ไม่ว่าคุณจะเป็นชาว Westerosi โดยกำเนิด หรือคุณจะเป็นชาว Essos ที่กำลังจะข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อลงหลักปักฐานในดินแดนทวีปตะวันตกอันเฟื่องฟูนี้…เฮ้ย! ยังงงงง!!!
เชื่อว่าหลายๆ คนที่ติด Game of Thrones งอมแงมต้องเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของมหากาพย์ซีรีส์เรื่องนี้ และอินกันจนต้องมีการไปทำ Quiz เฟซบุ๊กกันบ้างล่ะว่า ฉันเป็นใครใน Game of Thrones, ฉันอยู่บ้านไหนใน Game of Thrones แล้วก็มโนกันไปว่าเรานั้นคือแม่มังกรบ้างล่ะ เป็น Jon Snow บ้างล่ะ เป็นภรรยา Jon Snow บ้างล่ะ ทุกคนตื่นเต้นกับฉากอันอลังการ ตระกูลต่างๆ ที่ดูยิ่งใหญ่ แต่มีอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจมากในซีรีส์เรื่องนี้คือ ดินแดนในจินตนาการที่ไม่มีอยู่จริงของโลกในนวนิยาย A Song of Ice and Fire (ซึ่งก็คือชื่อของซีรีส์หนังสือนวนิยายชุดที่ Game of Thrones นำมาสร้างนั่นเอง) ซึ่งโลกในซีรีส์ของ Game of Thrones นั้นเป็นโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาจากจินตนาการของผู้เขียน George R.R. Martin แต่เขาสร้างมันขึ้นมาได้แบบละเอียดสมจริงและจริงจังมาก ถึงขั้นว่าในหนังสือนั้นมีแผนที่โลกของเขาแนบมาให้ด้วยเลยทีเดียว
โลกของ Game of Thrones นั้น กว้างใหญ่และแบ่งออกเป็น 2 ทวีปหลักๆ คือ Westeros กับ Essos (เปรียบเสมือนทวีปตะวันตกกับตะวันออก) และมีแคว้นต่างๆ มากมายซึ่งแบ่งออกไปเป็นเมืองเล็กๆ อีก โดยเฉพาะใน Westeros ซึ่งเป็นทวีปหลักของการดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งของ Iron Throne, บ้านเกิดของแม่มังกร, บ้านของตระกูล Stark, ที่ตั้งของ The Wall ซึ่งเป็นกำแพงกั้นระหว่างมวลมนุษยชาติและเหล่า White Walkers เวลาเรานั่งดูซีรีส์เราก็จะเห็นการเดินทางไปมาของตัวละครแต่ละตัวที่ขึ้นเหนือ ล่องใต้ เข้าเมืองนั้น ออกเมืองนี้ เจอกันโดยบังเอิญที่เมืองนู้น บางเมืองช่างดูน่าอยู่ อุดมสมบูรณ์ และเหมือนเมืองในโลกแห่งความเป็นจริงเสียเหลือเกิน ในขณะที่บางเมืองนั้นดูเหมือนหลุดออกมาจากโลกแฟนตาซีแน่ๆ และบางเมืองที่ดูแล้วรู้สึกดีใจเหลือเกินว่าเราไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองนั้น จนเกิดคำถามขึ้นมาว่า เอ…แล้วเมืองไหนใน Westeros ที่น่าอยู่และไม่น่าอยู่บ้างนะ เราในฐานะผู้ที่ช่างสงสัย และแฟนตัวยงของซีรีส์เรื่องนี้เลยอ่านนู่นอ่านนี่ไปเรื่อยและคิดว่า เอาล่ะ…
เราจะมาจัดอันดับความน่าอยู่ของเมืองหลักต่างๆ ใน Westeros 10 เมืองกันดีกว่า! โดยมี Index การวัดความน่าอยู่จากปัจจัยต่างๆ แบ่งออกเป็น :
- อากาศ ว่ามีภูมิอากาศหนาวร้อนเช่นไร อยู่ได้จริงมั้ย
- ความอุดมสมบูรณ์ ของเมืองนั้นๆ มีอะไรเป็นทรัพยากรธรรมชาติบ้าง
- ความปลอดภัย ทั้งในเมืองเอง และจากการรุกรานของเพื่อนบ้าน
- โอกาสที่คุณจะได้กระทบไหล่คนดัง โอกาสที่จะได้เจอกับคนดังในโลกของ Game of Thrones ในเมืองนั้นๆ มีมากแค่ไหน
- ค่าดัชนีความสุข ของผู้คนในเมืองจากความรู้สึกของผู้เขียนเอง
พร้อมกับให้คะแนนรวมเต็ม 100 ของเมืองต่างๆ และเนื่องจากภูมิภาคต่างๆ นั้นกว้างใหญ่และเมืองเยอะไปหมดเหลือเกิน เราเลยจะขอดึงมาแค่เมืองหลักๆ ของแต่ละภูมิภาคที่เป็นที่มั่นของตระกูลใหญ่ๆ ละกัน ไม่งั้นคงจะไม่จบแน่นอน พร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเล้ยยย…
