ขึ้นแท็กซี่คันนี้ อย่างต่ำยิ้มออก อย่างมากม่วนหลาย และใช่ค่ะ ดิฉันเอนจอยสุดๆ ตั้งแต่หย่อนตัวลงเบาะ
360 องศาภายในรถ อัดแน่นไปด้วยขนมหลากยี่ห้อ ทั้งคาว หวาน นัว มีไข่ไก่ ปลากระป๋อง เครื่องปรุงครบรส ไปจนถึงของใช้เบสิกอย่างน้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจาน ร่ม แปรงสีฟัน แม้กระทั่งโมเดลการ์ตูนหลายร้อยตัวเพิ่มสีสัน เอ๊ะ ผนังรถมียาสามัญประจำบ้านด้วย ดีจัง แต่เดี๋ยวนะ นั่นมันยาคุมฉุกเฉิน ถุงยาง เจลหล่อลื่น และผ้าอนามัยหรือเปล่า?!
แทบจะไม่ใช่แท็กซี่อยู่แล้ว แทบจะเป็นร้านสะดวกซื้อเคลื่อนที่อยู่แล้ว ซึ่ง หิน-ณรงค์ สายรัตน์ คนขับแท็กซี่วัย 55 ปี คนนี้ก็ต้องการให้เป็นแบบนั้น เพราะนี่คือ ‘แท็กซี่โชห่วย’ ที่เจ้าตัวทำมา 13 ปี และขอดอกจันรัวๆ ไว้ก่อนเลยว่าทุกอย่างบนรถไม่ขายสักชิ้นเด้อ แจกฟรี
“โอ๊ย ถ้าไม่ได้ซื้อของขึ้นรถ นี่ไม่มีแรงขับหรอก มันไม่สนุก (หัวเราะ)” อะไรที่ทำให้น้าหินแจกฟรีแทนขาย และกลายเป็นขวัญใจชาวบางนาที่หิวเมื่อไหร่จะนึกถึง (เล่นมีโจ๊ก และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพร้อมน้ำร้อนให้กินบนรถเวลาหิวโซ) แถมหยิบของใช้ส่วนตัวต่างๆ ที่ขาดเหลือกลับบ้าน อวยพรให้น้ามีความสุขผ่านการเขียนโพสต์อิท และให้ติ๊บน้ำใจเล็กๆ ซึ่งโชเฟอร์อารมณ์ดีคนนี้จะเอาทั้งหมดไปซื้อของเติมต่อไม่มีหยุด
01 ชีวิตที่เลือกสีสันไม่ได้ของเด็กสุรินทร์
เดาได้ตั้งแต่ขึ้นมานั่งบนแท็กซี่โชห่วยคันนี้ ว่าน้าหินเป็นคนสนุกกับชีวิตเหลือเกิน ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้ผิดคาด เพราะมากกว่าของที่ติดอยู่ทั่วรถ นิสัยขายขำที่เป็นธรรมชาติจากบทสนทนาสัพเพเหระ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ก็เป็นเสน่ห์ที่เรียกเสียงหัวเราะให้ฉันตลอดทาง แต่เขาก็มีความสุภาพ และให้เกียรติผู้โดยสารอย่างที่เขาบอกว่า “ถ้าบริการดี ลูกค้าจะมีความสุข เหมือนมีคนรู้จักเพิ่มอีกคน เพราะเขาจะจำเราได้”
น้าหินเป็นเด็กสุรินทร์ ที่ไม่มีความฝันอยากทำอะไรเลย เพราะไม่มีต้นทุนชีวิต ต้องย้ายตามแม่ซึ่งทำอาชีพรับจ้างตัดไม้ ไปตรังบ้าง ระนองบ้าง เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว การไม่ได้ลงหลักปักฐานที่ไหน ทำให้น้าหินตกหล่นจากระบบการศึกษา ได้เรียนถึงแค่ ป.3
