หากใครพอมีเวลาว่างซัก 3 ชั่วโมง ว่าจะหาหนังดูซักเรื่องแต่ไม่อยากออกไปไหน เราแนะนำให้นอนอยู่บ้าน ดูซีรี่ส์เรื่องใหม่บน Netflix ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ ‘The End of the F***ing World’ ซีรี่ส์เรื่องสั้นขนาด 8 EP. ที่ใช้เวลาดูจบตอนหนึ่งแค่ 20-30 นาที หลายคนบอกว่า นี่เป็นหนังวัยรุ่นภาพสวย ซาวน์แทร็กดีงาม ที่ทั้งตลกร้ายแสบสัน ดำเนินเรื่องฉับไว ลุ้นระทึก เต็มไปด้วยมุกจิกกัด แถมมีความโรแมนติกทะแม่งๆ ที่สำคัญยังแอบซ่อนแง่มุมต่างๆในสังคมให้เราได้ขบคิดระหว่างทาง
เรื่องราวสุดวายป่วงของสองวัยรุ่น ‘เจมส์’ เด็กหนุ่มอารมณ์เย็นชาที่อุตริอยากลองฆ่าใครซักคน และแล้วโชคชะตาก็พา ‘อลิซซา’ เด็กสาวหน้าตากวนประสาทจอมขวางโลก มาติดกับแรงดึงดูดประหลาดในตัวเจมส์ เขาจึงได้ทีแสร้งคบหาเธอเป็นแฟนเพื่อหาโอกาสเชือด! โดยหารู้ไม่ว่าหายนะกำลังจะบังเกิด เมื่อเธอลากเขาไปเจอสถานการณ์ที่เรียกได้ว่า -ิบหาย แต่ในความซวยที่นับวันก็ยิ่งโกลาหลขึ้น เจมส์ได้ถลำลึกไปในความสัมพันธ์ รู้ตัวอีกทีเขาก็มีความรู้สึกบางอย่างกับเธอซะแล้ว
เคมีที่เข้าก๊านเข้ากัน และความมีเสน่ห์ของสองนักแสดง ทำให้เราคอยเอาใจช่วยตลอดเรื่อง โดยเฉพาะอลิซซา ผู้หญิงหยาบคาย พูดจาขวานผ่าซาก ตัวละครที่คนดูน่าจะเกลียด แต่เรากลับรู้สึกว่าคำพูดตรงๆแรงๆของเธอนั้นโคตรจะจริง และบางครั้งก็มีแง่คิด เนื้อหาของซีรี่ย์เองก็สะท้อนสังคมได้หลายประเด็น แถมยังให้ข้อคิดที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง ใครอยากรู้ว่าซีรี่ย์เรื่องนี้ คุ้มค่าแก่การดูแค่ไหน เราลิสต์สิ่งที่ได้จากหนังมาให้ถึง 10 ข้อ!
1. นิสัยไม่ชอบเข้าสังคมของเจมส์และอลิซซา ไม่เพียงเป็นตัวแทนของวัยรุ่นที่รู้สึกแปลกแยกจากสังคม หากยังสะท้อนประเด็นทั่วไปอย่างสังคมก้มหน้าที่หลายคนเคยเจอ ไม่ว่าจะเป็นการนัดเพื่อนไปกินข้าว แล้วต่างคนต่างสนใจมือถือ ซึ่งอลิซซาบอกเลยว่ามีอะไรไม่ต้องโทรมา “ชั้นไม่มีโทรศัพท์ เพราะเพิ่งจะปามันทิ้ง!”
