พวกเธอรู้ไหมว่าความวายป่วงของ Meme Girls Thailand จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าหากว่าไม่มีภาพยนตร์ต้นฉบับอย่าง ‘Mean Girls (2004)’ (มีนเกิร์ลส์) ที่ดูเผินๆ จากปกหนังหลายคนอาจคิดว่าคงจบแบบสูตรสำเร็จฉบับหนังไฮสคูลทั่วๆ ไป แต่เปล่าเลย เพราะโลกวัยทีนของมีนเกิร์ลนั้นแฝงประเด็นสังคมอันหนักหน่วงไว้ตั้งแต่นาทีแรกจนนาทีสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นการเหยียด การกดขี่ การแบ่งชนชั้น การบุลลี่ มาตรฐานความงาม LGBTQ+ และอีกนับไม่ถ้วนที่มาก่อนกาล
โดยหนังเล่าผ่าน เคดี้ เฮรอน (Lindsay Lohan) เด็กใหม่ผิวขาวจากแอฟริกาที่พบกับ เจนิส เอียน (Lizzy Caplan) กับ เดเมียน (Daniel Franzese) คู่หูที่พาเธอโดดเรียนคาบแรกของวิชาสุขศึกษา (โชคดีของเคดี้) พร้อมแนะนำแก๊งพลาสติกของโรงเรียนมัธยมปลายนอร์ทชอร์ หรือที่เดเมียนนิยามเอาไว้ว่า ‘พวกผู้ดีจอมปลอม’ ประกอบไปด้วย เรจิน่า จอร์จ (Rachel McAdams) เกรทเช่น วีเนอร์ส (Lacey Chabert) และคาเรน สมิธ (Amanda Seyfried)
สามสาวที่ดูไร้พิษสง โดยเฉพาะ เรจิน่า จอร์จ ควีนแห่งนอร์ทชอร์ ทั้งหน้าตาและผมบลอนด์ยาวสลวยของเธอช่างเข้าสูตร ‘Dumb Blonde’ (ผู้หญิงผมบลอนด์และไร้สมอง) ไม่มีผิด แต่หารู้ไม่ว่าเธอฉลาด และร้ายกาจยิ่งกว่าใคร เพราะรู้วิธีใช้ประโยชน์จากคนอื่น ทำลายความมั่นใจจนรู้สึกด้อยกว่า ที่สำคัญเธอยังรู้วิธีเก็บเด็กใหม่เอาไว้ข้างกาย ถ้าคิดจะแย่งตำแหน่งควีนของเธอเมื่อไหร่ เรจิน่าก็พร้อมจะบดขยี้ศัตรูให้แหลกตามฉบับ ‘โลกวัยทีน’ (เธอเคยสร้างวีรกรรมกล่าวหาเจนิสว่าเป็นเลสเบี้ยนจนเพื่อนเลิกคบ)
ฉะนั้นจุดเริ่มต้นของเคดี้กับแก๊งพลาสติก จึงมาจากเรจิน่าชักชวนให้เคดี้มาร่วมโต๊ะอาหาร แต่โชคร้ายกว่าเคดี้จะรู้ตัวว่าเรจิน่าเป็นยัยตัวแสบ ก็ตอนที่เธอชอบแฟนเก่าของเรจิน่า ซึ่งเรจิน่าก็พร้อมช่วยเป็นแม่สื่อให้แต่สุดท้ายเธอกลับหักหลังเคดี้ด้วยการกลับไปคบกันอีกรอบ ทำให้แผนการแก้แค้นทำลายแก๊งพลาสติกที่มีเจนิส เอียน และเดเมียนเป็นจอมวางแผนจึงเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่วินาทีนั้น
ถ้าพวกเธอเริ่มเก็ตแล้วว่า Mean Girls มีจริตยังไง เราไปรู้จักกับแก๊งพลาสติกแห่งเมืองไทยกันเลยดีกว่า
กำเนิดแก๊งพลาสติกแห่งเมืองไทย