“พอเราไม่มีการศึกษา เลยต้องหางานที่ใช้ฝีมือแทนความรู้ แม่ผมเลยฝากคนรู้จักให้มาทำงานกรุงเทพฯ งานแรกในชีวิตตอนอายุสิบสี่คือช่างทอง ช่างตัวเรือน เข้ามาก็ทำอะไรไม่เป็น ต้องฝึกงานก่อน ได้เงินเดือนละสามร้อยถึงสี่ร้อย ซึ่งไม่ได้เยอะอะไร แต่ถ้าให้กลับไปบ้านนอก คงลำบากเหมือนกัน ยังไงงานเมืองหลวงก็ได้เงินเยอะกว่า เลยเลือกอดทนทำไปเรื่อยๆ พัฒนาตัวเองหลายปี จนได้เงินหลักหมื่น”
อายุใกล้จะเลข 4 ช่างวัยกลางคน เขาปิดตำนานการเป็นช่างเพราะเหตุการณ์ฟองสบู่แตก ออกหางานใหม่ทันทีไม่เว้นช่วงพัก และงานที่ไม่ต้องใช้ความรู้ แต่ใช้ฝีมืออีกอย่างที่เขาเลือกคือ ‘คนขับแท็กซี่’ ซึ่งคนขับรถไม่เป็นอย่างน้าหิน ร่ำเรียนการขับรถเองจากน้องชายแท้ๆ ที่เป็นคนขับแท็กซี่อยู่ก่อน และอาศัยการจำทางที่แม่นยำ จนพาเขาสอบใบขับขี่ผ่าน
ซึ่งใครจะรู้ล่ะ ว่ากุญแจดอกเดียวของรถแท็กซี่ จะเพิ่มสีสันคัลเลอร์ฟูลให้ชีวิตเขาได้!
02 เบื่อแล้วความจำเจ ซื้อของแจกฟรีดีกว่า
ด้วยความที่นั่งเบาะหลัง สาวน้อยบ้ากระจกอย่างฉันเป็นอันต้องกรี๊ด เพราะน้าหินมีกระจกไว้ให้ส่อง แบบชัดแจ๋วเต็มตา จัดหน้าม้า ส่องเมกอัปได้สบาย แถมเหลือบตามองไปอีกนิด ก็เจอยางมัดผมหลายเส้นวางอยู่เป็นแพ็ก
“ผมอยากให้ลูกค้าเสริมสวย ลงจากรถไปจะได้มั่นใจ หน้าเป๊ะ แล้วคนที่ส่องไม่ได้มีแค่ผู้หญิงนะ หนุ่มๆ หรือเกย์ เขาก็เอียงใส่กระจก และดูดีใจที่มีกระจกมาก (หัวเราะ)
“อย่างช่วงนี้ลุงตู่ไม่เปิดโรงเรียนสักที กะจะไม่ให้เด็กเรียนแล้วมั้ง ตอนแรกเราก็มีกบเหลาดินสอไว้ให้เด็กๆ เอาไว้เหลาดินสอนั่นแหละ แต่ช่วงนี้ กลายเป็นน้องๆ ขอผมเหลาดินสอเขียนคิ้วแทน” สารภาพว่าแอบขำกับประโยคนี้
เขาเล่าให้ฟังว่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติดของเต็มรถ เกิดจากภาวะหมดไฟในการทำงาน ส่วนหนึ่งมาจากความเบื่อหน่ายกับลูปชีวิตที่วนไปมาจากการขับแท็กซี่เฉยๆ 5 ปี จนขี้เกียจออกไปทำงาน และเริ่มเครียด จึงอยากหากิจกรรมคลายเครียดก่อนจะเบื่อไปมากกว่าเดิม
“ผมเชื่อว่าทุกคนมีเรื่องเครียด ตัวเราเองก็มี เลยเริ่มจากซื้อลูกอมติดรถไว้เยอะๆ อย่างน้อยการที่เราหยิบลูกอมกำหนึ่งไปให้ใคร เขาน่าจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง คนแรกที่ผมยื่นให้คือยามหน้าหมู่บ้าน พูดกับเขาว่าสดชื่นครับลูกพี่ แล้วเรามองไปกระจกหลังเห็นผู้โดยสารยิ้มให้ และยื่นสินน้ำใจให้ไปซื้อลูกอมแจกคนอื่นต่อ ตอนนั้นคือรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก
“น้ำใจลูกค้าถ้ามีเสียง คงดังมาก เพราะทำให้ผมยิ้มไปทั้งวัน แล้วก็อยากทำต่อ มีแรงลุกขึ้นมาซื้อของติดรถ เริ่มจากพวกขนม ของกิน เลือกซื้อของดีๆ โดยคิดว่าถ้าเป็นเราจะอยากหยิบไปกินไหม ทีนี้พอติดไปเรื่อยๆ จนเต็มรถก็อยากออกไปขับทั้งวัน สนุกกับการรับลูกค้ามาก ซึ่งผมตั้งใจว่าจะไม่ขายของบนรถเด็ดขาด เพราะถ้าขาย เราคงต้องมานั่งระแวงว่าลูกค้าจะขโมยไหม หรือชิ้นไหนหายไปบ้าง ไม่เป็นอันขับพอดี (หัวเราะ) เลยเอาวะ แจกเนี่ยแหละ เห็นลูกค้ายิ้มได้ก็โอเค ซึ่งลูกค้าแทบทุกคนจะให้ติ๊บผมหยอดใส่กระปุกเพื่อเอาไปซื้อของเพิ่ม เพราะเขาประทับใจกับสิ่งที่เราทำ”
03 แท็กซี่โชห่วย ที่เป็นกระเป๋าโดราเอมอน
จากที่ห้อยของสารพัดไว้ขำๆ แต่ทำไปทำมา น้าหินบอกว่า อยากติดของที่ครอบคลุมทุกคน และคำนึงถึงการใช้งานต่างๆ มากขึ้น (เหมือนกับกระจกเมื่อกี้นั่นแหละ) จึงเริ่มติดของใช้จิปาถะ เช่น สบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม ที่ลูกค้าน่าจะได้ใช้บ่อยๆ
แล้วอยากรู้ไหมว่าอันดับของใช้มงลงที่คนหยิบไปมากที่สุดคือชิ้นไหน คำตอบคือ ‘ถุงยาง’ ค่าาาา
“เพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องเหนียมอายเลยครับ แต่ว่าต้องรู้จักป้องกันตัว เหตุผลที่เอาถุงยางมาแจกบนรถ เพราะว่านึกถึงช่วงที่เขารณรงค์กันเรื่องป้องกันโรคเอดส์ และโรคติดต่อ ก็เลยลองซื้อมาติดไว้ ซึ่งผลตอบรับดีเกินคาด คนหยิบกันบ่อย จนได้ไปออกรายการทีวี ซึ่งทางโรงพยาบาลสิรินธรก็ติดต่อมาว่า อยากฝากให้ช่วยแจก เพื่อกระตุ้นเรื่องความปลอดภัย
“ถุงยางเรามีหลายแบบ ผิวเรียบ ผิวขรุขระ สตรอว์เบอร์รี แต่ทีนี้แค่ถุงยางอย่างเดียวผมคิดว่ายังไม่พอ เลยคิดเผื่อว่า บางคนเขาอาจจะต้องการยาคุม เอามาติดทั้งรายเดือน และฉุกเฉิน คิดเผื่อไปอีกว่าคนที่เขาเป็นเกย์ บางคนอาจจะต้องใช้เจลหล่อลื่น เลยเพิ่มเจลหล่อลื่นมาแจก เนี่ย เขาเพิ่งหยิบไปหลอดหนึ่ง”
ความน่ารักคือทุกวันนี้เวลาน้าหินไปจอดใกล้ๆ ร้านสะดวกซื้อ บางทีพนักงาน หรือแฟนคลับที่จำเขาได้ มักเดินเข้ามาหา และฝากถุงยางอนามัยให้เขามาติดรถเพิ่ม ซึ่งตัวเขาก็ดีใจที่อยู่ดีๆ กลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ขับเคลื่อนเรื่อง Save Sex ซะงั้น
“บางครั้งของบนรถเราก็ช่วยทำให้ผู้โดยสารคิดย้อนดูชีวิตตัวเองเหมือนกันว่า เขาขาดอะไรบ้าง ชวนฉุกคิดว่า เอ๊ะ ของที่บ้านหมดหรือยัง แต่กว่าผมจะไปจอดถึงหน้าบ้าน เขาก็มองไปรอบๆ รถ แล้วอาจจะคิดได้ว่า เออ ลงไป กูต้องซื้ออะไรเพิ่มบ้าง”