อันดับที่ 10
Pyke (Iron Islands)
เปรียบได้กับ | หมู่เกาะสแกนดิเนเวียในอดีต
เกาะ Pyke หนึ่งใน 7 หมู่เกาะของ The Iron Islands ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของทวีป Westeros ในทะเล Sunset Sea ซึ่งก็รู้จักกันในฐานะที่มั่นของ House Greyjoy หรือตระกูลปลาหมึกนั่นเอง เกาะ Pyke และหมู่เกาะ Iron Islands นั้นมีขนาดไม่ใหญ่ ผู้คนน้อย สภาพอากาศก็เป็นมรสุมตลอดเวลา ไหนจะพายุ ฝนตก ลมกรรโชก ซึ่งแรงคลื่นสามารถซัดเรือให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้เลยล่ะ ผู้คนที่นี่จะมีวิถีชีวิตคล้ายๆ กับชาวไวกิ้งในโลกแห่งความเป็นจริง เดินเรือออกไปบุกปล้นเมืองบนบกต่างๆ เนื่องจากบนเกาะนั้นไม่มีทรัพยากรธรรมชาติใดๆ เลยนอกจากแร่เหล็ก (Iron Ore) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อหมู่เกาะนี้ รวมไปถึงชื่อที่คนท้องถิ่นเรียกตัวเองกันว่าเป็น Ironborn หรือเกิดมาจากเหล็กนั่นเอง ด้วยสภาพอากาศและสภาพของดินในเกาะนี้ซึ่งเป็นชั้นหินซะส่วนมากจึงทำให้ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น ไม่มีการค้าขายใดๆ นอกจากขุดเจาะเหมืองเหล็ก เศรษฐกิจของเมืองเลยซบเซาหนัก จึงทำให้ผู้คนหันไปเป็นกองเรือบุกปล้นทรัพยากรจากเมืองอื่นๆ กันเป็นเรื่องปกติ ถ้าให้เทียบกับชีวิตจริง Iron Islands ก็คงจะเป็นหมู่เกาะแถบสแกนดิเนเวียในอดีต ซึ่งก็คือดินแดนของชาวไวกิ้งนั่นเอง
เนื่องจากวิถีชีวิตเป็นแบบนี้ และผู้คนนั้นหัวแข็งสุดๆ ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร เอาแต่บุกตะลุยคนอื่นลูกเดียว ไหนจะชวนกันไปก่อกบฏต่อตระกูลที่ตัวเองสวามิภักดิ์อยู่ร่ำไป เพราะเขาถือว่าต้นตระกูลเขาก็เคยนั่ง Iron Throne มาก่อน เขามีสิทธิ์แย่งคืน เลยพร้อมปะทะตลอดเวลา แม้ว่าจะมีกองเรือเข้มแข็งที่สุดในอาณาจักร แต่ความปลอดภัยในชีวิตนั้นก็ต่ำมาก เอาไปแค่ 1 ดาวก็พอ ว่ากันว่าเป็น Ironborn แล้วแทบจะไม่ได้แก่ตายกันเลยทีเดียว ผู้คนที่นี่ยังนับถือศาสนาที่ต่างจากดินแดนส่วนใหญ่ใน Westeros อีกด้วย พวกเขานับถือ The Drowned Gods ของชาวเรือ ไม่ใช่ศาสนาใหม่อย่าง The Faith of the Seven เหมือนเมืองอื่นๆ อยู่เมืองนี้คงมีโอกาสเจอคนดังแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ค่อยมีใครมาหรอก นอกจากจะเจอเวลาที่ Yara และ Theon Greyjoy ขึ้นฝั่งกลับบ้านเท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่บ่อยนัก เพราะว่าชาวเมืองนี้ความสุขของเขาคือตอนได้ออกเรืออยู่ในทะเลน่ะสิ ด้วยความทรหดและขบถของเมืองนี้แล้ว เอาคะแนนความน่าอยู่ไป 20 คะแนนก็พอ
อันดับที่ 9
Dragonstone (Blackwater Bay)
เปรียบได้กับ | เกาะ Malta ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
อันดับ 9 ของเราบรรยากาศอึมครึมทึมมาเชียว กับ Dragonstone ใน Blackwater Bay หรือบ้านเกิดเมือง (กว่าจะได้มา) นอน ของแม่มังกร Daenerys Targaryen คนโปรดของหลายๆ คนนั่นเอง เนื่องด้วยความที่เป็นเกาะ แต่อยู่ทางทิศตะวันออกของทวีป Westeros ในอ่าว Blackwater ทำให้สภาพอากาศนั้นใกล้เคียงกับ Iron Islands นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมบางทีแม่มังกรถึงเรียกตัวเองว่า Daenerys Stormborn ซึ่งหลายๆ คนงงว่า Stormborn มาจากไหน มันมาจากว่านางเกิดมาพร้อมกับค่ำคืนที่พายุแรงที่สุดตั้งแต่อ่าว Blackwater Bay เคยเจอยังไงล่ะ Dragonstone นั้นเป็นเกาะที่มีภูเขาไฟ เป็นจุดยุทธศาสตร์ของอ่าว บรรยากาศครึ้ม มืดทึบ ปลูกอะไรไม่ได้เช่นกัน คล้ายกับเกาะ Malta ที่อยู่กลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์และเป็นที่มั่นของผู้นำโรมันในอดีต แค่ไม่มีปราสาท Valyrian และมังกรเท่านั้นเอง