ถ้าเปรียบเทียบว่าโรงอาหารแห่งโรงเรียนมัธยมปลายนอร์ทชอร์ คือสถานที่สร้างแก๊งพลาสติกขึ้นมาแล้วล่ะก็ ร้านกาแฟก็เป็นสถานที่รวมพลสำหรับแอดมินรุ่นบุกเบิกทั้ง 6 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘จิล-พิพัฒน์ วัฒนพานิช’ ผู้ดูแลเพจ ‘ดูออกเลยหรอคะ’ หรือชื่อใหม่คือ Meme Girls Thailand เพื่อเมาท์มอยการเมืองในประเทศอย่างออกรสท่ามกลางบรรยากาศของการรัฐประหารสมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
อย่างที่พวกเธอรู้กันว่าเวลาพูด ‘การเมือง’ ในช่วงเวลานั้นแทบจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ชนิดที่ต้องหันซ้าย-ขวาก่อนเมาท์ ‘ดูออกเลยหรอคะ’ เลยต้องหาจริตบางอย่างมาฉาบหน้าเพื่อสับขาหลอกคนแอบฟังอีกที บวกกับแอดมินทั้ง 6 คนชอบจริตการพูดและหยอกล้อแบบ Mean Girls จึงเกิดเป็นมีมแรกที่แซวกับเพื่อนว่า ‘ถ้าเธอรักประเทศมาก ทำไมเธอถึงโล้สำเภามาจากจีนล่ะ’ (ซี้ดดดดด)
ฉันรู้ว่าพวกเธอหลายคนสงสัยว่าเพจนี้เปิดตัวมาแล้วกี่ปี ง่ายๆ ก็แค่จำว่า ‘คสช.’ อยู่มาเท่าไหร่ ก็คงไม่ต้องนับนิ้วให้เปลืองแรง อุ๊ปส์ ตอนนี้ก็ผ่านมา 7 ปีแล้ว ซึ่งจิลบอกกับฉันตามตรงว่าเพจถูกแบ่งออกมาเป็น 3 ยุค แน่นอนว่ายุคแรกคือจิลกับผองเพื่อนอีก 5 คน แคปรูปมาทำมีมสนุกๆ อาจมีมีมอื่นๆ เข้ามาบ้างตามความเหมาะสม
พอเข้าสู่ยุคที่สองก็เริ่มใช้ภาพนิ่งของ Mean Girls อย่างเดียว ตอนนั้นเพจก็เติบโตมาเรื่อยๆ อยู่ที่ 40,000 – 50,000 คน บวกกับสร้างกลุ่มเฟซบุ๊กชื่อว่า The Plastic Club เพื่อรวบรวมคนที่เป็นแฟนคลับของมีนเกิร์ลส์เอาไว้ ก่อนกาลเวลาจะพาให้แอดมินแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง แม้กระทั่งตัวจิลเองก็ออกไปทำหนังและเพจกะเทยนิวส์บ้าง จนกระทั่งยุคที่สามก็ได้ ‘เอม-เอมมิกา รามิล ตันติกิตติ’ เจ้าของเพจเจ้าหญิงสายมูมาร่วมทีม
“จริงๆ ตั้งแต่แรกเอมเป็นแฟนคลับของเพจดูออกเลยหรอคะอยู่แล้ว ซึ่งเวลานั้นเรายังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อของมีนเกิร์ลเลยด้วยซ้ำ จนเราไปดูหนังถึงเข้าใจว่าอ๋อ มีมนี้เป็นคำพูดมาจากซีนนี้ และได้เข้าร่วมกลุ่มเดอะพลาสติกคลับ แล้วเราเป็นคนชอบทำมีมตลก เล่าเรื่องตลกให้เพื่อนในกลุ่มฟัง
“เราเคยพากย์เสียงเล่นๆ กับเพื่อนแต่ไม่เคยลงในโซเชียลเน็ตเวิร์ก แล้วเห็นว่ากลุ่มมีแต่รูปภาพเลยลองเอาประโยคมีนเกิร์ลส์มาลองพากย์ดูและแชร์ลงกลุ่ม ปรากฏว่าคนกดไลก์ประมาณสองร้อยกว่าคน แล้วผลตอบรับดีก็เลยลองพากย์เล่นๆ ลงยูทูบเกือบหนึ่งนาทีกับคลิปแรกที่ชื่อว่า ‘เธอเห็นด้วยหรอ’ ก่อนจะเอามาลงเฟซบุ๊กแล้วคนดูประมาณล้านกว่าคน” เอมเล่าถึงที่มาว่าเธอมานั่งร่วมโต๊ะกับ Meme Girls Thailand ได้อย่างไร