ด้วยความที่ขับแท็กซี่มานาน ทำให้น้าหินเข้าอกเข้าใจผู้โดยสารที่เกิดเจ็บป่วยระหว่างเดินทางดี จึงพกผ้าอนามัย ยาแก้เมารถ ยาแก้ปวดหัว ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้ท้องอืด พร้อมปลาสเตอร์ปิดแผลต่างๆ เพราะเขาเป็นห่วงคนล่วงหน้าไปแล้วว่า ถ้าโดนมีดบาด หกล้มขึ้นมาก่อนขึ้นรถ แล้วเจ็บ จะได้ทุเลาลง
“ผมพกน้ำเย็นใส่กระติกไว้หลายขวด และมียาดมค่อนข้างเยอะ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และผู้โดยสารต้องใช้อยู่เรื่อย บางทีเห็นคนเป็นลมหน้าป้ายรถเมล์ เราสามารถยื่นให้เขาได้เลย หรือเจอคนเปียกฝนกลางถนน ร่มกับเสื้อกันฝนเราก็มีพร้อม อย่างลูกค้าบางคนเขาไม่ได้อยากเอาร่มลุงกลับไป แต่มันเปียก ก็อาสาจอดแล้วเดินพาเขาไปส่งหน้าออฟฟิศด้วยร่มที่เรามีได้”
04 บริการดุจญาติ ขายขำได้ จริงจังได้
คงยิ้มออกได้บ้าง เมื่อเจอแท็กซี่โชห่วยที่พลังบวกเหลือล้นอย่างน้าหิน เขาบอกว่าทุกวันจะได้รับประสบการณ์ และความสนุกใหม่ๆ ที่ไม่ซ้ำกันสักวัน การได้คุย ได้เจอลูกค้าที่แตกต่างกันไป ก็ทำให้เขาได้พลังบวกจากลูกค้าเช่นกัน
“วันก่อนรับน้องคนหนึ่งที่น้ำหนักตัวเกือบร้อยโลขึ้นมา ไอ้เด็กนี้มันหิวมาก ผมที่มีเครื่องทำน้ำร้อนบนรถ ก็เลยชวนเขากินมาม่าใส่ไข่ต้มไปสองฟอง ป็อปคอร์นอีกถุง เราก็เชียร์ กินเลยอ้วน ลุยๆ จนเขาอิ่มปรับเบาะเอนเกือบจะนอน แล้วบอกเราว่า น้าๆ ผมมีความสุขมากเลยครับ จนแม่เขาให้เราสามร้อย เพราะลูกกินเยอะ ผมขำมากเลย (หัวเราะ)”
“เวลาที่เราขับผ่านเขตชุมชน เด็กที่เตะบอลอยู่ จะวิ่งเข้ามาขอกินขนมอบกรอบ พวกถั่ว ลูกอม โกยเข้าตัวแล้วถือกันไปเยอะๆ เวลาขับผ่านอีกที เด็กพวกนั้นจะวิ่งมารอเลย หรือครั้งหนึ่งเจอคุณยายคนหนึ่งขึ้นรถมาแล้วงงว่าแท็กซี่โชห่วยคือไรวะ ทำหน้าสงสัยตลอดทาง จนตัดสินใจถามเราว่า เป็นบ้าป้ะเนี่ย ผมนี่ขำกลิ้งเลย ที่ตลกเข้าไปอีกคือ ยายคนนี้เจอเราซ้ำอีกรอบ แล้วบอกว่า สงสัยกูบ้ากว่าขึ้นรถมึงอีกแล้ว”
แม้น้าหินจะมีความสุขที่ได้พูดคุยกับลูกค้า จนเรียกเสียงขำ และรอยยิ้มอยู่บ่อยๆ แต่เขาก็มีโหมดจริงจังเหมือนกัน เพราะผู้โดยสารหลายคนต้องการความเป็นส่วนตัว
“ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนสนุกแล้วเลยเถิดนะครับ เวลาพูดอะไรออกไปแล้วเขาไม่ตอบ ควรคิดต่อแล้วว่าเขาอาจจะเครียดงานอยู่ เป็นคนนิสัยเงียบๆ หรือต้องการความเป็นส่วนตัว เราห้ามตื๊อเด็ดขาด ต้องให้พื้นที่เขา ถ้าคนที่อยากจอยกับเรา เขาจะต่อบทกับเราตั้งแต่ขึ้นมาแรกๆ”
นอกจากนี้การที่แท็กซี่โชห่วยของน้าหินมีลักษณะที่ดูเฟรนด์ลี่ ทำให้ผู้โดยสารหลายคนที่กลัวแท็กซี่ เนื่องจากประสบการณ์ตรง หรือข่าวต่างๆ รู้สึกกลัวน้อยลง
“ขับแท็กซี่มา ผมเข้าใจผู้โดยสารมากครับ เวลาที่เขาเอาโทรศัพท์ขึ้นมาโทรคุยกับแฟน เพื่อน หรือครอบครัว โดยเฉพาะลูกค้าผู้หญิง เขาแค่ต้องการที่พึ่งทางใจ ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้วครับ เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าโชเฟอร์เป็นคนยังไง พอมาทำรถโชห่วย ก็สังเกตว่าผู้โดยสารกลัวน้อยลง บางคนขึ้นมาแล้วได้คุยกับเราก็อุ่นใจ ได้อ่านโพสต์อิทที่ลูกค้าเขียนไว้ให้ในรถ ก็ขอเบอร์เราไว้เผื่อเรียกใช้ครั้งหน้า”
05 ห้อยของ และกำลังใจ แทนพระ
ตลอด 13 ปีที่ทำแท็กซี่โชห่วยมา น้าหินพูดตรงๆ กับฉันว่า ขับเท่าไหร่ก็ไม่รวยหรอก รวยอย่างเดียว รวยน้ำใจ ตอนนี้คงใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ และอยู่ด้วยกำลังใจจากผู้โดยสารที่ช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจ
“ค่ากิน ค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพ ประเทศนี้มันสูง ไหนจะค่างวด ค่าผ่อนอีก ถ้าไปเปิดร้านโชห่วยขายเองเราก็ไม่ชอบหรอก เพราะต้องมีต้นทุน กลัวเขาเบี้ยวจ่ายเงินด้วย (หัวเราะ) อยู่แบบนี้ไปแหละ ไม่สร้างหนี้ก็พอ”
ฉันมองแฟ้มที่ใส่โพสต์อิทให้กำลังใจน้าหินข้างๆ ประตูรถด้านหลังฝั่งขวา น้าหินบอกว่า ที่มีเยอะหลายหน้า ซึ่งเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะอีกส่วน น้าหินเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ ที่บ้าน
“แรกๆ ตั้งใจให้ผู้โดยสารเขียนโน้ตอะไรก็ได้ เช่น จดเบอร์โทร หรือธุระ แต่สรุปเขามาเขียนให้กำลังใจผมกันหมดเลย เวลาพักจากขับรถ ผมจะชอบเอามานอนอ่านเล่นๆ ก็ทำให้มีแรงทำงานต่อได้”
แท็กซี่โชห่วยคันนี้ ไม่ได้ห้อยพระสักเส้น หรือตั้งพระสักรูปไว้คุ้มครองหน้ารถ เพราะน้าหินเชื่อว่า ของกิน และของใช้จำเป็นที่จัดเรียงอยู่เต็มรถ จะช่วยให้ผู้โดยสาร หรือตัวเขาเองหมดห่วง และอุ่นใจ หิวเมื่อไหร่ก็กิน ขาดอะไรก็หยิบใช้ หรือป่วยเมื่อไหร่ เอ้า ยาก็มี
ว่าแล้ว ฉันจะขอร่มน้าหินกลับบ้านดีไหมเนี่ย เหมือนฝนใกล้จะตก ฮ่าๆ