ในอ่าวนั้นมีปลาชุม ซึ่งเป็นทรัพยากรหลักของชาวท้องถิ่น Dragonstone ที่เป็นหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งทุกวันนี้แทบไม่มีผู้คนอยู่อาศัยแล้ว เพราะเกาะนี้เคยเป็นเมืองอาศัยหลัก และที่มั่นของชาว Targaryen ซึ่งโดน King Robert Baratheon เก็บเรียบไปหมดแล้ว ต่อมา Stannis Baratheon ได้มายึด Dragonstone พร้อมกับกำลังคน แต่เมื่อเขาจากไป เมืองนี้ก็ถือว่ากลับไปตกอยู่ใต้อำนาจเบ็ดเสร็จของ Lannister ที่นั่งอยู่บน Iron Throne ผู้คนที่เคยอยู่กับ Stannis ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมด เนื่องจากที่นี่ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น เลี้ยงปศุสัตว์ก็ไม่เหมาะ ฉะนั้นเราเลยไม่สามารถวัดค่าความปลอดภัยและคะแนนความสุขของคนที่นี่ได้ เพราะชาวเมืองที่แท้จริงไม่อยู่แล้วน่ะสิ อ่อ ที่นี่มีทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีค่าใดๆ ใน Westeros แต่สำคัญต่อมวลมนุษยชาติมากอย่าง Dragonglass (สำคัญอย่างไรต้องไปดูเอาเองนะ) แต่ถ้าคุณอยู่ที่นี่ โอกาสที่คุณจะได้เจอคนดังมีสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว คนดังที่ว่า แหงนหน้ามองท้องฟ้าจากจุดไหนในเมืองก็ตามก็เจอแล้ว นั่นก็คือเจ้ามังกรของแม่มังกรที่บินไปมาเหนือท้องฟ้าของเกาะไงล่ะ ความน่าอยู่ของที่นี่เอาไป 30 คะแนนละกัน เพราะถ้าไปอยู่จริงคงต้องจับปลากินเองแบบวังเวงและเสียวมังกรโฉบหัว ยกเว้นว่าคุณเป็นคนคลั่งความสวยงามของมังกร อยากจะเห็นหน้ามังกรทุกวัน แต่อย่าลืมภาวนาให้มันไม่พ่นไฟใส่ล่ะ! ไม่งั้นเรียบเป็นหน้ากลองแน่
อันดับที่ 8
King’s Landing (Crownlands)
เปรียบได้กับ | ปารีสในยุคกลาง อากาศมีความชื้นคล้ายมหานครนิวยอร์ก
King’s Landing เมืองหลวงของ Westeros อันแออัดที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่ราบต่ำตอนกลาง Crownlands ทางทิศตะวันออก เป็นที่ตั้งของ Iron Throne ที่ใครๆ ก็ต่างแย่งชิงเพื่อที่จะได้เป็นสุดยอดผู้นำของ The Seven Kingdoms King’s Landing เป็นเมืองใหญ่ที่ประชากรหนาแน่นประมาณ 500,000 คน ถ้าคุณเป็นคนรวยคุณก็จะอยู่อย่างสุขสบาย ในขณะที่คนจนนั้นมีมากมายจนเป็นสลัมเต็มไปหมด การขาดแคลนอาหารและความยากจนนั้นเป็นปัญหาหลักของเมืองนี้ สืบเนื่องมาจากสงครามหลายครั้งหลายหนที่เมืองนี้ถูกโจมตีตั้งแต่ครั้ง Robert’s Rebellion จนมาถึง The War of Five Kings ที่มีผู้อพยพหลั่งไหลเข้ามาในกำแพงเมืองเพื่อลี้ภัยสงครามมากจนเกิดการขาดแคลนอาหารและที่อยู่ เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ที่รับลมทะเลเต็มๆ แต่มีชุมชนแออัดและขยะสิ่งปฏิกูลมาก ทำให้เมืองนี้มีกลิ่นเหม็น ไม่น่าอยู่เวลาลมโชยมา ถึงขั้นที่ Jaime Lannister เคยเอ่ยปากพูดกับ Tyrion ในหนังสือเลยว่าเขาจำไม่ได้เลยว่าในเมืองมันเหม็นขนาดนี้!