“เราไม่เคยทำมีเดียแบบวิดีโอมาก่อน ซึ่งเอมเป็นคนพากย์เสียงให้เพจเป็นคนแรกแล้วเรารู้สึกว่ามันสนุก ตลกดี จำไม่ได้ว่าใครทักใครก่อนแต่เราลองเอาคลิปเสียงเอมมาใส่ซับและโพสต์บนเพจ คือแค่อาทิตย์เดียวก็ห้าหมื่นแชร์แล้ว ซึ่งมันมาแรงมาก” จิลเสริมว่าหลังจากคอนเทนต์วิดีโอมาแรงกว่าที่พวกเขาคิด ทำให้ทิศทางของเพจไม่ได้มีแค่ภาพนิ่งอีกต่อไป
อ๋อ ฉันคงลืมเล่าไปว่า Meme Girls Thailand นิยามว่าตัวเองเป็นเพจเมาท์มอยเหมือนกับ Burn Book ของแก๊งพลาสติกมากกว่า ‘เพจการเมือง’ อย่างที่หลายคนแปะป้ายเอาไว้ ซึ่งพวกเขาไม่ได้หยิบทุกเหตุการณ์มาพูดจนเป็นสำนักข่าว แต่จะเลือกสิ่งที่ Fit in กับซีนจากหนังมีนเกิร์ลส์และต้องเป็นประเด็นที่ทั้งสามคนอิน
ภาพยนตร์ Mean Girls ถูกใช้เป็นไอคอนิกการเสียดสีบางอย่างบนโลกอินเทอร์เน็ตมานานแล้ว ประจวบกับสิ่งที่ดูออกเลยหรอคะ ทำคือการหยิบปรากฏการณ์สังคมมาเล่าก็เลยตั้งชื่อเพจว่า Meme Girls แต่มีคนใช้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นเติมคำว่า Thailand ทิ้งท้ายและตั้งตัวว่าเป็นสาขาประเทศไทยเลยแล้วกัน
เป็นแค่หนังไฮสคูลหรือจิกกัด (ทุก) สังคมอยู่ที่คุณมอง
เมื่อฉันถามเหตุผลว่าทำไมพวกเธอถึงต้องเลือก Mean Girls มาทำมีมกันล่ะ เพราะบนโลกใบนี้มันมีภาพยนตร์เป็นร้อยเป็นพันเรื่องให้เลือกนี่หน่า! ยิ่งหนังวัยรุ่นไฮสคูลไม่ต้องพูดถึง เพราะมันมีมากกว่านั้นเป็นหลายสิบเท่า
“ตอนแรกมันเริ่มจากความชอบเฉยๆ เป็นแค่ความสนุกปากของเพื่อนที่ใช้ไดอะล็อกมีนเกิร์ลส์แล้วสนุก แต่พอเปิดเพจไปสักพักได้รับความนิยมมากขึ้น มีแฟนเพจมาติดตามเยอะขึ้น เรารู้สึกว่าจะทำแค่ฉากเดียวไม่ได้ ต้องสำรวจเพิ่มเพื่อทดลองทำฉากอื่นๆ ทำไปทำมาทำให้เราต้องไปดูหนังมากขึ้น รอบหนึ่ง รอบสอง รอบสาม รอบสี่ พอถึงจุดหนึ่ง คนทำเพจอย่างเราเพิ่งเห็นว่า โห เราเลือกหนังที่ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี่ย” จิลว่า
อันที่จริงเรามักจะเห็นหนังไฮสคูลช่วงปลาย 1990 เล่าเรื่องนางเอกเฉิ่มเบ๊อะก่อนจะกลายเป็นสาวฮอตแล้วรักกับพระเอกในท้ายที่สุด ซึ่งการที่มีนเกิร์ลส์ทลายความคลิเช่แล้วโฟกัสไปยังแก๊งพลาสติกที่ไม่ใช่การนำเสนอว่าสวย ใส และไร้สมอง แต่มีหลายมิติและมีความเป็นมนุษย์ท่ามกลางความคอเมดี้
ถ้าเป็นหนังไฮสคูลทั่วไปเคดี้ก็คงแสนดีตั้งแต่ต้นจนจบ แต่มีนเกิร์ลส์เป็นครั้งแรกที่นางเอกกลายเป็นตัวร้ายแล้วโดนเกลียด ซึ่งคนดูก็เกลียดตามไปด้วย ขณะที่คนดูกลับไปรักนางร้ายอย่างเรจิน่ามากกว่า แถมยังให้คนดูมีความรู้สึกปนเปไปกับตัวละครทุกตัวได้ นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในหนังไฮสคูลจนต้องบอกว่า ‘มันช่างน่าพิสมัย’
