จากเหตุการณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ประกาศให้ชะลอการจัดสรรงบประมาณค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค โดยหนึ่งในประเด็นร้อนนั่นคือ ไม่อนุญาตให้หน่วยบริการที่ไม่ใช่สถานพยาบาลจ่ายยาเพร็พ (PrEP) ยาเพื่อป้องกัน HIV ก่อนสัมผัสเชื้อ และเป็บ (PEP) ยาสำหรับหลังสัมผัสเชื้อใน 72 ชั่วโมง โดยผู้ใช้บริการต้องไปรับบริการจากสถานบริการของรัฐตามสิทธิ์ที่ตนมี ซึ่งนอกจากสร้างความยากลำบากต่อผู้ใช้บริการแล้ว ยังส่งผลกระทบไปถึงคลินิกต่างๆ ที่ให้บริการด้วย
ประกาศนี้ส่งผลให้สังคมออนไลน์ตั้งคำถามและแสดงความกังวลเกี่ยวกับการให้บริการของรัฐ โดย ‘testBKK’ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รณรงค์ออนไลน์ว่าด้วยเรื่องสุขภาวะทางเพศ ได้สร้างแคมเปญ change.org ในหัวข้อ ‘หยุดรวมการจ่ายยา PrEP, PEP เพื่อป้องกัน HIV ไว้ที่รัฐ อนุทินต้องกระจายจุดจ่ายยาให้ประชาสังคม’ โดยชี้แจงเหตุผลหลักๆ ไว้ดังนี้
2) การตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อผู้รับยา PrEP หรือ PEP ว่าต้องเป็นกลุ่มพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ที่รับยาไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์บ่อยๆ หรือมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง เพียงรับยาเพื่อป้องกันโอกาสในการรับเชื้อ HIV เท่านั้น
3) ในการเข้ารับการตรวจจากสถานพยาบาลของรัฐ อาจต้องใช้บัตรประชาชนและข้อมูลส่วนตัวในการรับบริการ เกิดเป็นความกังวลในเรื่องการเก็บรักษาข้อมูลของรัฐ
แคมเปญนี้ยังเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาและทบทวนระบบการกระจายบริการในการจ่ายยา PrEP และ PEP โดยให้คงรูปแบบเดิมที่ภาคประชาสังคมยังสามารถดำเนินการได้ รวมถึงเพิ่มหน่วยบริการในพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อทำให้ประชาชนเข้าถึงการบริการมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อ HIV เอดส์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
ล่าสุดวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ออกมาแถลงการณ์ว่าประเด็นนี้มีความเกี่ยวข้องกับความชัดเจนด้านสิทธิและงบประมาณในการรักษา จึงจะมีการประชุมเพื่อหาแนวทางที่ชัดเจนทางกฎหมาย โดยยืนยันว่า ในระหว่างนี้คลินิกภาคประชาสังคมยังจ่ายยา PrEP และ PEP ได้ตามเดิม
แต่ถึงอย่างนั้น การรณรงค์จากทาง testBKK ยังคงเดินหน้าต่อไปและหวังว่าการลงชื่อจะมีมากขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้รับบริการที่ง่าย สะดวกสบาย และปลอดภัย รวมถึงสร้างความสบายใจในการเข้าถึงยาที่ใช้ป้องกัน HIV เพื่อลดอัตราการส่งต่อเชื้อจนสามารถบรรลุเป้าหมายในการยุติเอดส์ในปี 2030 ให้ได้
1) การให้บริการของหน่วยงานรัฐมักใช้เวลานานหลายชั่วโมง ทั้งการรอคิวและการเข้ารับบริการที่มีหลายขั้นตอน ซึ่งต่างจากคลินิกภาคประชาสังคมที่สามารถจองบริการล่วงหน้า และเข้ารับบริการได้อย่างง่ายและรวดเร็วกว่า
ร่วมลงชื่อสนับสนุนแคมเปญได้ที่ bit.ly/3vOL3GA .