King’s Landing นั้นมีอากาศแบบอบอุ่นในหน้าร้อน ส่วนหน้าหนาวก็ไม่หนาวจนเกินไป ใกล้ทะเล แต่ก็ห่างพอสมควรที่ในตัวเมืองจะมีความชื้นประมาณแบบ Continental Climate เหมือนในนิวยอร์ก ตัวเมืองนั้นมีแบบแปลนที่พอจะเทียบได้กับปารีสในยุคกลาง ส่วนความเป็นอยู่ก็เหมือนเมืองใหญ่ทั่วไปที่แออัด เต็มไปด้วยที่อยู่อาศัย ความปลอดภัยในชีวิตต่ำถ้าคุณเป็นคนทั่วไป ถึงแม้ว่าจะมีพวกยาม Red Cloaks ตรวจตรารอบเมืองก็ตาม และยังเสี่ยงต่อการเกิดสงครามและโดนลูกหลงจากแผนร้ายต่างๆ อีกด้วย เนื่องจากยังพอค้าขายประกอบอาชีพได้ และมีอากาศที่อบอุ่นอยู่ได้จริง แถมยังมีโอกาสได้เจอคนดังมากหน้าหลายตาตลอดเวลา แม้กระทั่งราชินี Cersei ที่เดินตามถนนก็เจอมาแล้ว จึงทำให้ King’s Landing ได้รับคะแนนความน่าอยู่ไป 50 คะแนน
อันดับที่ 7
Winterfell (The North)
เปรียบได้กับ | ประเทศรัสเซีย และดินแดน Slavic
ก้าวกระโดดมาที่เมืองเหนือกันบ้าง กับ Winterfell of the North ที่มั่นและที่ตั้งของปราสาท Winterfell อันใหญ่โตของตระกูล Stark บ้านที่ใครหลายๆ คนเชียร์อยู่ ขาวโพลนขนาดนี้ แน่นอนอากาศหนาวมาก หิมะตกเกือบตลอด ขนาดหน้าร้อนบางปียังตกเลยคิดดู Winterfell นั้นเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางและเป็นเมืองหลวงของทางเหนือ ซึ่งทางเหนือเขาปกครองกันเอง ภายใต้การปกครองของ The King of the North ซึ่งขึ้นกับ Iron Throne อีกที ความใหญ่โตของทางเหนือนั้นเกือบเท่าพื้นที่ของดินแดนที่เหลือใน Westeros รวมกัน ใน Winterfell นั้นใหญ่โตถึงขั้นที่มีป่าอยู่ในกำแพงเมือง ถึงเมืองจะหนาวขนาดนี้ และไม่ค่อยมีทรัพยากรตามธรรมชาตินอกจากต้องออกไปล่าสัตว์ แต่ภายใต้เมืองนั้นมีน้ำพุร้อนธรรมชาติไหลผ่านใต้ดินและตัวปราสาท ทำให้อากาศภายในกำแพงเมืองนั้นยังอบอุ่นอยู่บ้าง และทำให้พื้นดินไม่แข็งเป็นน้ำแข็ง มีหมู่บ้าน Winter Town ล้อมรอบ ซึ่งเป็นเมืองที่ผู้คนกระจายกันอาศัยอยู่แบบไม่แน่นหนา ความใหญ่โตและหนาวเหน็บของ Winterfell คงเปรียบได้กับรัสเซียและดินแดน Slavic
ทางเหนือนั้นถือว่าปลอดภัยมากจากการรุกรานของเพื่อนบ้าน เพราะนอกจากอากาศอันหนาวเหน็บแล้ว ยังมีแนวป้องกันตามธรรมชาติอย่าง Moat Cailin ทางตอนใต้ของดินแดน และเนื่องจากมีทางแคบทางเดียวที่จะทำให้ขึ้นมาทางเหนือได้ จึงทำให้ทางเหนือนั้นปลอดภัยจากสงคราม นอกจากพวก Ironborn จากเกาะทางด้านทิศตะวันตกจะก่อกบฏขึ้นฝั่งน่ะนะ! ผู้คนทางเหนือนั้นซื่อสัตย์และภูมิใจในบ้านเกิดของตัวเองมาก ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาภายใน ผู้คนต่อสู้เป็น ใช้อาวุธเป็น ผู้หญิงก็แกร่งและเด็ดเดี่ยว ผู้คนยังนับถือศาสนา The Old Gods of the Forest อยู่มาก สิ่งที่ทำให้ Winterfell โดนหักคะแนนความปลอดภัยออก 1 ดาวก็คือทางเหนือของพวกเขาเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างมวลมนุษยชาติและพวก White Walkers นั่นเอง ถ้าเกิดกำแพงแตกขึ้นมา Winterfell คงไปก่อนใครเพื่อนเลยล่ะ ถึงจะหนาวเกินความน่าอยู่ไปหน่อย แต่ความมั่นคงปลอดภัย และ Pride ในความเป็นคนเหนือที่รักบ้านและพวกพ้องตัวเอง บวกกับมีผู้นำทางเหนือที่ดีอย่างตอนนี้นั้น ทำให้ Winterfell ได้คะแนนความน่าอยู่ไปที่ 65 คะแนนด้วยกัน แล้วก็อยู่ที่นี่มีโอกาสได้เจอคนดังมากมายเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นราชาทางเหนืออย่าง Jon Snow หรือสาวๆ บ้าน Stark แล้วก็ได้ยินแว่วๆ มาว่ามีคนเห็น Littlefinger เดินป้วนเปี้ยนอยู่ใน Winterfell ด้วยนะ ไม่รู้ว่ามาทำอะไร!