“มีนเกิร์ลส์ไม่ใช่แค่หนังไฮสคูล แต่อ้างอิงสังคมทุกชนชั้น ไม่ว่าจะตอนเราเรียนหรือทำงานก็จะเห็นสิ่งเหล่านี้ในภาพยนตร์ ทั้งจิกกัด การเคารพตัวบุคคล สวยกว่าเด่นกว่ามีอำนาจมากกว่า ซึ่งไม่ต่างจากสังคมที่อยู่ตอนนี้เลย” เอมตอบ
อีกทั้งมีนเกิร์ลส์ยังแฝงประเด็นสังคมเอาไว้แล้วฉาบมันไว้กับคอเมดี้ เช่น การล่วงละเมิดทางเพศเยาวชนของโค้ชคาร์สะท้อนถึงความใคร่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ การจิกกัดพวกเด็กเนิร์ดว่าสอบแข่งขันคณิตศาสตร์ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย ผิดกับสังคมเด็กเรียนในฝั่งเอเชียที่ถูกยกย่องว่าเก่งเลข = อัจฉริยะ หรือการที่เรจิน่าเป็นสาวอวบก้นบึ้มก็ตกกระป๋องทันที เพราะว่าเธอไม่ถูกต้องตามกรอบความงามของสังคม
ดังนั้น การที่ Mean Girls เป็นปรากฏการณ์ระดับโลกคงไม่ใช่เรื่องที่กล่าวเกินความจริง เพราะเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นในทุกอณูของสังคมไม่ใช่แค่อเมริกาเท่านั้น แต่อยู่รายล้อมตัวของพวกเราต่างหาก
“มีนเกิร์ลส์เป็นหนังที่เป็นปรากฏการณ์ระดับโลก สร้างจากสังคมไฮสคูลแทบทุกประเทศเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นเราไม่ได้เลือกมีนเกิร์ลส์ แต่มีนเกิร์ลส์ต่างหากที่เลือกเรา”
ฉันควรจะมอบมงกุฎสปริงฟลิงให้เธอนะ จิล
The Rules of Meme Girls Thailand
มีนเกิร์ลส์มีกฎประจำแก๊งของพวกหล่อน ส่วนมีมเกิร์ลส์เองก็มีกฎประจำแก๊งเช่นเดียวกัน ต่อให้พวกเธอจะทำเป็นมีมขำๆ แต่มีกฎเหล็กอยู่ 3 ข้อที่จะไม่พูดถึงอย่างเด็ดขาด
- ไม่เหยียดคนชายขอบ
- ไม่เหยียดคนที่มีสถานะทางอำนาจอยู่ต่ำกว่า
- ไม่ล้อเลียนเหยื่ออาชญากรรม
“ถามว่าเราพูดเรื่องอะไรกันบ้าง คือด้วยความที่เพจเราเป็นมีมเกิร์ลส์ มันมีความเป็นเสียงของผู้หญิง สิทธิของผู้หญิงและการเป็นคนชายขอบ มันคงจะตลกมากถ้าเราเอามีนเกิร์ลส์มาใช้แต่ไม่เคยพูดถึงสิทธิสตรี ไม่พูดถึงการโต้กลับในเสียงของผู้หญิง ไม่พูดถึง LGBTQ+ ทั้งที่เดเมียนเป็นตัวละครหลัก หรือชีวิตจริงของแอรอน แซมมวลออกมา Come Out ว่าเป็นเกย์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะทำมีมเกิร์ลส์โดยไม่แตะต้องเรื่องพวกนี้ ถ้าเราได้ใช้มัน แล้วเราคิดว่าได้ทำมันอย่างมี Value ที่ชัดเจน”
