หลังจากไปเที่ยวในยุโรปมาหลายทริปแล้ว ครั้งนี้เราขอพาทุกคนกลับมาในอังกฤษแล้วออกนอกเมืองไปเที่ยวชมธรรมชาติ สูดอากาศบริสุทธิ์กันให้เต็มปอดดีกว่า แต่เราไม่ได้จะมาเที่ยวธรรมดา เพราะเราจะพามา Hiking เดินดื่มด่ำธรรมชาติแบบอิงลิชคันทรี่ไซด์แท้ๆ กัน จริงๆ แล้วอังกฤษมี Hiking Trails เยอะมากเพราะคนที่นี่ชอบเดินกัน มีตั้งแต่ระยะทางสั้นแบบเดย์ทริป หรือจะ Hiking จริงจังแบบหลายๆ วันเลยก็มี แต่วันนี้เราจะพามา Hiking แบบเบาๆ ที่ Beachy Head และ Seven Sisters หน้าผาหินปูนวิวดีที่หลายๆ คนน่าจะเคยเห็นผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง และด้วยโลเคชั่นที่ไม่ไกลจากลอนดอนมากทำให้ที่นี่กลายเป็นหนึ่งในที่เที่ยวสุดฮ็อตที่ต้องมาเช็คอินกันเลยทีเดียว
Beachy Head และ Seven Sisters ตั้งอยู่ระหว่างเมือง Brighton และ Eastbourne ซึ่งเราเองก็เคยเดินทางมาเที่ยวที่นี่จากทั้งสองเมือง ใครมีใบขับขี่ก็สามารถเช่ารถขับมาชิลล์ๆ ได้เลย หรือถ้ามาคนเดียวแบบเราก็นั่งบัสมาก็ได้ ครั้งนี้เรานั่งมาจาก Eastbourne ลงที่สต็อป East Dean ซึ่งแทบจะไม่มีป้ายบอกทางอะไรเลย แถมยังดูไม่เหมือนทางเข้าไปสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตนี้อีก เราเปิด Google Map แล้วเดินงงๆ ไปตามทางอยู่สักพักถึงเริ่มเห็นเพื่อนร่วมทางให้ได้อุ่นใจบ้าง ซึ่งหลังจากลงจากรถบัสเราต้องเดินเท้าอีกประมาณ 2 กิโลเมตรต่อไปยัง Birling Gap เพื่อไปชมหน้าผา Seven Sisters ระหว่างทางเรารู้สึกว่าได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่แท้จริง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่ทุ่งหญ้าที่เขียวชอุ่มและฝูงวัวฝูงแกะ ใครอยากสัมผัสธรรมชาติอันเงียบสงบต้องถูกใจแน่นอน
จากที่ Birling Gap เราจะสามารถมองเห็นทิวเขาของ Seven Sisters ที่ทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตาและยังสามารถ Hiking ต่อไปยัง Beachy Head ได้ด้วย ส่วนใครที่เคยมา Seven Sisters จากทาง Brighton แล้วลงที่ Seven Sisters Country Park ซึ่งน่าจะเป็นเส้นทางที่ป็อปปูลาร์กว่าจะได้เห็นวิวจากอีกฝั่งของหน้าผา แต่จะอด Hiking ไปดูประภาคารสีแดงที่ Beachy Head ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้
ช่วงที่เรามาเป็นช่วงหน้าร้อนของที่นี่ ทำให้มีดอกไม้บานสะพรั่งคอยต้อนรับเราอยู่ วิวที่นี่เลยดูสดใสขึ้นอีกเยอะ เราจะเห็นผู้คนมาเดินเล่นบนหาดหิน เล่นเรือใบ และเดินถ่ายรูปกันบนหน้าผาซึ่งจริงๆ แล้วมีความอันตรายอยู่พอสมควร เพราะหน้าผาหินปูนที่นี่จะมีการผุกร่อนอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ควรไปเดินถ่ายรูปตรงริมหน้าผามากนัก