อันดับที่ 6
Casterly Rock (Westerlands)
เปรียบได้กับ | ช่องแคบอังกฤษ
ถ้าจะมีเมืองไหนที่ร่ำรวยเงินทองมากใน Westeros ก็คงต้องเป็น Casterly Rock ในแคว้น Westerlands นี่ล่ะ Casterly Rock ความจริงแล้วเหมือนเป็นหัวเมือง/ป้อมปราการ ที่ตั้งอยู่บนหน้าผาทางทิศตะวันตกค่อนลงมาทางใต้ติดชายฝั่งของ Westeros มีอากาศอบอุ่นแบบมหาสมุทร และเป็นที่มั่นของตระกูล Lannister ที่ทรงอำนาจและมั่งคั่งในเงินทอง ก็เพราะว่าข้างใต้ Casterly Rock นั้นเป็นเหมืองทองน่ะสิ!! นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม ‘Lannister always pays his debts’ ก็เขามีจ่ายนี่นา ยัง…ยังรวยไม่พอ Casterly Rock ยังติดกับเมืองท่าสำคัญ Lannisport อีก ซึ่งทำให้เศรษฐกิจในเมืองนี้รุ่งเรืองอย่างยิ่ง พอรวยแล้วกำลังทหารก็มากตาม ความปลอดภัยของเมืองนี้ก็เลยสูงไปด้วย ไม่ค่อยมีใครมารุกรานเพราะถือว่าเป็นงานยาก
ความน่าอยู่ของ Casterly Rock ได้ไป 70 คะแนน เพราะถึงแถบนี้อาจจะไม่ใช่พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด คนอาจจะไม่ได้มีความสุขเต็มเปี่ยมเนื่องจากส่วนใหญ่ก็ทำงานเหมืองหรือรับใช้พวก Lannister หรือไปเป็นทหาร แต่เนื่องจากปลูกพืชผลได้ ทำประมงได้ อากาศดี เศรษฐกิจดี มีเมืองท่า ซึ่งคลับคล้ายคลับคลากับช่องแคบอังกฤษ แถม Lannister ยังขับเคลื่อนด้วยการเมืองและรวบรวมปกครองแคว้นต่างๆ เหมือนกับอังกฤษอีกด้วย และถ้าอยู่ที่นี่มานานจนถึงตอนนี้ก็คงจะได้เจอคนดังมาพอสมควรเลยล่ะ ตั้งแต่บ้าน Lannister ไปจนถึงแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกหลายชีวิตเลยตอนนี้
อันดับที่ 5
Sunspear (Dorne)
เปรียบได้กับ | ประเทศโมร็อกโก
มาถึง Top 5 กันแล้ว…อันดับที่ 5 ขอยกให้ Sunspear ในแคว้น Dorne ไปเลยย Sunspear คือเมืองหลวงของแคว้นทางใต้สุดของทวีป Westeros ที่ชื่อว่า Dorne เป็นที่มั่นของตระกูล Martell ซึ่งมีคนที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Prince Oberyn Martell นั่นเอง เนื่องจากอยู่ใต้สุด Dorne นั้นคือคนละขั้วกับ Winterfell ดินแดนในแคว้นนี้ประกอบด้วยทะเลทรายเป็นหลัก พื้นที่ส่วนใหญ่นั้นอยู่อาศัยไม่ได้ ประชากรเบาบางที่สุดใน Westeros เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่แห้งแล้งเป็นทราย ทำให้ทำเกษตรหรือปลูกข้าวไม่ขึ้น ยกเว้นแต่พืชตระกูล Citrus อย่างมะนาว ส้ม หรือเกรปฟรุต และเครื่องเทศต่างๆ ซึ่งเป็นที่เดียวใน Westeros ที่ปลูกพืชผลพวกนี้ได้ ของขึ้นชื่ออีกอย่างของแคว้นนี้คือ Dornish Wine ไวน์ที่มีราคาค้าขายพอสมควร แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ร่ำรวยเลย ผู้คนที่นี่มีวัฒนธรรมของตัวเอง ซึ่งมาจากรากเหง้าบรรพบุรุษชาว Rhoynish ที่มาตั้งรกราก