แม้ว่าพวกเธอจะเอาปรากฏการณ์สังคมมาฉาบด้วยมีม แต่ใช่ว่าทุกมีมสร้างเสียงหัวเราะ เพราะบ่อยครั้งที่ไดอะล็อกจากภาพยนตร์มีนเกิร์ลส์เต็มไปด้วยคำเหยียดและเสียดสีที่ตัวละครพูดในเรื่อง เพื่อให้เห็นสังคมไฮสคูลที่เต็มไปด้วยการบุลลี่ การแบ่งชนชั้น ฯลฯ ซึ่งใครที่ไม่เคยดูและมาอ่านมีมในเพจจะรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเธอกำลังพูดไม่ PC ผิดกับ Political Correctness หรือความถูกต้องทางการเมือง
“อย่างเช่น เธอคิดว่าฉันปัญญานิ่มเหรอ คนจะมองคำว่าปัญญานิ่มเรากำลังกดคุณค่าของคนที่มีปัญหาทางสติปัญญาหรือเปล่า ซึ่งคุณต้องตอบเราให้ได้ว่าคนที่มีปัญหาทางสติปัญญาไม่พอใจกับเรื่องนี้อย่างไร ถ้าไม่อยากให้ใช้คำว่าปัญญานิ่ม คำว่าความบกพร่องทางสติปัญญาก็ไม่ PC อยู่ดี เราใช้คำว่าปัญญานิ่มเพื่อเสียดสีอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือกว่าเรา” จิลเล่าถึงสิ่งที่เพจต้องเผชิญเมื่อมีมขยายไปสู่สายตาคนในวงกว้างและไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจในเมสเซจที่เธอต้องการจะสื่อสาร
เอมเสริมต่ออีกว่าแม้กระทั่งคำว่า ‘บ้านนอก’ ซึ่งเป็นหนึ่งในประโยคที่ภาพยนตร์ใช้คือ ‘ขึ้นมาสิบ้านนอก เราจะไปช้อปปิงกัน’ ทำให้หลายคนที่เห็นมีมเกิดความไม่สบายใจว่า ทำไมถึงด่าคนอื่นว่าบ้านนอกล่ะ
“นังบ้านนอกเป็นข้อยกเว้น เพราะว่ามันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อโจมตีคนข้างนอก แต่บริบทของเรจิน่า ราเชล และคาเรน ขับรถแล้วพูดว่า Get in loser, we’re going shopping. เป็นคำเชิญชวน ขณะที่เวลาปกติเราใช้คำว่าบ้านนอกเพื่อผลักไสคนคนหนึ่งออกไป แต่มีนเกิร์ลส์ดันพูดกลับกัน เพื่อเชิญชวนให้หล่อนมาเป็นพวกเดียวกับฉัน มันคือการเหยียดแต่ให้การยอมรับ ซึ่งเป็นความซับซ้อนที่มีนเกิร์ลส์หยิบมาให้เราใช้” จิลเสริม
ฉันตอบได้ว่าคงเป็นเจตนาเดียวกับตอนที่เจนิสบอกเคดี้ว่า ‘เราจะทำให้เธอลำบากไปทำไม เราเป็นเพื่อนเธอ’ ล่ะมั้ง ซึ่งคำพูดต่างๆ ที่เราเห็นบนมีมล้วนแต่เป็นไดอะล็อกที่มาจากภาพยนตร์ จิลเปลี่ยนคำบางส่วนให้เข้ากับสถานการณ์ยกตัวอย่างเช่นต้นฉบับพูดว่า ‘ฉันชอบเวลาเห็นครูอยู่นอกโรงเรียน มันเหมือนเห็นหมาเดินด้วยขาหลัง’ มีมเกิร์ลส์ปรับเป็น ‘ฉันชอบที่เธอบริหารประเทศ มันเหมือนหมาเดินด้วยขาหลัง’ เพื่อจิกกัดการบริหารประเทศรัฐบาลว่าดูฝืนเสียเหลือเกิน
หรือซีนที่พีกที่สุดของภาพยนตร์ตอนเจนิสด่าเคดี้จากบนรถ จะขึ้นต้นประโยคว่า ‘เธอ มันโกหกตอแหล…’ เสมอ ส่วนจะเอาสถานการณ์บ้านเมืองอะไรมา Fit in ให้พอดิบพอดีก็คงต้องเลือกให้เหมาะสม เพราะคีย์สำคัญของฉากนี้คือ ‘การทะเลาะ’ แต่อธิบายเหตุผลของทั้งสองฝ่ายและเสียดสีกันไปมา ซึ่งนั่นก็เป็นโจทย์ว่าเวลาที่จิลหยิบคำพูดมาใส่ก็ต้องคำนึงถึงตรงนี้ด้วยเช่นกัน
