกใช้สิ่งที่อ่อนโยนต่อโลกมากกว่าในตระกูล Biotechnology ด้วยเหตุนี้ Dr.KEEEN ได้กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจขึ้นมาในทันที นอกจากบทบาทการทำความสะอาดในครัวเรือนแล้ว Dr.KEEEN ยังมีบทบาทในภาคการขนส่งสาธารณะอย่าง BTS ด้วยเช่นกัน
“ช่วงโควิดที่ผ่านมาเราได้รับความไว้วางใจจาก BTS ในการดูแลเรื่องความสะอาด BTS เป็นขนส่งสาธารณะที่มีคนเข้าออกตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเวลาเป็นข้อจำกัด เรามีระยะเวลาทำความสะอาดที่สั้นมากในแต่ละครั้ง ลองคิดดูว่าพื้นที่ผิวสัมผัสมันเยอะแค่ไหน แล้วสังเกตไหมว่า BTS อยู่ในไทม์ไลน์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 บ่อยมาก แต่มีพนักงานติดเชื้อน้อย
“เดิม BTS ใช้แอลกอฮอล์ มันมีปัญหาสองประการคือ หนึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อผิว และสองมันระเหยเร็ว จนบางทีเชื้อในสารคัดหลั่งยังไม่ทันตายเลย แต่ผลิตภัณฑ์ของเรากำจัดเชื้อโรคได้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย รวมไปถึงสถานที่ราชการหลายๆ ที่เราได้เข้าไปดูแล เราภูมิใจมากที่เทคโนโลยีเพื่อบำบัดสิ่งแวดล้อมของเรา นำมาใช้ในช่วงวิกฤตนี้ได้จริงและปลอดภัยทั้งต่อคนและโลก”
ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาธรรมชาติส่งสัญญาณบอกกับเรามากมายถึงความโหดร้ายที่มนุษย์ทำต่อธรรมชาติ ผ่านภัยพิบัติและความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศอย่างฉับพลัน เพราะฉะนั้นเมื่อธรรมชาติเป็นบ้านหลังใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์ เหตุใดเราถึงไม่ทำบ้านของเราให้น่าอยู่ การดูแลโลกอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องการปกปักรักษาหรือการปลูกป่าเพียงอย่างเดียว แต่ความยั่งยืนในอนาคตจะเกิดขึ้นได้จากการสร้างความสมดุลระหว่างมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
เรื่องราวของ KEEEN จึงทำให้เราเห็นถึงการสร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ ผ่านการนำ Biotechnology สารสกัดที่ได้จากธรรมชาติมาผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์และโลกใบนี้ได้อย่างลงตัว