ชาว Dornishmen หัวรั้น และเปิดเผย ทั้งเรื่องเพศและเรื่องจารีตประเพณี Dorne เป็นที่เดียวที่ลูกสาวมีสิทธิเท่าเทียมกับลูกชายในการรับมรดกหรือตำแหน่งตกทอดจากพ่อ ลูกนอกสมรสก็มีสิทธิ์เกือบเท่าเทียมกับลูกคนอื่นๆ ผู้คนในเมืองหลวงอย่าง Sunspear นั้นอยู่อย่างเสพสุข ไม่ขึ้นอยู่กับใคร นักรบชาว Dorne นั้นถือว่าเก่งกาจมาก ทำให้ความปลอดภัยนั้นมีสูง ทั้งด้านกำลังทหารและความที่ดินแดนเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่ ยากต่อการรุกรานพอสมควร น่าเสียดายที่เมือง Sunspear กำลังอยู่ในช่วงที่การเมืองไม่แน่นอนทำให้คุณอาจจะไม่ได้กระทบไหล่กับคนดังอย่าง Ellaria Sand หรือ เจ้าชาย Oberyn แล้ว คนดังคนอื่นๆ ก็ไม่มีธุระที่ต้องมาเมืองใต้สุดนี้เท่าไหร่ และอีกสิ่งที่ทำให้เมืองสุดชิลที่ให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนโมร็อกโกที่น่าอยู่อย่าง Sunspear ถูกเบียดตกมาอยู่อันดับ 5 ได้รับไป 75 คะแนนนั้น ก็เพราะว่านอกจากคุณจะเป็นคนที่ดื่ม Dornish Wine แทนน้ำได้ หรือจะเป็นราชวงศ์ที่สามารถอยู่อย่างสุขสบายในเขตวัง สิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตอย่าง ‘น้ำ’ นั้นหายากและมีค่ายิ่งกว่าทองในดินแดนอันแห้งแล้งแห่งนี้น่ะสิ
อันดับที่ 4
The Eyrie (The Vale of Arryn)
เปรียบได้กับ | Swiss Alps
หัวเมืองและที่มั่นของภูมิภาคที่สุดจะไม่ป็อปปูลาร์อย่าง The Eyrie ใน The Vale of Arryn หลายๆ คนอาจจะกำลังนึกว่าปราสาท The Eyrie ในแคว้น The Vale คือที่ไหนกันนะ ถ้าบอกว่าเป็นที่มั่นของตระกูล Arryn ก็อาจจะยังนึกภาพไม่ออกว่ามันคือที่ไหน แต่ถ้าคุณดูมาไกลแล้ว การที่เราบอกว่ามันก็คือเมืองที่มีปราสาทที่มี ‘Moon Door’ อันเลื่องชื่อบนหอคอย ที่เป็นช่องเปิดกลางห้องโถงไว้ถีบคนลงไปสู่ท้องฟ้าอันเวิ้งว้างอันนั้น ก็คงพอจะนึกออกกันแล้วใช่มั้ย ฟังดูโหดร้าย แต่แล้วทำไมเมืองนี้ถึงน่าอยู่เป็นอันดับ 4 ล่ะ เรามาทำความรู้จักเมืองอันสุดสงบแห่งนี้กันดีกว่า Eyrie นั้นอาจจะไม่ใช่เมืองซะทีเดียว แต่มันคือพื้นที่ที่ตั้งป้อมปราสาทของตระกูล Arryn ในแคว้น The Vale ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของ Westeros มีสภาพภูมิศาสตร์เป็นเทือกเขาแหลม แตกต่างจากฝั่ง Westerlands ที่ถึงแม้จะเป็นแนวเทือกเขาเหมือนกัน แต่ฝั่งนั้นจะเป็นเทือกเขาเนิบๆ ที่เขียวขจี ถ้าจะนึกถึง The Vale ให้นึกภาพแบบเทือกเขา Alps แถวสวิตเซอร์แลนด์ได้เลย
ใน The Vale นั้นเป็นเทือกเขาที่สูงซึ่งมีสภาพอากาศหนาวเย็น ทำให้ช่วงหน้าหนาวนั้นเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองแทบไม่ได้ เนื่องจากลมกรรโชกตามช่องเขา The Mountains of the Moon นั้นแรงมาก จะเดินทางมาเมืองนี้ได้เฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้น ทำให้เมืองนี้มีป้อมปราการธรรมชาติที่ป้องกันเมืองจากการรุกราน บวกกับสกิลทางการต่อสู้ของ Swordsmen ของกองทหารในเมืองนี้ ถึงแม้ว่าจะมีไม่มากเท่าหลายๆ เมือง แต่ฝีมือนั้นนับว่าเป็นชั้นยอดของ Westeros ความปลอดภัยของเมืองนี้จึงสูงลิบลิ่ว พอบอกว่าอากาศนั้นหนาวเย็น ถึงแม้จะไม่เท่าเมืองเหนือ แต่หลายๆ คนอาจจะคิดว่าทรัพยากรทางธรรมชาติคงน้อยตามไปด้วย แต่จริงๆ แล้วดินของดินแดนแถบนี้อุดมสมบูรณ์มาก โดยเฉพาะข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ ฟักทอง และผลไม้ ที่ปลูกขึ้นได้ดีและเป็นพืชผลหลักของที่นี่ เนื่องจากดินแดนแห่งนี้มีแม่น้ำกว้างหลายสาย และอากาศสะอาด เหมาะแก่การเพาะปลูกในช่วงที่ไม่ใช่หน้าหนาว เมืองนี้ก็เป็นเมืองที่ค่อนข้าง Slow Life และสงบมาก โอกาสเจอคนดังเลยน้อยหน่อย แต่นับแล้วก็ถือว่าเป็นเมืองที่อากาศดี ปลอดภัย อุดมสมบูรณ์ และน่าอยู่เลยทีเดียว รับไปเลย 80 คะแนน