อีกอย่างคำพูดที่แรว๊งแรว๊งแบบ ‘นังร่าน’ ‘นังยั่ว’ ‘ตอแหล’ พอมาพูดในแบบมีนเกิร์ลส์ทำให้ความแรงลดลงไปอีกสเกลให้ดูน่าหมั่นไส้ และน่าหยิกในเวลาเดียวกัน เช่น ‘บาย นังร่าน’ ‘เธอมันโกหกตอแหล’ อันที่จริงใช่ว่าการทำมีมจะง่ายดาย เพียงแค่ดูหนึ่งรอบแล้วจะเข้าใจบริบทของหนังทั้งหมด ยิ่งทำเพจที่พูดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคมผนวกกับไดอะล็อกหนัง นั่นเป็นเรื่องยากพอๆ กับการที่เคดี้จะเอาชนะเรจิน่าอยู่เหมือนกันนะ ซึ่งฉันเองก็สงสัยว่าพวกเธอดู Mean Girls มากี่รอบแล้วถึงเอามาเล่นได้อย่างลื่นไหลขนาดนี้
“โห นับยาก ต้องบอกเลยว่ากว่าจะซึมซับอารมณ์ จริต และคำพูดคำจาก็ใช้เวลาอยู่เหมือนกัน ต้องบอกว่าเราเป็นคนพากย์เสียงก็ใส่ความรู้สึกของตัวละครลงไปและพยายามพูดทับเสียงมีนเกิร์ลส์ให้ได้มากที่สุด ถึงแม้แต่ละซีนจะดูไม่มีอะไร แต่มันแฝงไปด้วยความจิกกัด” เอมตอบ
ถ้าพวกเธอไม่เก็ตว่าเอมต้องใส่ความรู้สึกลงไปอย่างไร ฉันมีตัวอย่างมาให้รับชม
เห็นไหมล่ะ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด
ส่วนการอัปเดตคอนเทนต์อย่างรวดเร็วว่องไวราวกับสำนักข่าวของแก๊งมีมเกิร์ลส์ พวกเธอบอกฉันว่า ‘มันคือความโชคดีน่ะ’ เพราะเวลาที่ไม่ตรงกัน อย่างจิลตื่นก่อนใครเพื่อมาดูฟีดข่าวและเขียนบท ก่อนส่งให้เอมพากย์เสียงเสร็จภายในช่วงบ่าย และโยนไม้ต่อให้แอดมินอีกคนที่อยู่เนเธอร์แลนด์ตัดต่อ ซึ่งเป็นช่วงเช้าของที่นั่นเลยทำให้ประเด็นหลายอย่างในหนึ่งรอบวันมันตกมาพอดี
คอนเทนต์อารมณ์ขันที่รัฐไม่รู้วิธีจัดการ
เธอไม่ได้ยินจากฉันหรอกนะ แต่ว่าหลายคนไม่คิดว่าการเมืองกับอารมณ์ขันเป็นเรื่องที่ไปด้วยกันได้ ถ้าเธออยากพูดปัญหาก็ต้องพูดออกมาตรงๆ มากกว่ามาทำเป็นมีมสิ ไม่อย่างนั้นมันจะไปลดทอนความรุนแรงของประเด็นนั้นๆ ไป ไหนๆ เพจเธออยู่กับ ‘มีม’ มีเดียที่ฉายความตลกโปกฮา หรือความตลกร้ายเหล่านี้ พวกเธอฟังฟีดแบ็กแบบนั้นแล้วไม่อยากเปลี่ยนวิธีการของตัวเองบ้างเหรอ
จิลตอบฉันทันทีว่า “เห็นด้วยนะคะ เห็นด้วย แต่ว่าก่อนที่จะให้เราพูดตรงๆ มันต้องทำให้สังคมสามารถพูดตรงๆ ได้ก่อน คือตราบใดที่สังคมยังไม่อนุญาตให้พูดตรงๆ การพูดผ่านช่องทางอื่น การพูดด้วยเทคนิควิธีอื่นๆ ยังคงจำเป็น ยังเชื่อแบบนั้นอยู่