2. ความรักมีหลากหลายรูปแบบ การที่นางเอกของเราตอกกลับแบบร้ายๆว่า “บางทีหนูอาจเป็นเลสเบี้ยน และเขาอาจไม่มีความสนใจทางเพศก็เป็นไปได้” รวมถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ ชี้ให้เห็นว่าแม้จะอยู่ในสถานะชาย-หญิงทั่วไป ก็ไม่ใช่ตัวการันตีว่าความรักจะดำเนินไปได้ด้วยดี
3. “นายก็รู้ว่าถ้ามีใครจะทำอะไรนาย นายไม่จำเป็นต้องยอม” การล่วงละเมิดทางเพศเป็นสิ่งที่สังคมไม่ควรนิ่งเฉย การไม่พูดหรือไม่คิดจะทำอะไรซักอย่างเพื่อลุกขึ้นต่อต้าน อาจเป็นการบอกนัยๆว่าเราโอเคกับเรื่องเหล่านี้ และสนับสนุนคนพวกนี้ให้กระทำผิดต่อไป
4. คนที่ไว้ใจที่สุดอาจเป็นคนที่อันตรายที่สุด ลองจินตนาการถึงการที่อลิซซาบอกว่า “ชั้นรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่กับเขา” ตัดภาพมาที่เจมส์กำลังนั่งลับมีดดูสิ! ส่วนคนที่เจมส์และอลิซซามองข้าม และจงเกลียดจงชังเหลือเกิน กลับกลายเป็นคนที่ห่วงใยพวกเขามากที่สุด แต่เราจะยังไม่บอกหรอกว่าใคร
5. ความรุนแรงของเด็กส่วนหนึ่งมาจากการเลี้ยงดู การหยิบยื่นสิ่งที่โหดร้ายให้เด็ก หรือแม้แต่การละเลย ก็อาจนำมาซึ่งปัญหาอาชญากรรมอย่างที่เราเห็นๆกันในสังคมทุกวันนี้ “พ่อไม่ควรจะมีลูกนะ ถ้าจะไม่เลี้ยง เพราะมันทำให้ตลอดชีวิตของพวกเขารู้สึกว่าทำอะไรก็ผิดไปหมด”
6. วัยหัวเลี้ยวหัวต่อเป็นช่วงที่คนเรามักทำอะไรสิ้นคิด และถูกมองเป็นตัวปัญหา หรือเป็นเด็กเรียกร้องความสนใจ บางทีพวกเขาก็แค่ต้องการความเอาใจใส่จากครอบครัว หรือมีใครซักคนให้พึ่งพิงทางใจก็เท่านั้น “บางครั้งเจมส์ก็เป็นเหมือนผู้ชายที่ฉันจะรักได้ แต่บางครั้งเขาก็เป็นเหมือนคนแปลกหน้าที่สุด”
7. การที่เราคิดว่ารู้จักตัวเองดีแล้ว จริงๆมันอาจยังไม่ดีพอ การค้นหาและตระหนักในตัวเอง โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะหากพลั้งเผลอทำอะไรที่ขัดกับตัวเราลงไป อาจจะต้องมาเสียใจภายหลัง เราขอยกโควทเจ๋งๆในหนังที่ว่า “พอคุณก้าวออกมาจากร่างสังขารของตัวเอง ออกจากชีวิต คุณจะเข้าใจตัวเองได้ชัดเจนขึ้น มองเห็นตัวเอง แล้วก็เริ่มคิดว่า ช่างแม่ง!”
8. “พวกเขาเป็นเด็กโง่ๆที่อยู่กับชีวิตพังๆ และเผอิญทำสิ่งที่แย่ลงไป” การให้โอกาสในการกลับตัวกลับใจแก่คนผิด มีค่าสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่เสมอ เพราะมนุษย์ทุกคนย่อมเคยตัดสินใจพลาดมาก่อน
9. สุดท้ายสิ่งที่มีความหมายที่สุดก็คือครอบครัว และวิธีที่จะรักษาไว้ให้ดีที่สุด ก็คือการปรับความเข้าใจกัน
10. ชีวิตคือความไม่แน่นอน และเต็มไปด้วยเรื่องคาดไม่ถึง แม้แต่สิ่งที่วางแผนมารอบคอบแล้ว ผลก็อาจจะไม่เป็นตามที่หวัง ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไร จงยอมรับ หยุดคิด และแก้ไขมันก่อนที่จะดึงดันไปข้างหน้า ไม่เช่นนั้นอาจเข้าตำราหนีเสือปะจระเข้ หรือเจอความประลัยไม่จบไม่สิ้นแบบเจมส์และอลิซซา ก็คงจะถึงคราวซวยจริงๆแหละ!
อ่านจบแล้วก็อย่าลืมไปหาดูนะ เพราะซีรี่ส์ The End of the F***ing World ยังมีตอนพีคๆอีกเพียบ ส่วนใครดูแล้วไหนมาแชร์ซิว่า มีข้อไหนบ้างที่คิดเหมือนกัน หรือถ้าได้ประเด็น/มีโควทเด็ดที่อยากเม้า ก็คอมเม้นบอกกันได้เลย!