อันดับที่ 3
Riverrun (Riverlands)
เปรียบได้กับ | ประเทศไทย ที่อากาศเย็นฉ่ำเหมือน Ireland
Top 3 ของเรามาถึงแล้ว อันดับที่ 3 มอบให้แก่เมืองในที่ลุ่มน้ำท่วมถึงอย่างกรุงเทพมหานครรร เอ้ยไม่ใช่! อย่าง Riverrunn of the Riverlands ต่างหาก! พูดถึงข้อเสียของเมืองนี้กันก่อน นั่นก็คือความปลอดภัยนั่นเอง ไม่ใช่ว่าทหารเมืองนี้ไม่เก่งหรือมีไม่เยอะ อันที่จริงแล้วเขาว่าเมืองนี้มีกำลังทหารถึง 45,000 คนเลยทีเดียว แต่เป็นเพราะว่าเมืองนี้ไม่มีป้อมปราการทางธรรมชาติเลย เนื่องจากอยู่ในภาคกลางของทวีปที่รอบด้านติดกับดินแดนอื่นๆ และไม่มีแนวภูเขาสูงหรืออะไรเพื่อป้องกันการรุกรานเลย วิธีการป้องกันตัวเองของปราสาท Riverrun ของตระกูล Tully คือการเปิด Flood Gate เพื่อปล่อยน้ำจากแม่น้ำให้ท่วมรอบปราสาท เปลี่ยนปราสาทให้เป็นเกาะเพื่อตัดขาดศัตรู
เมืองนี้เป็นที่ราบ มีป่า เนินเขา แม่น้ำ อากาศเย็นแต่ไม่หนาวจนเกินไป เพาะปลูกอุดมสมบูรณ์ ผู้คนทำไร่นาและประมง อยู่กระจายกันเป็นชุมชนย่อยๆ ไม่มีเมืองใหญ่ ผู้คนรักความสงบ (แต่ถึงรบไม่ขลาด) ถึงแม้ว่าดินแดนของพวกเขาจะโดนปู้ยี่ปู้ยำกลายเป็นสนามรบของชาวบ้านอยู่เรื่อย คิดแล้วก็คงเหมือนประเทศซีเรียที่กลายไปเป็นสนามรบให้คนอื่นในสงครามที่ตัวเองแทบจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย แต่ยังไงก็ตาม เวลาที่ไม่มีสงครามพวกเขาก็มีความสุขในเมืองที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ โอกาสเจอคนดังนั้นคงมีไม่มากแล้ว เพราะอะไร ต้องไปดูในซีรีส์เอาเองนะจ๊ะ โดยรวมให้คะแนนความน่าอยู่กับอากาศอันอบอุ่นและทรัพยากรธรรมชาติ และความสมจริงในความอยู่ได้จริงไป 85 คะแนน
อันดับที่ 2
Bear Island (The North)
เปรียบได้กับ | Canadian Rockies
กลับขึ้นไปที่ดินแดนทางเหนือ กับเกาะเล็กๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ Wessteros ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Bear Island หรือเกาะหมีของหมีน้อย Lyanna Mormont สาวน้อยสุดแกร่งขวัญใจแฟน Game of Thrones หลายๆ คนนั่นเอง เกาะแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของตระกูล Mormont ซึ่งสวามิภักดิ์ต่อราชาทางเหนืออีกทีหนึ่ง Bear Island อยู่ค่อนไปทางเหนือมากกว่า Winterfell แต่ด้วยความที่เป็นเกาะจึงมีสภาพอากาศหนาวชื้น อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นโอ๊ก ต้นสน และมอสส์ ภูมิศาสตร์เป็นป่าไม้ พุ่มไม้ และเนินเขาสูงชัน มีแม่น้ำที่ปลาชุมมาก คล้ายกับแนว Rocky Mountains ในประเทศแคนาดา และแน่นอนได้ชื่อว่า Bear Island ก็เพราะว่าในป่าของเกาะนี้มีหมีอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากน่ะสิ