หลังจากถ่ายรูปกันพอกรุบกริบเราก็ได้เวลาเริ่ม Hiking ที่แท้จริงแล้ว โดยเราจะเริ่มเดินจาก Birling Gap ไปทางซ้ายไปเรื่อยๆ จนถึง Beachy Head ระยะทางทั้งหมดเกือบ 3 กิโลเมตร ไม่ต้องกลัวว่าจะเดินไม่ไหว เพราะไม่เหนื่อยอย่างที่คิด แถมยังไม่ต้องพกอุปกรณ์อะไรมาด้วย แค่รองเท้าผ้าใบคู่ใจที่เดินสบายหน่อยก็พอแล้ว ตลอดทางเราจะเห็นเพื่อนร่วมทางบ้างเล็กน้อยก็เดินตามๆ กันไป ทางที่เราเดินไปเรียกว่า South Downs Way เป็นทุ่งหญ้าสั้นๆ สีเหลืองบ้างเขียวบ้าง บางช่วงก็มีดอกไม้ป่ามาทักทายเราตามทางให้ได้ชื่นใจ ซึ่งแถวนี้ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ Harry Potter and the Goblet of Fire ในฉาก Quidditch World Cup ด้วย
เดินไปได้ประมาณครึ่งทางจะเจอประภาคารสีขาวอีกหนึ่งแลนด์มาร์ก แต่นี่ยังไม่ใช่จุดหมายปลายทางของเรา ต้องเดินไปต่ออีก เพื่อนร่วมทางก็ดูจะน้อยลงเรื่อยๆ บางคนเลือกที่จะขับรถไปแทน แต่เราอยากดื่มด่ำกับธรรมชาติ ลมเย็นๆ และเสียงคลื่นมากกว่า เดินต่อไปอีกซักพัก เราจะเริ่มเห็นประภาคารสีขาวแดงที่เราตามหากันแล้ว บางคนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาภาพนี้หน่อยเพราะเป็นปกหนังสือ These Islands โฟโต้บุ๊คเล่มล่าสุดจากทีม Cereal Magazine แต่วันที่เรามาอากาศดูสดใสและอบอุ่นกว่าในหนังสืออยู่หน่อย เลยได้เห็นสีสันสดใสของประภาคารตัดกับสีน้ำทะเลพร้อมแสงแดดอ่อนๆ ถือว่าเรามาถึงจุดมุ่งหมายอย่างสมบูรณ์แล้ว
แต่การ Hiking ครั้งนี้ยังไม่จบเพราะเราจะเดินกลับเข้าเมือง Eastbourne ต่ออีกประมาณ 3 กิโลเมตร เพราะไม่อยากรอรถบัสที่จะผ่านมาชั่วโมงละครั้ง แถมยังเริ่มติดลมบนกับการ Hiking แล้วด้วย เดินเลยประภาคารมาสักพัก เราจะถึงจุดที่สูงที่สุดของ Beachy Head ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีคนมาฆ่าตัวตายที่ดังสุดในอังกฤษ เพราะเป็นหน้าผาหินปูนที่สูงที่สุดในประเทศ ตรงนี้เราจะเห็นไม้กางเขนและดอกไม้ที่มีคนมาวางไว้เต็มไปหมด นับว่าเป็นสถานที่ที่มีทั้งความสวยงามและความเศร้าในขณะเดียวกัน
ระหว่างทางกลับเราเดินลงเนินมาเรื่อยๆ ชมธรรมชาติต้นไม้ใบหญ้าตามทางมาเรื่อยเปื่อย เจอคนมาวิ่งออกกำลังกายบ้าง ช่วงเย็นอากาศกำลังเย็นสบาย มีแสงแดดอ่อนๆ และแล้วเราก็เริ่มมองเห็นจุดหมายปลายทางของเราหลังจากเดินมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง บ้านอิฐสีส้มเป็นทิวแถวเริ่มโผล่มาให้เห็น จากมุมนี้เราสามารถมองเห็นบ้านเรือนของเมือง Eastbourne ได้ทั้งเมืองแถมยังมีวิวทะเลสวยๆ มาให้ชมด้วย เรารู้สึกว่านี่แหละ คือรางวัลของการเดินทางครั้งนี้ ได้เห็นวิวสวยๆ ทั้งทะเล หน้าผา ประภาคาร และเมืองสวยๆ ถึงจะต้องเดินเป็นระยะทางกว่า 8 กิโลเมตร แต่ก็รู้สึกว่าคุ้มเกินคุ้มแล้วแหละ