“คำว่าลดทอน เราไม่ค่อยเชื่อคำนี้เท่าไร มันต้องดูจุดประสงค์ด้วย ไม่ใช่ทุกอย่างคือการลดทอน การ วิพากษ์วิจารณ์บางอย่างทำเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด ในสังคมประชาธิปไตยเอง ฝ่ายค้านวิพากษ์เพื่อที่จะหาทางออกที่ดีที่สุด ถูกไหมคะ อันนี้คือกระบวนการปกติ การพูดว่าทุกอย่างคือลดทอน คุณต้องดูด้วยว่าปัญหาหรือเรื่องที่พูดถึง ตัวคุณค่าของมันมีเท่าไร พูดเพื่อต้องการให้มันหยิบขึ้นมาพูดต่อ หรือต้องไม่พูดเลยเพื่อให้เรื่องมันอยู่เลเวลเท่าเดิมหรือลดลง”
ในวันที่รัฐเข้ามาควบคุมสื่อ และมีมของมีมเกิร์ลส์ก็พูดปรากฏการณ์ทางสังคมแทนใจหลายคน บ้างก็เอาไปต่อยอดหาข้อมูลเพิ่ม หรือกระจายข่าวสารในวงกว้าง แล้วแบบนี้พวกเธอไม่โดนคุกคามกับเขาบ้างเหรอ
ยังไม่ทันพูดจบพวกเธอก็หัวเราะยกใหญ่ และพูดว่าโดนประจำทั้งเปิดเผยหน้า เปิดเผยชื่อ เปิดเผยที่ทำงาน และขู่ฟ้องหมิ่นประมาท ซึ่งเหตุผลที่ทำให้พวกเธอหัวเราะขนาดนั้นคงเป็นเพราะไม่ได้กลัว และขำที่พวกเธอทำคลิปแซะมาหลายต่อหลายคลิป เพิ่งจะมาเป็นประเด็นก็ตอนพูดถึงการบริหารจัดการวัคซีนที่ไม่ได้มาตรฐาน
พวกเธอเล่าต่อว่าแม้แรกๆ อาจจะกลัว เพราะเป็นเรื่องใหม่ (แน่สิ ประชาชนที่ไหนเขาโดนคุกคามจากรัฐกันล่ะ) แต่พวกเธอเชื่อมั่นว่าการที่ออกมาใช้สิทธิ์และส่งเสียงของตัวเองผ่านมีมไม่ใช่เรื่องผิด อีกอย่างการที่รัฐเพิ่งมาจัดการเอาตอนนี้ ก็คงเป็นเพราะรัฐคร่ำครึไม่รู้วิธีการจัดการพลังอารมณ์ขัน เพราะคลิปเสียดสีสังคม อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม และตลกขนาดนี้ไม่เคยมีเพจไหนทำมาก่อน แต่สุดท้ายรัฐจะมองว่าการทำมีมคือศัตรูหรือเป็นเพียงอารมณ์ขันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของภาครัฐว่ามองเสียงหัวเราะเป็นอะไร?
ถึงแม้ตอนจบของหนังมีนเกิร์ลส์ในค่ำคืนสปริงฟลิง เคดี้ เฮรอน ได้รับตำแหน่งสปริงฟลิงควีน ซึ่งเธอรู้สึกว่าทำไมทุกคนต้องแคร์สิ่งนี้ It’s just a plastic เพราะฉะนั้นพวกเราก็แค่แชร์กันสิ ก่อนจะแจกจ่ายกับเพื่อนร่วมชั้นทุกคนแล้วโลกของสาวๆ ก็จบลงอย่างสงบสุข แต่ในชีวิตจริงสังคมทำให้ทุกคนมีอำนาจเท่ากันจริงหรือ แล้วจะอยู่แบบสงบสุขเหมือนมีนเกิร์ลส์ไหม ก็คงต้องให้สถานการณ์ตอนนี้เป็นคำตอบ
เอาล่ะ มาถึงโค้งสุดท้ายที่ฉันจะสัมภาษณ์พวกเธอ ขอทิ้งท้ายด้วยเอเนอร์จีแก๊ง Plastic ถึงคนที่ยังมองไม่เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองตอนนี้สิ
“ประเทศเธอพูดเรื่องคนจนแต่ไม่พูดเรื่องโครงสร้างเหรอ” (หัวเราะ)
“ฉันเสียใจนะที่เธอตาบอดแล้วมองไม่เห็นความจริง เลยนั่งกับเราไม่ได้
แต่ก็ช่วยไม่ได้หรอกเพราะว่าฉันป็อปปูลาร์” (หัวเราะ)
ถ้าฉันเป็นพวกเธอก็คงต้องให้รถบัสเป็นตัวจัดการกับพวกบ้าอำนาจล่ะนะ บาย!