ผู้คนทำนาและประมงชายฝั่ง ถึงจะไม่ได้ร่ำรวยแต่ชาวเกาะนี้อยู่กันอย่างพอกิน มีความสุขและความภูมิใจตามแบบฉบับชาวเหนือผู้ทระนงและจงรักภักดี จึงไม่ค่อยมีปัญหากับใคร ที่นี่ความปลอดภัยทางการป้องกันอาจจะไม่เต็มร้อยเท่าไหร่ เนื่องจากว่ากองกำลังทหารนั้นมีอยู่ทั้งหมดแค่ 62 คนถ้วนเท่านั้น แต่ก็เป็น 62 คนที่กล้าหาญและพละกำลังสูงเปรียบได้เหมือนหมีเจ้าถิ่นนั่นเอง เช่นเคย กับเกาะเล็กๆ ที่อยู่อย่างสงบ อาจจะไม่ค่อยมีคนดังแวะเวียนมามากนัก นอกจากครั้งหนึ่งที่คนดังบ้าน Stark อย่าง Jon Snow และ Sansa ขึ้นเกาะมาเยี่ยมเยียนนายหญิงน้อย Lyanna Mormont นั่นเอง เกาะอันสงบสุข เขียวขจี อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ สัตว์ และผู้นำกับกองกำลังที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวและเป็นธรรมนี้ จึงได้คะแนนความน่าอยู่ไปที่ 90 คะแนน ขึ้นเป็นอันดับ 2 ของเรา
อันดับที่ 1
Highgarden (The Reach)
เปรียบได้กับ | ประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี
อันดับที่ 1 ของการจัดอันดับสุดยอดเมืองน่าอยู่ใน Westeros ของเราก็คือ Highgarden แห่งแคว้น The Reach อันอุดมสมบูรณ์ที่สุดในทวีปนั่นเองงง เมืองอันดับที่ 1 ของเรานี้อยู่ภาคกลางค่อนไปทางใต้ของ Westeros มีอากาศอันอบอุ่น แดดส่อง ฝนตกตามฤดูกาล ปลูกอะไรก็ขึ้น โดยเฉพาะเมลอน พีช และผลไฟร์พลัม ที่เป็นผลไม้เลื่องชื่อของ Westeros ที่ในหนังสือเขาบอกว่าเวลาสุกแล้วหอมหวานแทบระเบิดในปาก! เมืองนี้มีทั้งแม่น้ำ ลำธาร ไหลผ่าน แถมยังมี Red Mountain เป็นปราการทางธรรมชาติอีกด้วย ต่างจาก Riverrun อันดับ 3 ของเราที่อยู่ในภูมิภาคใกล้เคียงกันแต่กลับไม่มีแนวป้องกันทางธรรมชาติใดๆ เลย
เมืองนี้แจกจ่ายเสบียงให้เมืองอื่นๆ เสมอในยามที่มีสงครามและผู้คนยากลำบาก ผู้คนในเมืองนี้ร่ำรวย อยู่ภายใต้การดูแลของตระกูล Tyrell ซึ่งเล่นเกมการเมืองอย่างเซียน มีภาพพจน์ในการเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นต่างๆ ด้วยการทูต และโอบอ้อมนอบน้อมสมกับที่สัญลักษณ์บ้านเป็นดอกกุหลาบ และเนื่องด้วยเป็นเมืองที่ร่ำรวย มีอำนาจมาก และมีกำลังทหารมาก จึงทำให้ความปลอดภัยของเมืองนี้สูงตามไปด้วย นอกจากจะเป็นเมืองที่ฟังก์ชันแล้วยังมีความสุนทรียภาพอีกต่างหาก สามารถพบเห็นความครึกครื้นในเมืองได้เสมอไม่ว่าจะเป็นเรือพายสำราญที่ล่องตามแม่น้ำ มีนักร้องขับร้องสร้างบรรยากาศตามที่ต่างๆ มีพฤกษานานาพันธุ์มากมาย และยังมีทุ่งกุหลาบที่ใหญ่ที่สุด ยาวสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย และไหนจะยังมีไวน์ที่คุณภาพดีที่สุดใน Westeros อีกต่างหาก เมืองนี้และแคว้นนี้ก็จะมีความคล้ายคลึงกับประเทศอย่างอิตาลีและฝรั่งเศส ที่อาหารดี อากาศดี สุนทรียภาพสูง ถึงคนดังจะแวะมาแค่บางครั้งบางคราว อย่าง Jaime Lannister หรือ Ellaria Sand ที่แอบแวบมา และอดีตราชินีอย่าง Margaery Tyrell ที่เคยอยู่ที่นี่ คนดังที่เหลืออาจจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอนัก แต่ด้วยอากาศ การเมือง ความเป็นอยู่ ความปลอดภัย และความอุดมสมบูรณ์ที่เรียกได้ว่าเพอร์เฟกต์ที่สุดแล้วในทวีป จึงทำให้เราตัดสินใจให้ 100 คะแนนเต็ม มอบมงอันดับที่ 1 เมืองที่น่าอยู่ที่สุดใน Westeros ไปเลย!